ในขณะที่ชายสวมหมวกไหมพรมมีรูขาดกำลังพูดอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็ไม่อาจควบคุมน้ำเสียงตัวเองได้
“เขา… เขาคงไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์หรอกนะ”
เรื่องที่เจอมาก่อนหน้านี้เขายังจำได้ติดตา ในใจยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เมื่อมาเจอสถานการณ์คล้ายคลึงกันจึงทำให้อดคิดขึ้นมาในทำนองนี้ไม่ได้
“เห็นได้ชัดว่าเขาดูมีสติปัญญา ต้องไม่ใช่พวก ‘คนไร้ใจ’ แน่นอน แถมยังดูเหมือนมนุษย์มากด้วย” อานหรูเซียงปฏิเสธการคาดเดาของสหายอย่างไม่ลังเล
“ถ้าเกิดว่าเขาเป็นสัตว์ประหลาด แต่ทำให้เรา ‘รู้สึก’ ว่าเขาเป็นมนุษย์ล่ะ ลองคิดดูสิ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ที่เราเจอมาก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้มีสมบัติอะไรซักหน่อย แต่มันก็ทำให้พวกเราเชื่อว่ามีของล้ำค่าอยู่กับตัว ทำให้เราต้องไปเอามาให้ได้” ชายในหมวกไหมพรมมีรูขาดรีบแย้งทันที
อานหรูเซียงไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ หลังจากครุ่นคิดอย่างจริงจังก็พูดขึ้น
“นี่ก็เป็นไปได้ แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้เรื่องอื่นอีก
“นั่นคือเขาเป็นผู้ตื่นรู้ หนึ่งในพลังพิเศษของเขาก็คือทำเสน่ห์
ชายสวมหมวกไหมพรมมีรูขาดคิดใคร่ครวญ
“พอเธอพูดแบบนี้ฉันก็รู้สึกว่าเป็นไปได้แฮะ เหอะ เหอะ สำหรับฉันแล้ว ผู้ตื่นรู้กับสัตว์กลายพันธุ์ก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่สิ พวกเขาน่ากลัวกว่าและก็ลึกลับยิ่งกว่าสัตว์กลายพันธุ์ส่วนใหญ่ซะอีก ที่จริงต้องพูดว่าแทบจะไม่ต่างจากไอ้ที่พวกเราเพิ่งเจอกันมาเลย”
สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ส่วนใหญ่นั้นคล้ายกับงูเหล็กบึงดำหรือไม่ก็ชาวเมืองหนูดำ ซึ่งมีบางส่วนของร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง นั่นยังอยู่ในขอบเขตที่ยังเข้าใจได้
เมื่อได้ฟังคำพูดของสหายร่วมทีม อานหรูเซียงก็อดนึกถึงสิ่งที่เธอเพิ่งพบเจอมาก่อนหน้านี้ไม่ได้
ถึงแม้ว่าเธอจะเปี่ยมด้วยประสบการณ์และกำลังใจอันเข้มแข็งก็ตาม แต่ทว่าในตอนนี้ แม้เวลาได้ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว เธอกลับยังไม่อาจสลัดมันทิ้งไปได้เสียที
ราวกับว่าเป็นฝันร้ายที่กลายเป็นจริง ซึ่งไม่สามารถตื่นขึ้นมาจากฝันนั้นได้
อานหรูเซียงสูดหายใจเข้าแล้วค่อยๆ ผ่อนออก เธอหันกลับไปมองถนนที่เพิ่งจากมา
“พวกเขาโดนทำเสน่ห์หรือเปล่านะ
“ฉันจำได้ว่าตอนที่เจอกันในแดนร้างครั้งแรก พวกเขามีอยู่แค่สี่คนเท่านั้น ผู้ชายคนที่น่าสงสัยว่าเป็นผู้ตื่นรู้คนนั้นไม่ได้อยู่ในกลุ่มด้วย
“จะเตือนพวกเขาดีไหม”
ชายที่สวมหมวกไหมพรมมีรูขาดรีบส่ายหน้าทันทีและพูดขึ้น
“นั่นมันอันตรายเกินไป!”
อานหรูเซียงคิดอยู่สองสามวินาทีก่อนจะพูดต่อ
“พวกเขาบอกเราเรื่องโส่วสือและยังคืนของสำคัญที่สุดมาให้ด้วย นอกจากนั้นก็ยังเก็บศพโส่วสือไว้ในห้องปิดมิดชิดเพื่อไม่ให้พวก ‘คนไร้ใจ’ เจอเขาเร็วนัก แล้วเอาไปกิน…
“สำหรับฉันแล้ว นี่นับเป็นหนี้น้ำใจอันใหญ่หลวง เป็น ‘สิ่ง’ ที่มีค่ามหาศาล”
“เธอก็แบ่งปันข้อมูลกับพวกเขาไปแล้วไม่ใช่เหรอ” ชายสวมหมวกไหมพรมมีรูขาดพยายามยับยั้งเธอจนถึงที่สุด “คิดให้ดีนะ คนๆ นั้นเขาสวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงอยู่ ต่อให้ไม่ได้เป็นผู้ตื่นรู้ ก็จัดการพวกเราได้สบาย!”
อานหรูเซียงผงกศีรษะ
“วางใจเถอะ ฉันไม่เสี่ยงหรอก ฉันยังจะต้องเอาร่างของโส่วสือกลับไปด้วย
“นี่เพิ่งจะผ่านไปไม่นาน พวกเขายังอยู่ห่างจากเราไม่มากเท่าไหร่ ฉันจะตะโกนบอกพวกเขาจากตรงนี้ ส่วนพวกเขาจะได้ยินหรือเปล่า หรือว่าได้ยินแล้วจะเข้าใจมั้ย นั่นก็เกินกว่าที่ฉันจะทำอะไรได้แล้วล่ะ”
“ตะโกนจากตรงนี้…” ชายสวมหมวกไหมพรมมีรูขาดเหลียวมองดูรอบตัว “ได้ ฉันจะช่วยตะโกนด้วย พอตะโกนเสร็จแล้วเราก็รีบออกไปทันทีเลยนะ”
อานหรูเซียงกลับหลังหัน เหน็บปืนพกสีดำเก็บ แล้วก็เอามือป้องปากตะโกน
วินาทีถัดมาเสียงแหลมสูงของเธอก็ดังขึ้น
“เขาทำเสน่ห์ได้!
“ระวังโดนเขาควบคุม!”
* * * * *
หลงเยว่หงถือปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ วิ่งเหยาะๆ อยู่ทางปีกซ้ายและคอยเฝ้าระวังขอบเขตพื้นที่รับผิดชอบ
หลังจากที่ได้ยินเรื่องที่อานหรูเซียงเล่าและบทสนทนาระหว่างหัวหน้าทีมกับไป๋เฉิน เขาก็ยิ่งหวาดกลัวการสำรวจนี้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการบังคับให้หลับ ฝันร้ายที่กลายเป็นจริง หรือกับดักที่ป้องกันไม่ได้ แต่ละเรื่องนั้นล้วนแต่เกินกำลังของเขาทั้งสิ้น ทำให้เขารู้สึกโดยสัญชาตญาณว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถรับมือได้
หากไม่ใช่เพราะว่าเคยเห็น ‘ตัวตลกชักจูง’ ของซางเจี้ยนเย่า และ ‘เปรตหิวโหย’ ของหลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่ามาก่อน หลวงเยว่หงคิดว่าตัวเขานั้นคงไม่อาจรับไหว น่าจะสติแตกไปนานแล้ว
ความกลัวที่ไม่อาจควบคุมได้ค่อยๆ กัดกินจิตใจของหลงเยว่หง ทำให้เขาอดคิดทบทวนเกี่ยวกับปฏิบัติการครั้งนี้ไม่ได้
ทำไมเราถึงต้องมาทำอะไรที่เสี่ยงขนาดนี้ด้วย… หัวหน้าเคยบอกว่าก่อนที่พวกเราจะปรับตัวให้เข้ากับการใช้ชีวิตในแดนธุลีและสั่งสมประสบการณ์ได้มากพอ ก็จะไม่พาพวกเราไปสถานที่ที่มีอันตรายมากเกินไปไม่ใช่เหรอ… จำเป็นไหมที่ต้องช่วยเฉียวชูเพื่อให้เขาประทับใจตัวฉันมากขึ้นอีกนิด… แต่… แต่ว่านี่มันคุ้มค่าหรือเปล่า ฉันยังไม่ได้แต่งงานเลยนะ…
ระหว่างที่วิ่งเหยาะๆ อยู่นั้น หลงเยว่หงก็มองไปยังร่างสวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงที่วิ่งนำอยู่เบื้องหน้า ในใจก็เกิดความขัดแย้งต่อสู้กันอย่างรุนแรง
ยิ่งมองไป เขาก็ยิ่งเกิดความรู้สึกสะท้อนใจขึ้นมา
ฉันปรับปรุงพันธุกรรมมาแล้วก็ยังสูงแค่ 175 หน้าตาก็ธรรมดา ผลการเรียนก็แค่เกณฑ์เฉลี่ย แล้วก็ถูกบรรจุงานมาอยู่ในทีมที่มีอันตรายที่สุดของแผนกความมั่นคง เรียกได้ว่าเป็นคนดวงกุดอับโชค เฉียวชูจะมาชายตาแลฉันได้ไง ช่างเถอะช่างมัน ยอมล้มเลิกปฏิบัติการนี้ดีกว่า…
ล้มเลิก…
ความรู้สึกในดวงตาของหลงเยว่หงค่อยๆ จางลงไปราวกับว่าเขารู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง แต่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
ในตอนนี้ก็มีเสียงล่องลอยมาตามสายลม
“ทำเสน่ห์… ระวัง… ควบคุม…”
เสียงนี้ชัดเจนมาก แต่กลับได้ยินไม่ชัดเจนเท่าไหร่เพราะระยะทางที่ห่างไกล
เจี่ยงไป๋เหมียนชะลอฝีเท้าลง เงี่ยหูเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น
“เสียงตะโกนว่าอะไรเหรอ”
“ผมได้ยินแค่คำว่า ‘ระวัง’” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างเคร่งขรึม “เหมือนว่ามีคนกำลังอวยพรให้พวกเราอยู่”
วินาทีถัดมาก็มีอีกเสียงหนึ่งดังมาตามสายลม
“ทำเสน่ห์… ระวัง… ควบคุม…”
คราวนี้เป็นเสียงผู้ชายดังมา
“ควบคุม…” ไป๋เฉินพยายามจำแนกเสียง
สีหน้าของเฉียวชูที่อยู่ด้านหน้าของกลุ่มก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำ
“เสียเวลาอีกไม่ได้แล้ว ไปเถอะ”
“ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่อาจปฏิเสธได้
ทั้งห้าคนออกวิ่งเหยาะๆ อีกครั้ง
หลงเยว่หงที่อยู่ปีกซ้ายของกลุ่ม ในหัวเขามีแต่เสียงที่เพิ่งได้ยินดังซ้ำๆ วนเวียนไปมา
ระวัง…ควบคุม…
ระวังถูกควบคุมงั้นเหรอ
ระวังถูกควบคุม…
เขาตกตะลึงและรู้สึกอย่างคลุมเครือว่าสถานการณ์ตอนนี้มีบางอย่างผิดปกติ
เขาหันหน้าไปมองซางเจี้ยนเย่าซึ่งเขาสนิทที่สุดในกลุ่มโดยไม่รู้ตัว
ขณะที่กำลังวิ่งเหยาะๆ อยู่ เขาก็เห็นว่าปากของซางเจี้ยนเย่าคลี่ออก แล้วส่งรอยยิ้มสดใสกลับมาให้
ยิ้มแบบนั้นหมายถึงอะไร… หลงเยว่หงพยายามทำความเข้าใจกับความคิดของซางเจี้ยนเย่า แต่ไม่สำเร็จ
จากนั้นเขาก็หวนย้อนรำลึกถึงสิ่งต่างๆ ที่ได้เจอมาตลอดทาง พยายามค้นหาเบาะแสของปัญหานี้
สองสามนาทีต่อมา กลุ่มคนทั้งห้าก็วนอ้อมมาถึงอาคารหลังหนึ่ง มองเห็นที่หมายปลายทางซึ่ง ‘จม’ อยู่ในความมืดมิด
มันเป็นอาคารสูงหลายร้อยเมตร มีลานกว้างขนาดใหญ่ ด้านในเงียบสงัด
เนื่องจากยังอยู่ห่างไปอีกราว 200-300 เมตร ทั้งซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ จึงมองเห็นไม่ชัดว่าบนป้ายแนวขวางที่อยู่เหนือทางเข้าลานกว้างนั้นเขียนว่าอะไร
ตอนนี้เฉียวชูที่อยู่ด้านหน้า จู่ๆ ก็หยุดฝีเท้าลง
เขาหงายหลังล้มลงทันทีพร้อมกับเสียงโลหะกระแทกพื้น
เจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ มองดูด้วยความประหลาดใจ พวกเขาขยับเข้าไปใกล้ๆ โดยอัตโนมัติ เพื่อจะตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้น
เกือบในเวลาเดียวกัน ชุดเกราะกระดูกเสริมแรงก็พลันส่งเสียงบิ๊ปออกมา ข้อต่อต่างๆ ก็ขยับสั่นไหว
ร่างของเฉียวชูเคลื่อนไหว ค่อยๆ ลุกขึ้นมา
แล้วในฉับพลันนั้นเอง เจี่ยงไป๋เหมียนก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เธอรีบยกปืนยิงระเบิดเล็งไปยังด้านบนของต้นไม้ริมถนน แล้วเหนี่ยวไกยิงทันที
ตูม!
ลูกบอลเพลิงขยายตัวออกอย่างรวดเร็ว จุดแสงไฟให้สว่างไสวปกคลุมยอดไม้ จากนั้นก็มีเงาร่างกระโดดออกจากต้นไม้พุ่งเข้าไปในอาคารที่อยู่ติดถนน
มันเป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายแมว ลำตัวยาวถึงหนึ่งเมตร ดูเหมือนจะไม่มีขนหรือผิวหนังปกคลุมร่าง เห็น ‘กล้ามเนื้อ’ สีแดงเหมือนเลือดได้ชัดเจน
หางของมันดูเหมือนหางแมงป่อง หุ้มด้วยเปลือกแข็งสีน้ำตาล มีหนามงอกออกมา ที่ไหล่มีเดือยกระดูกสีขาวโผล่ออกมาราวกับเป็นเครื่องประดับตกแต่ง และบนหัวนั้นดูเหมือนว่าจะมีหูสี่ข้าง
ไม่ว่าจะมองยังไงก็ดูไม่เหมือนสัตว์ธรรมดาทั่วไป
สัตว์ประหลาดตัวนั้นกระโจนเข้าไปในห้องบนชั้นสอง หลบรัศมีระเบิดไปได้อย่างเฉียดฉิว จากนั้นก็วิ่งอย่างรวดเร็วพ้นไปจากระยะตรวจจับของเจี่ยงไป๋เหมียนก่อนจะหายลับไปในส่วนลึกของอาคารริมถนน
ในตอนนี้เฉียวชูกลับมาเป็นปกติแล้ว และลุกขึ้นมายืนเหมือนเดิม
เขามองไปยังทิศทางที่สัตว์ประหลาดหายลับไป แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม
“เมื่อกี้ผมหลับไป
“ยังดีที่ชุดเกราะกระดูกเสริมแรงมีฟังก์ชันปลุกด้วย”
“นั่นคือสัตว์ประหลาดที่ทำให้คนหลับงั้นเหรอ” ไป๋เฉินมีปฏิกิริยาตอบสนองทันที
“ดูเหมือนจะเป็นสัตว์กลายพันธุ์นะ” เจี่ยงไป๋เหมียนประเมินออกมา
เฉียวชูไม่คิดจะไล่ตามสัตว์ประหลาดรูปร่างแมวไป เขาชี้ไปที่จุดหมายแล้วพูด
“ไปทางนั้น”
ซางเจี้ยนเย่าออกตัวเป็นคนแรก เขาวิ่งก้าวยาวไปยังอาคารสูงที่มีลานกว้างหลังนั้น
เจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ ก็รีบตามไป
“จะตั้งชื่อให้หรือเปล่า” ขณะที่กำลังวิ่งอยู่ ซางเจี้ยนเย่าก็ถามขึ้นมา
“ตั้งให้ใคร” เจี่ยงไป๋เหมียนงุนงง
“สัตว์ประหลาดตัวเมื่อกี้” ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างจริงจัง “เรียกว่าแมวผีดีไหม”
“ไม่เห็นจะเพราะเลย” เจี่ยงไป๋เหมียนปฏิเสธไปโดยอัตโนมัติทันที “เรียกแมวหลับใหลเถอะ!”
ระหว่างที่คุยกัน พวกเขาก็มาถึงจุดหมาย มาอยู่ที่หน้าทางเข้าลานกว้าง
ด้วยแสงดาวและแสงจันทร์รางๆ ทำให้พวกเขามองเห็นป้ายชื่อสถานที่แผ่นสีดำซึ่งวางอยู่บนพื้นได้อย่างชัดเจน
ป้ายนี้ทำจากหิน ดูไม่ค่อยสกปรกเท่าไหร่ ราวกับว่ามันถูกน้ำฝนคอยล้างทำความสะอาดอยู่บ่อยครั้ง หรือไม่ก็มีคนช่วย ‘ดูแล’ อยู่เป็นระยะ
ตัวอักษรสีทองบนพื้นผิวนั้นไม่ได้หลุดร่วงหายไป ยังอยู่ครบถ้วนทุกตัว มันเป็นภาษาแดนธุลี
ตัวอักษรพวกนี้เขียนเป็นคำที่หลงเยว่หงไม่เคยได้ยินมาก่อน
‘ศูนย์ควบคุมเครือข่ายอัจฉริยะ’
“นี่มันที่ไหนกัน” หลงเยว่หงถามโพล่งออกมา
เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายให้ฟังอย่างรวบรัด
“ในบางเมืองนั้น พวกท่อประปา ท่อส่งก๊าซธรรมชาติ[1] สายไฟ และสายไฟเบอร์ออฟติก ทั้งหมดจะถูกรวมเข้าด้วยกันเป็นเครือข่าย สร้างเป็นโครงข่ายอัจริยะขนาดใหญ่
“สิ่งที่ควบคุมโครงข่ายนี้ก็คือศูนย์ควบคุมเครือข่ายอัจฉริยะของเมืองนั่นเอง”
“แล้ว… เรามาทำอะไรที่นี่” หลงเยว่หงยิ่งทวีความงุนงงมากขึ้น
เฉียวชูที่สวมเกราะกระดูกเสริมแรงอยู่ก็พูดขึ้นมาอย่างเย็นชา
“สถานีไฟฟ้าพลังน้ำรอบๆ ซากเมืองนี้ยังได้รับการ ‘ดูแล’ อยู่ จึงยังคงทำงานอยู่ เครือข่ายที่อยู่ด้านในซากเมืองนี้ก็มีหลายเส้นที่ถูก ‘ดูแล’ เป็นอย่างดี
“ที่เราต้องทำก็คือเข้าไปที่ศูนย์ควบคุมและเปิดระบบให้ทำงานขึ้นอีกครั้ง”
“ทำไมต้องเปิดระบบด้วยล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามออกมา
เฉียวชูเงียบไปสองวินาทีก่อนจะตอบ
“เพื่อจะได้เปิดประตูทั้งหมดของห้องแล็บ”
* * * * *
[1] ท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (天然气管道) ในหลายประเทศมีการเดินระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติจากโรงงานผลิต ส่งเข้าสู่ภาคครัวเรือน เช่นเดียวกับระบบท่อส่งน้ำประปา