เมื่อได้ยินคำถามของเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่ากับไป๋เฉินต่างก็หันไปมองหน้ากันโดยอัตโนมัติ แต่ก็เห็นเพียงสีหน้าสับสนงุนงงของกันและกันเท่านั้น
เจี่ยงไป๋เหมียนใช้มือหยัดกายขึ้นมานั่งตรง
“พวกนายยังจำเรื่องที่นักล่าหัวล้านที่ชื่อแฮริส บราวน์เล่าให้ฟังได้ไหม”
เห็นได้ชัดว่าเจี่ยงไป๋เหมียนนั้นมีความทรงจำค่อนข้างดี
และเนื่องจากเป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรง ซางเจี้ยนเย่าจึงนึกออกได้ในทันทีเช่นกัน
“ใช่เรื่องที่ว่ามีคนตายอย่างผิดปกติทางเหนือของสถานีเยว่หลู่หรือเปล่า”
“ใช่” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ตอนนั้นแฮร์ริส บราวน์บอกว่าพวกเขาเจอศพหลายศพที่เพิ่งเสียชีวิต ไม่มีบาดแผลร้ายแรงบนร่าง แต่สีหน้ามีทั้งเจ็บปวด หวาดกลัว หรือยิ้มแปลกๆ”
ไป๋เฉินพลันกระจ่างขึ้นในทันที
“หัวหน้าหมายความว่าพวกเขาตายในฝันใช่ไหม ไม่สิ ต้องเรียกว่าฝันที่เป็นจริงต่างหาก”
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “ฮื่อ” ออกมาคำหนึ่ง
“เธอลองคิดดูสิ ฉันแค่เอาเข็มจิ้มตัวเองในฝันก็ทำให้เกิดเป็นจุดบวมแดงในตำแหน่งเดียวกับโลกจริง แต่ถ้าเพ่งดูดีๆ จะเห็นว่ารอยบวมนั่นไม่มีรูที่ถูกเข็มเจาะ
“ก็เหมือนกับที่ซางเจี้ยนเย่าตบหน้าตัวเองในฝัน โลกจริงเขาก็แก้มบวมฉึ่งมีรอยห้านิ้ว
“สมมติว่า… ฉันสมมตินะ สมมติว่าถ้าในฝันเกิดถูกยิงเข้าอวัยวะสำคัญ หรือดมแก๊สพิษที่ทำให้แสดงสีหน้าแปลกๆ หรือช็อคอย่างกระทันหันในขณะที่กำลังมีความสุขสุดยอด แล้วในโลกจริงจะเกิดอะไรขึ้น”
“ก็จะเสียชีวิตโดยไม่มีบาดแผลร้ายแรงบนร่าง…” ซางเจี้ยนเย่าตอบเสียงทุ้ม
รอยนิ้วมือเด่นชัดบนแก้มเขาน่าจะเป็นเพราะปรากฏการณ์ทางความเครียดชนิดหนึ่ง ซึ่งมันจะค่อยๆ จางหายไปในเวลาไม่นาน แต่ถ้าหัวใจหยุดเต้นเพราะเหตุนี้ ย่อมไม่อาจฟื้นคืนขึ้นมาได้อีกต่อไป
ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค ซางเจี้ยนเย่าก็รีบลุกพรวดกลับไปยังถุงนอนของตน หยิบเสื้อแจ็คเก็ต คว้าปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ ขึ้นมาสะพายไว้ที่ไหล่
ระหว่างที่ปลดเซฟตี้ปืนก็สาวเท้าก้าวออกมาจากเต็นท์
“เกิดอะไรขึ้น” หลงเยว่หงที่รับผิดชอบเฝ้าระวังรีบถามขึ้นทันที
ซางเจี้ยนเย่าแหงนหน้ามองผนังหินด้านหลัง จากนั้นก็หันไปมองรอบๆ
“เมื่อกี้เห็นอะไรน่าสงสัยบ้างไหม หรือไม่ก็พวกเหตุการณ์ผิดปกติ”
หลงเยว่หงคิดอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่มีนะ แทบไม่มีสัตว์ป่าผ่านมาเลย ตัวที่ผ่านมาก็ดูปกติทั้งนั้น”
ในระหว่างที่พูด หลงเยว่หงอาศัยแสงสว่างจากดวงจันทร์จึงมองเห็นว่าใบหน้าซีกขวาของซางเจี้ยนเย่าบวมแดงและมีรอยนิ้วมือห้านิ้ว
“เอ่อ…” จู่ๆ เขาก็ไม่รู้ว่าจะถามอะไรดี สายตาดูแปลกไปเล็กน้อย
ในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอเดินออกมาพร้อมอาวุธ มีไป๋เฉินเดินตามมาติดๆ
“เจออะไรบ้างไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ไม่มีครับ” ซางเจี้ยนเย่าก็ตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่สนใจสายตาที่มองมาด้วยความสงสัยของหลงเยว่หง เธอเดินลาดตระเวนไปรอบๆ เพื่อตรวจจับสัญญาณไฟฟ้ารอบตัว
“ไม่มีอะไรผิดปกติจริงๆ ด้วย” เธอเดินกลับมายืนอยู่ข้างซางเจี้ยนเย่ากับไป๋เฉินแล้วพูดอย่างโล่งใจ “ดูเหมือนว่าถ้าไม่หลับ ก็จะไม่ได้รับผลกระทบสินะ”
เมื่อเห็นสีหน้าสับสนงุนงงของหลงเยว่หง เจี่ยงไป๋เหมียนก็เล่าเฉพาะประเด็นสำคัญที่เธอกับซางเจี้ยนเย่าได้ประสบมา
หลงเยว่หงราวกับว่ากำลังฟังเรื่องเล่าเขย่าขวัญจากรายการวิทยุ กลัวก็กลัว แต่ก็รู้สึกว่าเกินกว่าจะเชื่อได้
พูดตรงๆ ก็คือถ้าหากไม่ใช่เพราะว่ามีหัวหน้าทีมเป็นพยานยืนยันคำพูดของซางเจี้ยนเย่าล่ะก็ เขาก็คงจะพูดว่า
“เลิกล้อเล่นทีเถอะ ไม่เห็นจะตลกซักหน่อย!
“นายลองไปเล่าให้พวก จนท.ควบคุมฟังสิ แล้วดูว่าพวกเขาจะเชื่อนายมั้ย!”
จนท.ควบคุม หรือเจ้าหน้าที่แผนกควบคุมระเบียบ มีหน้าที่รับผิดชอบจัดการระเบียบภายในองค์กร ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ไม่ว่าจะเป็นการทะเลาะวิวาทหรือทำร้ายผู้อื่นก็ล้วนแต่อยู่ในความรับผิดชอบของพวกเขาทั้งสิ้น
‘เขตนิเวศน์ภายใน’ ของแต่ละชั้นจะมีผู้บังคับการควบคุมระเบียบ (ผบ.แผนกควบคุม) ประจำชั้นคอยดูแลรับผิดชอบ ซึ่งจะมีหัวหน้าการควบคุมระเบียบ อยู่ภายใต้สายบังคับบัญชาสามคน หัวหน้าการควบคุมระเบียบแต่ละคนก็มีเจ้าหน้าที่ควบคุมคอยรับคำสั่งอีกหลายคน
และในทุกๆ 10-20 ชั้นจะเรียกว่า ‘เขตรวม’ ซึ่งในแต่ละเขตรวมจะมี ‘สำนักงานควบคุมระเบียบ’ อยู่หนึ่งแห่ง
ระดับที่เหนือกว่า ‘สำนักงานควบคุมระเบียบ’ ก็คือ ‘แผนกควบคุมระเบียบ’ ซึ่งอยู่ภายใต้ ‘คณะกรรมการบริหาร’
หลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายของเจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หงก็ถามออกไปโดยไม่รู้ตัว
“นี่มันเป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ”
พอถามเสร็จก็รีบหุบปากทันทีโดยไม่รอให้ใครตอบ
ในเมื่อซางเจี้ยนเย่าสามารถทำให้หลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่ามาจับมือกันและโบกมืออำลาได้ อย่างนั้นการมีสัตว์ประหลาดที่ทำให้คนเสียชีวิตอย่างลึกลับในความฝันก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้อยู่แล้ว
คงต้องพูดว่าหลังจากที่ออกจากบริษัทมายังพื้นโลก หลงเยว่หงเองก็ค่อยๆ รู้สึกว่าโลกนี้มีความมหัศจรรย์พันลึกมากกว่าที่เคยคิดไว้มาก
“เป็นผู้ตื่นรู้หรือเปล่า หรือไม่ก็พวกมนุษย์ชั้นรองหรือสัตว์กลายพันธุ์ ไม่แน่ว่าพวกมันอาจจะมีพลังพิเศษอะไรแบบนี้ด้วยก็ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนหันหน้ามามองซางเจี้ยนเย่าเพื่อขอความเห็น
“นอกจากพลังพิเศษของตัวเองแล้ว ผมก็ไม่ได้รู้เกี่ยวกับผู้ตื่นรู้มากไปกว่าพวกคุณซักเท่าไหร่หรอก” ซางเจี้ยนเย่าหันหน้าไปมองไป๋เฉินอีกทอด หวังว่าหญิงสาวผู้เปี่ยมประสบการณ์การเอาตัวรอดในแดนธุลีจะสามารถให้คำตอบแก่เขาได้
ไป๋เฉินสั่นศีรษะเพื่อบอกว่าตนเองก็ไม่เคยพบกับเหตุการณ์ผิดปกติลักษณะนี้มาก่อนเช่นกัน
“ไม่อย่างนั้นนักล่ามากประสบการณ์อย่างแฮร์ริส บราวน์ก็คงไม่รีบถอนตัว เผ่นแน่บกลับมาหรอก”
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดอยู่ไม่กี่วินาทีก่อนจะหันมาพูดกับซางเจี้ยนเย่า
“ฉันข้องใจว่านายหลุดออกมาจากความฝันได้ยังไง
“อ้อ เมื่อกี้นายบอกว่าใช้พลังผู้ตื่นรู้ แต่ฉันอยากรู้รายละเอียดด้วยน่ะ เผื่อจะช่วยให้ฉันเกิดความคิดอะไรขึ้นมาบ้าง
“แต่ถ้านายคิดว่านี่เป็นความลับส่วนตัว ฉันจะให้ไป๋เหมียนกับหลงเยว่หงออกไปลาดตระเวนรอบนอกก่อนก็ได้
“สำหรับฉัน เอ่อ… อย่างฉันนี่ นายน่าจะเชื่อใจได้ใช่ไหมล่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลอะไรมาอ้าง แต่ก็ไม่อยากใช้ตำแหน่งหัวหน้ามาบังคับคาดคั้นคำตอบจากซางเจี้ยนเย่า ก็เลยพยายามใช้ลูกเล่นแบบนี้
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก” ซางเจี้ยนเย่าตอบเรียบๆ “ผมใช้พลัง ‘ตัวตลกชักจูง’ ที่พวกคุณเคยเห็นกันมาแล้วนั่นแหละ ตอนนั้นผมตบหน้าตัวเองแล้วแต่ก็ยังไม่ตื่น ก็เลยตัดความเป็นไปได้ว่ากำลังฝันทิ้งไป กะว่าจะขับรถหนีไปก่อน พอรุ่งสางก็ค่อยกลับมาดูว่าพวกคุณกลับมาเป็นปกติแล้วหรือยัง
“แต่ว่าตอนนั้นพอลุกขึ้นยืนผมก็เห็นเงาตัวเองในกระจกข้างรถ
“ผมเลยสงสัยว่าจะสามารถใช้พลัง ‘ตัวตลกชักจูง’ เพื่อทำให้ตัวเองเชื่อว่ากำลังฝันอยู่ได้ไหม
“ซึ่งถ้าหากว่ามันเป็นความฝันจริงๆ ก็จะทำให้ผมมองออกว่าอะไรคือเรื่องจริง อะไรคือมายา ซึ่งนั่นจะทำให้การตระหนักรู้ในตนเองเพิ่มขึ้น จนน่าจะทำให้ผมสามารถตื่นขึ้นมาเองได้
“แล้วผมก็ยังเขียนบันทึกไว้เตือนตัวเองด้วยเผื่อว่ามันไม่ใช่ความฝัน…”
พูดถึงตรงนี้ซางเจี้ยนเย่าก็นึกถึงเรื่องที่เขาทำในความฝันขึ้นมาได้ จึงรีบล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบกระดาษจดโน้ตสองสามแผ่นออกมา
นอกจากกระดาษแผนผังของซากโรงงานเหล็กที่ยังวาดไม่เสร็จและมีข้อความเขียนกำกับว่า ‘ห้องส้วม’ เอาไว้ กระดาษที่เหลือล้วนว่างเปล่า ไม่มีข้อความอะไรเขียนไว้อีก
“เป็นอย่างที่คิดไว้เลย…” ซางเจี้ยนเย่าถอนหายใจโล่งอกแล้วพูดต่อ “พอเขียนคำเตือนเสร็จ ผมก็รีบใช้พลัง ‘ตัวตลกชักจูง’ เพื่อทำให้ตัวเองสรุปได้ว่า ‘กำลังฝัน’ อยู่ โดยใช้เงื่อนไขที่ไม่เกี่ยวข้องกัน มาช่วยเสริมสร้างการตัดสินใจและทำความเข้าใจ จนทำให้ผมหลุดออกมาจากความฝันได้ในที่สุด”
เจี่ยงไป๋เหมียนฟังแล้วก็รู้สึกอารมณ์ปั่นป่วน
“นายนี่มันโหดร้ายชะมัด ถึงขนาดกล้าหลอกตัวเองได้ลงคอ”
“…” หลงเยว่หงเกือบหลุดหัวเราะออกมา เขาต้องพยายามกลั้นไว้อย่างสุดชีวิต
“…” ซางเจี้ยนเย่าเองก็คิดไม่ถึงว่าเจี่ยงไป๋เหมียนจะ ‘ประเมิน’ เขาออกมาแบบนั้น ทำให้เกือบจะลืมว่ากำลังจะพูดอะไรต่อ
เขาหยุดนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ผมยังไม่เคยทดลองอะไรแบบนี้มาก่อน ตอนที่เห็นเงาสะท้อนในกระจกมองข้างรถก็เลยคิดว่าน่าจะลองดู เลยทำให้รู้ว่าพลัง ‘ตัวตลกชักจูง’ สามารถสร้างสถานการณ์ได้สองอย่าง
“อย่างแรกคือใช้ข้อเท็จจริงที่เห็นได้ชัดเจนมาชักจูงให้เป้าหมายคิดเองเออเอง แล้วเชื่อมโยงเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเพื่อสรุปอนุมานออกมาเป็นสถานการณ์ที่เกิดประโยชน์ต่อผม
“ส่วนอีกอย่างก็คือ ใช้เงื่อนไขที่ไม่มีคุณค่าอะไร มาชักจูงให้เป้าหมายคิดอนุมานอย่างไม่สมเหตุสมผล แต่ได้ผลลัพท์ของการวินิจฉัยที่ถูกต้อง”
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูด
“ทำได้ไม่เลว ดูท่าแล้วเรื่องในครั้งนี้ช่วยให้นายเชี่ยวชาญพลังของตัวเองมากขึ้นและขยายขอบเขตของพลังได้อีกด้วย”
ซางเจี้ยนเย่ากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ๆ ก็แสดงสีหน้าครุ่นคิดออกมา
เจี่ยงไป๋เหมียนเลยหันหน้าไปถามไป๋เฉิน
“เธอคิดว่าไงบ้าง”
“ในเมื่อยังไม่แน่ใจว่าสถานการณ์ที่ผิดปกตินี้จบไปแล้วหรือยัง จะให้ดีคืนนี้ก็อย่านอนกันเลย รอให้สว่างแล้วรีบขับลงใต้เถอะ อย่างพวกคุณถ้าอดนอนซักครึ่งคืนก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร” ไป๋เฉินแนะนำอย่างรอบคอบและระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
หลงเยว่หงชี้ไปที่ปากทางเข้าเมืองหนูดำโดยอัตโนมัติ
“แล้วจะทำไงกับที่นี่ดีล่ะ”
“ยังจะทำอะไรได้อีกหรือไง ยังไงก็ต้องห่วงความปลอดภัยตัวเองก่อนเรื่องอื่นอยู่แล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบอย่างไม่ลังเล “นอกจากนั้นแล้ว ไอ้ฝันบ้าบอนั่นคงไม่ได้เล็งเป้ามาแค่พวกเราหรอก มันน่าจะมีผลกระทบกับทุกคนแถวนี้ ทั้งพวกนักล่าและคนเร่ร่อนด้วยแหละ การตายอย่างพิสดารของพวกนั้นจะทำให้ที่นี่กลายเป็นเขตต้องห้ามไปชั่วคราว และความหวาดกลัวนี้จะแพร่จากปากต่อปากเป็นไฟลามทุ่งจนไม่มีใครกล้าเข้ามาแถวนี้ซักพักนั่นแหละ”
“ฮ่า ฮ่า ถ้าเกิดมีใครที่ไม่รู้ข่าวนี้แล้วทะเล่อทะล่าเข้ามาแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ล่ะก็… ฉันไม่คิดว่าพวกคนแบบนั้นจะมีปัญญาหาทางเข้าเมืองหนูดำเจอ หรือขยับหินที่ปิดปากถ้ำออกได้หรอก
“พอผลกระทบจากเรื่องนี้บรรเทาลง พวกคนของบริษัทก็น่าจะมาถึงกันแล้ว ถึงตอนนั้นถ้าพวกเขาหาเราไม่เจอ เดี๋ยวไว้เขาก็ยิงพลุสัญญาณเองนั่นแหละ”
หลงเยว่หงไม่มีอะไรคัดค้านอีก คนทั้งสี่เฝ้ารอจนกระทั่งรุ่งสาง
จากนั้นก็ผลัดกันขับรถ มุ่งหน้าลงใต้
เกือบถึงเที่ยงวัน เจี่ยงไป๋เหมียนที่นั่งอยู่ข้างคนขับก็หันหน้ามาพูดกับซางเจี้ยนเย่า
“นายลองหลับหน่อยสิ ดูว่ายังจะฝันพิลึกอยู่หรือเปล่า
“วางใจเถอะ ฉันจะคอยเฝ้าไว้เอง ถ้ามีอะไรผิดปกติก็จะเขย่าปลุกนายให้ตื่นเอง”
“ผมตื่นเองได้” ซางเจี้ยนเย่าพูดพึมพำด้วยความมั่นใจ
“หือ” เจี่ยงไป๋เหมียนเงี่ยหูฟัง
รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอไม่ได้จางลงไปสักนิด ที่จริงแล้วกลับยิ้มกว้างกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากคิดอยู่อึดใจก็ยกมือขวาขึ้นมากางนิ้วนวดขมับทั้งสองข้าง
แล้วก็หลับตาลง
* * * * *
ผนังโลหะสีดำเย็นเยียบตั้งตระหง่านล้อมรอบห้องโถงที่กว้างขวางว่างเปล่า
ด้านบนของห้องโถงนั้นมองไม่เห็นเพดาน มีเพียงความมืดสลัวทั้งผืน
ในความมืดสลัวนั้นมีจุดสว่างพร่างพราวจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันหนาแน่น ค่อยๆ หมุนวนอย่างเชื่องช้าราวกับกำลังก่อตัวเป็นดาราจักรแล้วดาราจักรเล่า
ใจกลางห้องโถง แสงดาวระยิบระยับรวมตัวกันเป็นร่างมนุษย์พร่าเลือนขนาดใหญ่ สองมือของร่างนั้นกางออกด้านข้างโดยรักษาความสมมาตรอย่างเข้มงวดราวกับกำลังเลียนแบบตราชั่ง
เสียงคำว่า ‘สละหนึ่ง ได้รับสาม’ ดังก้องสะท้อนเข้าหูซางเจี้ยนเย่าเป็นระลอก
ซางเจี้ยนเย่าจ้องมองฉากนี้อยู่เกือบสิบวินาที ก่อนจะพึมพำออกมา
“โถงดารา…”
จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเดินผ่านร่างพร่าเลือนนั้น จนเข้าไปถึงส่วนลึกที่สุดของห้องโถง แล้วหยุดอยู่เบื้องหน้าประตูหินสีควันบุหรี่ที่หนักอึ้ง