เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ ก่อนจะหันกลับไปมองเฉียวชูใหม่
“ห้องแล็บอยู่ชั้นไหน”
ก่อนที่เฉียวชูซึ่งสวมหมวกเกราะจนไม่อาจมองเห็นสีหน้าจะทันได้ตอบออกมา เสียงหอนที่แหบแห้งและอ้างว้างก็ดังขึ้นอีกครั้ง
บรู๊ววว!
คราวนี้ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ ต่างก็ได้ยินอย่างชัดเจนว่าต้นกำเนิดเสียงนั้นอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก อยู่ด้านหลังของ ‘ศูนย์ควบคุมเครือข่ายอัจฉริยะ’ ออกไปเพียงแค่ถนนไม่กี่สาย
เสียงหอนนี้ทั้งอื้ออึงทั้งดังกึกก้องมาก ทำให้ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ ถึงกับแก้วหูสั่นสะเทือน สมองมึนงงสายตาพร่าลาย
มันราวกับว่าดังออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจแต่ละคน ดังออกมาจากความทรงจำของความหวาดกลัวที่ไม่อาจขจัดทิ้งไป ทำให้ขาของหลงเยว่หงสั่นเทิ้มจนไม่อาจควบคุม ทำให้ไป๋เฉินกระชับผ้าพันคอแน่นโดยไม่รู้ตัวจนเหมือนว่ากำลังจะรัดคอตนเองให้ขาดใจตาย
ร่างของเจี่ยงไป๋เหมียนสั่นเทาเล็กน้อยราวกับว่ากำลังฝืนต้านทานความหวาดกลัวอย่างสุดชีวิต ส่วนซางเจี้ยนเย่าขดตัวราวกับว่าตนเองยังเป็นเพียงเด็กน้อย
แต่ทว่าเขาก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ไม่สิ… ไม่ใช่ปกติแบบธรรมดา เขายิ้มราวกับว่ากำลังตื่นเต้นต่างหาก
ความคิดของเขานั้นดูเหมือนว่าจะก้าวข้ามคำว่า ‘หวาดกลัว’ ไปแล้ว และกลายมาเป็น ‘ตื่นเต้น’ แทน
แน่นอนว่าเกือบทั้งหมดนี้เป็นเพราะเสียงหอนแหบแห้งอ้างว้างที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่นนั้นหยุดลงไปแล้ว เหลือเพียงแค่เสียงหอนที่มีเพียงแค่เสียง และดังต่อไปเป็นทอดๆ สะท้อนก้องไปทั่วซากเมืองอย่างไม่รู้จบ
ตอนนี้เฉียวชูก็หัวเราะออกมาเบาๆ แต่ไม่ได้มีความขบขันเจืออยู่ในน้ำเสียง
“ห้องแล็บอยู่ตรงที่ที่เสียงเมื่อตะกี้ดังขึ้นมานั่นแหละ”
พอได้ยินประโยคนี้ ทำเอาเจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ ต่างตกตะลึง ความคิดวิ่งพล่านปั่นป่วน
ห้องแล็บลึกลับที่มีเสียงหอนดังกึกก้อง… สถานีไฟฟ้าพลังน้ำที่ยังคงทำงานมาตั้งแต่สมัยที่โลกเก่าถูกทำลายล้าง… ซากเมืองที่ยังคงได้รับการดูแลอยู่เป็นระยะ… ระบบเครือข่ายและอุปกรณ์บางส่วนที่ยังคงใช้งานได้จนถึงทุกวันนี้… สัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายแมวที่ทำให้คนหลับได้… ม้าฝันร้ายที่สร้างฝันร้ายที่เป็นจริงจนทำให้เกิดผลร้ายแรงตามมา… การดำรงอยู่สิ่งที่คาดว่าน่าจะเป็น ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ พื้นที่บางแห่งในส่วนลึกของบึงน้ำไม่ได้ปนเปื้อนมลพิษจากรังสี แต่กลับเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาด…
เมื่อข้อมูลเหล่านี้เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ความจริงก็ราวกับอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ทว่ามันน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
ในความหวาดกลัวของเจี่ยงไป๋เหมียนนั้นก็เจือความตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย
นี่ก็คือหนึ่งในสาเหตุที่เธอขอจัดตั้ง ‘ทีมสำรวจเก่า’ นี้ขึ้นมา!
“ไม่รู้ว่าการวิจัยในห้องแล็บนั้นเกี่ยวข้องกับการทำลายล้างโลกเก่าหรือเปล่านะ…” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดพึมพำกับตนเอง
เฉียวชูไม่สนใจคำถามนั้น เขาก้าวเท้าที่สวมเกราะโลหะสีดำเดินไป
“ไปเปิดระบบกันได้แล้ว”
เจี่ยงไป๋เหมียนไล่ตามเขาไปแล้วรีบถามขึ้น
“คุณมีแผนผังของที่นี่หรือเปล่า”
“ไปที่ห้องเครื่องใต้ดินเพื่อเดินเครื่องจ่ายพลังงานของอาคารนี้ก่อน จากนั้นไปที่ศูนย์พาวเวอร์กริด[1]ที่ชั้น 17 แล้วเปิดระบบพลังงาน” เหมือนว่าเฉียวชูจะเข้าใจสภาพทั้งหมดของ ‘ศูนย์ควบคุมเครือข่ายอัจฉริยะ’ แห่งนี้อยู่ก่อนแล้ว
เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่น ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก พวกเขาติดตามเฉียวชูที่สวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรง เดินเข้าไปทางด้านซ้ายของประตู เข้าไปยังลานสนามหญ้า
ที่นี่นั้นมีพื้นที่กว้างขวางมาก อุดมไปด้วยพื้นที่สีเขียว มีรถสารพัดประเภทจอดไว้อย่างเป็นระเบียบในบริเวณที่กำหนดโดยไม่กีดขวางการจราจร
ทั่วทั้งบริเวณมีไม้ต้นทั้งสูงและต่ำ มีไม้พุ่มสีเขียวแก่ขึ้นอยู่กระจัดกระจายไปทั่วจนเกิดเป็นเงาดำตะคุ่มราวกับมีสัตว์ประหลาดกำลังซ่อนตัวอยู่ในความมืด ทำให้หลงเยว่หงที่รู้สึกหวาดกลัวอยู่แล้วยิ่งทวีความตึงเครียดมากขึ้น ราวกับจะเกิดปฏิกิริยาตอบสนองได้ทุกเมื่อ
จากความคิดของเขาแล้ว รู้สึกว่าไม่ควรเหยียบย่างเข้าไปใน ‘ศูนย์ควบคุมเครือข่ายอัจฉริยะ’ เป็นอย่างยิ่ง ไม่ควรจะเดินเครื่องจ่ายพลังงานของที่นี่ และไม่ควรพยายามจะเปิดประตูของห้องแล็บลึกลับนั่นด้วย
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่านี่อาจจะก่อให้เกิดหายนะรอบใหม่มาสู่มวลมนุษย์ที่แสนจะเปราะบางในแดนธุลีหรือไม่ เฉพาะแค่เรื่องที่ว่าหลงเยว่หงรู้สึกว่าทั้งตัวเองและคนอื่นๆ นั้นแทบจะไม่มีโอกาสรอดพ้นอันตรายที่มาจากห้องแล็บลึกลับและซากเมืองนี้ได้เลย
เขาไม่อยากพลีชีพ ยังไม่ต้องการแปรสภาพกลายเป็นเงินบำนาญ 80 เดือน
ด้านหน้าอาคาร ‘ศูนย์ควบคุมเครือข่ายอัจฉริยะ’ นั้นมีสระน้ำสกปรกขุ่นคลั่ก มีเศษขยะลอยฟ่องอยู่เต็มแต่ก็ไม่ได้มากอย่างที่คาดไว้
ภายใต้แสงดาวและแสงจันทร์เลือนลาง หลงเยว่หงก็เห็นเงาสีดำวูบไหวอยู่ในน้ำ
“มีอะไรอยู่ที่นั่น!” เขาเล็งปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ ไปที่สระน้ำด้วยความหวาดผวา
เฉียวชูหันมามองเขา
“แค่ปลาธรรมดาน่ะ”
หลงเยว่หงถอนใจโล่งอก แต่ทว่าแรงกระตุ้นที่เหลืออยู่นั้นก็ได้จุดประกายความหวาดกลัวในใจขึ้นมาแล้ว
“ไม่… ไม่ใช่ปลาธรรมดา! พวก ‘คนไร้ใจ’ ไม่กินปลาไม่ใช่เหรอ ผมไม่อยากเข้าไป! ไม่เอาแล้ว! ผมจะกลับไปรอพวกคุณที่รถ!” หลงเยว่หงพรั่งพรูความคิดทั้งหมดออกมารวดเดียว
ในขณะนี้เขารู้สึกว่าเฉียวชูไม่ได้มีเสน่ห์น่าหลงใหลอีกต่อไปแล้ว
เฉียวชูที่สวมหมวกเกราะอึ้งไปชั่วขณะก่อนที่จะหรี่ตามอง
จากนั้นยกแขนที่ห่อหุ้มด้วยเกราะกระดูกเสริมแรงขึ้นมาอย่างเงียบๆ เล็งปืนไรเฟิลหน้าตาประหลาดไปที่หลงเยว่หง
เจี่ยงไป๋เหมียนกับไป๋เฉินอ้าปากพร้อมกันและเตรียมจะหยุดยั้งแต่ก็กลับลังเลอยู่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะลงมือดีหรือไม่ ภายในใจเกิดความขัดแย้งต่อสู้กันอย่างรุนแรง
เฉียวชูไม่รอให้พวกเขามีโอกาสเคลื่อนไหวลงมือ เตรียมพร้อมที่จะลั่นไก
แต่ทันใดนั้นเองเขาพบว่าตนเองไม่อาจเหนี่ยวไกได้!
ยิ่งกว่านั้นคือนิ้วเขายังสามารถเคลื่อนไหวไปในทิศทางอื่นได้อย่างปกติ
สิ่งที่หายไปมีเพียงแค่การเหนี่ยวไกปืนเท่านั้น!
สายตาจับจ้องของเฉียวชูนั้นมองเลยผ่านหลงเยว่หงไปตกอยู่ที่ซางเจี้ยนเย่าที่ยืนอยู่ด้านหลังไปเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
ซางเจี้ยนเย่าค้อมตัวเล็กน้อยเหมือนกำลังหอบหายใจอย่างหนัก
ดวงตาของเขาดำมืดขณะที่จ้องมองเฉียวชู เขาพูดอย่างลำบากแต่ว่าจริงจัง
“แม่ผมสอนว่าต่อให้รักใครชอบใครขนาดไหน ก็ห้ามปล่อยให้เขาทำนิสัยแย่ๆ เด็ดขาด”
* * * * *
เมื่อตอนที่เจี่ยงไป๋เหมียนยิงระเบิดใส่ ‘แมวหลับใหล’ จนทำให้เกิดเสียงดังสนั่นนั้น
ที่ไหนสักแห่งในซากเมือง บนลานกว้างที่เต็มไปด้วยประติมากรรมประดับตกแต่งมากมาย
หลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่าซึ่งสวมชุดหลวงจีนสีเหลืองห่มจีวรแดงพลันหยุดการเคลื่อนไหวแล้วหันไปมองยังทิศทางที่เกิดเสียง
เบื้องหน้าเขาเป็นชิ้นส่วนซากศพของ ‘คนไร้ใจ’ ผู้หญิงที่ถูกฉีกทึ้งเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยหลายศพ
หลังจากนั้นไม่นาน จากทิศทางที่เกิดการระเบิดก็มีเสียงหอนคำรามดังลั่นสั่นสะเทือนชั้นเมฆดังขึ้นอีกครั้ง
เมื่อแสงสีแดงจากดวงตาอิเล็กทรอนิกส์กระพริบวูบวาบสองสามครั้ง หลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่าก็ละทิ้งศพที่อยู่รายรอบ รีบวิ่งตรงไปยังทิศทางของแหล่งกำเนิดเสียงทันที
* * * * *
ในซากปรักหักพังเมืองที่มืดมิด ในบ้านหลังหนึ่ง บนถนนสายหนึ่ง
ตู้เหิง ชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมดำมืด เส้นผมยาวสีเดียวกัน มีหนวดเครารอบปาก พูดพึมพำกับตัวเองด้วยความไม่เข้าใจ
“ที่นี่ก็ไม่มี”
เพิ่งพูดขาดคำก็พลันมีเสียงระเบิดดังขึ้นจากสถานที่ที่ไม่ไกลนัก
ตู้เหิงไม่มีปฏิกิริยาอะไรเท่าไหร่ แต่พอหลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงหอนแหบแห้งอ้างว้างดังขึ้นมาจากทิศทางนั้น
“หรือว่าจะอยู่ที่นั่น” ตู้เหิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วก็เดินไปที่บันได
* * * * *
ร้านค้าริมถนนแห่งหนึ่งในซากปรักเมือง
กาโลแรน หญิงสาวนักพรตเต๋าผมบลอนด์กำลังนอนอยู่บนเก้าอี้หนังอ่อนนุ่มสีดำด้วยอาการง่วงงุน
น่าเสียดายที่เธอไม่อาจหลับลงได้ จำต้องตื่นขึ้นมาเพราะเสียงระเบิด ตามด้วยเสียงหอนแหบห้าวที่ดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย
“เฮ้อ… ระดับการบ่มเพาะยังไม่เพียงพอ ถ้าเป็นท่านอาจารย์ ต่อให้อยู่ข้างๆ โรงงานก็ยังหลับได้สบายใจ… ช่างเถอะ ช่างเถอะ ในเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วก็ต้องไปซะที ไม่รู้ว่าระหว่างทางจะเจอรถบ้างไหม จะได้โบกรถขอติดรถไปด้วย…” กาโลแรนตำหนิตัวเองอย่างสุภาพออกมาประโยคหนึ่ง
ถึงแม้จะพูดกับตัวเอง แต่เธอก็ยังคงใช้ภาษาแดนธุลี
จากนั้นกาโลแรนก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมาแล้วออกเดินไปยังตำแหน่งของเสียงหอน
* * * * *
อีกด้านหนึ่งของซากเมือง บนลานนั้นมีข้าวของวางอยู่มากมาย
ขบวนรถซึ่งมีอยู่ห้าคันจอดอยู่ที่นี่
รถทั้งห้าคันนั้น มีคันหนึ่งเป็นรถหุ้มเกราะสีเขียวอมเทา
ที่ยืนอยู่ข้างรถหุ้มเกราะนั้นเป็นชายกำยำสวมหมวกเบเร่ต์สีเขียวอมเทา กำลังมองดูสิ่งที่เก็บเกี่ยวมาได้ แล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“พี่ลี่ เดี๋ยวอีกพักนึงก็ใส่ของจนเต็มหมดทุกคันแล้ว ตอนนี้ให้พวกพี่น้องออกไปหารถที่ยังมีสภาพดีและพอจะซ่อมได้ดีไหม พวกเราจะได้ขับกันคนละคันไปเลย” ชายที่โกนหัวเดินเข้ามาใกล้แล้วพูดอย่างยินดีปรีดา
‘ไฮยีน่า’ หลินลี่ ที่ถูกเรียกว่าพี่ลี่ มองไปรอบๆ ก่อนจะกวาดตามองใบหน้าของสมาชิกหลักทั้ง 12-13 คน เห็นใบหน้าของทุกคนล้วนแต่ตื่นเต้นมีความสุข
เขามีจมูกโด่ง หน้าผากโหนกนูนเล็กน้อย ดูค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์
“ก็ได้” หลินลี่ผงกศีรษะเห็นด้วยกับคำแนะนำของชายหัวล้าน “หลักๆ ก็เป็นเพราะว่ารอบนี้เราหาไม่เจอพวกอาวุธที่จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือพวกข้อมูลเชิงเทคนิคที่จะเอาไปแลกเปลี่ยนกับของดีๆ จากพวกกองกำลังใหญ่ได้ เราเลยต้องเตรียมพร้อมไว้สำหรับอนาคต เมืองหนูดำต้องมีกองกำลังใหญ่หนุนหลังอยู่แน่ พวกเราต้องเตรียมการให้ดีก่อนที่พวกนั้นจะรู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น”
เขากำลังจะพูดต่ออีกสองสามประโยคก็พลันเกิดเสียงระเบิดและเสียงหอนดังขึ้นมาจากทิศทางเดียวกัน
หลังจากที่ฟังอย่างเงียบๆ สักพัก ‘ไฮยีน่า’ หลินลี่ก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น
“ที่นั่นดูเหมือนจะมีของดีอยู่สินะ
“พวกเราไปดูกันหน่อยดีกว่า ถ้ามีโอกาสก็ลงมือ ถ้าไม่มีก็ค่อยไปหาอย่างอื่น”
นี่เป็นสไตล์ของโจรอย่างพวกเขาที่จะตรงรี่เข้าไปเหมือนไฮยีน่าที่ได้กลิ่นซากเนื้อเน่า แต่จะไม่เสี่ยงเข้าใกล้ ทำเพียงแค่รอหาโอกาสอยู่ห่างๆ แค่นั้น
“ทราบแล้ว พี่ลี่!” พวกสมาชิกหลักของเขาที่กำลังจะผลัดกันนอนนั้น พอได้ยินคำสั่งก็รีบลุกขึ้นยืนอย่างคึกคักกระปรี้กระเปร่าทันที
* * * * *
เมื่อเฉียวชูได้ยินคำพูดของซางเจี้ยนเย่า มุมปากของเขาก็กระตุกเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น
ในตอนนั้นเอง หลงเยว่หงก็ตระหนักได้ว่าเฉียวชูเจตนาจะสังหารตนเอง
ฉับพลันนั้นความรู้สึกอันงดงามทั้งหลายที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ก็สลายมลายสิ้นไป ทำให้เขากลับคืนสู่ ‘ความเป็นจริง’ ได้อย่างแท้จริง
“เขา เขา…” หลงเยว่หงขวัญผวาเมื่อพบว่าที่จริงแล้วเฉียวชูกับเขาไม่ได้เป็นสหายกัน ไม่ควรค่าแก่การติดสอยห้อยตาม ไม่ได้เป็นคนที่น่าหลงใหลแม้แต่นิดเดียว
ตลอดทางมานี้จิตใจตัวเองราวกับถูกชโลมไปด้วยน้ำมันหมู[2]
นี่มันพิลึกเกินไปแล้ว!
ก่อนที่หลงเยว่หงจะทันพูดจบ ดวงตาสีทองของเฉียวชูก็มีระลอกคลื่นเป็นวงที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าปรากฏขึ้น
เจี่ยงไป๋เหมียนที่ตัดสินใจลงมือเพื่อหยุดยั้งเฉียวชู ฉับพลันก็เกิดความรู้สึกหดหู่หม่นหมองอย่างรุนแรง
ตนเองนั้นตั้งใจจะพาซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงให้ออกห่างจากพื้นที่อันตรายมาตั้งแต่แรก แต่กลับลงเอยด้วยการนำพวกเขาเข้ามายังซากปรักที่มีแต่ความเสี่ยง
การฝึกภาคสนามครั้งนี้ที่ควรจะเป็นเพียงเรื่องธรรมดากลับบานปลายจนกลายมาเป็นแบบนี้ นี่เป็นความบกพร่องต่อหน้าที่ของหัวหน้าทีม เป็นเพราะความผิดพลาดนี้จึงมิอาจไม่ละทิ้งความฝันอันงดงามก่อนหน้า ร่างกายแทบไม่อาจทนแบกรับได้อีก…
ถ้าเป็นอย่างนี้ งั้นก็ควรตายไปซะดีกว่า…
ในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกท้อแท้หมดอาลัยตายอยาก เลิกดิ้นรน คิดเพียงรอความตายเท่านั้น
ไป๋เฉิน หลงเยว่หง และซางเจี้ยนเย่า ต่างก็มีปฏิกิริยาคล้ายคลึงกัน พากันรู้สึกหดหู่จนไม่อยากจะทำอะไรทั้งสิ้น ไม่อยากแม้แต่จะพูดอะไรออกมา
เฉียวชูไม่ได้โจมตี เขาลดปืนไรเฟิลสีเงินลงและพูดอย่างอ่อนโยนด้วยสายตาที่เย็นชา
“วางใจเถอะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว”
หลงเยว่หงและคนอื่นๆ ที่กำลังจมจ่อมอยู่ในโลกแห่งความเศร้าหมองหดหู่ก็ราวกับได้รับการปลอบประโลมจากเทวทูตในทันที
* * * * *
[1] ศูนย์พาวเวอร์กริด (电网中心 Power Grid Center)หมายถึง ศูนย์เชื่อมโยงระบบเครือข่ายพลังงานไฟฟ้า
[2] ใจถูกชโลมด้วยน้ำมันหมู (被猪油蒙了心) หมายถึง หน้ามืดตามัว สามารถใช้เรียกคนที่ไม่มีความรู้สึกใดๆ ได้เช่นกัน