บนถนนไม่ไกลจาก ‘ศูนย์ควบคุมเครือข่ายอัจฉริยะ’ มากนัก จิ้งฝ่า หลวงจีนจักรกลที่สวมชุดหลวงจีนสีเหลืองห่มจีวรแดงกำลังสอดส่องตรวจตราความเคลื่อนไหวโดยรอบเพื่อมองหาสถานที่ที่เกิดการระเบิด
ทันใดนั้นอาคารหลังที่มีสนามหญ้าขนาดใหญ่ก็สว่างขึ้น เปล่งแสงสว่างสีเหลืองออกมา
ภายในซากเมืองอันมืดมิดและเงียบสงัดเช่นนี้ นี่เปรียบดังประภาคารที่ส่องสว่างอยู่ท่ามกลางความฝันอันนิรันดร
หลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่าหันหน้าไปมองดู จากนั้นก็สาวเท้าก้าวยาววิ่งออกไป
* * * * *
เมื่อแสงไฟสว่างจ้าขึ้นมา หลงเยว่หง ไป๋เฉิน เจี่ยงไป๋เหมียนต่างก็รีบหลับตาลงตามสัญชาตญาณทันที เพื่อปรับสายตาให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
มีเพียงซางเจี้ยนเย่าเท่านั้นที่พยายามฝืนลืมตาค้างไว้ ทำให้แสบตาจนแทบน้ำตาซึม
“ระวังตัวดีมาก” เจี่ยงไป๋เหมียนลืมตาขึ้นมาเห็นเข้า จึงผงกศีรษะพร้อมพูดชมเชย
“เป็นเพราะผมไม่มีแว่นกันแดดน่ะ” ในที่สุดซางเจี้ยนเย่าก็กะพริบตา
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่อาจตามวิธีคิดของเขาได้ทัน ได้แต่ถอนใจ
“ตอนนี้รู้สึกว่าเหมือนได้กลับไปอยู่ที่บริษัทเลยแฮะ…”
ที่ว่าเหมือนกันก็คือการอยู่ภายในอาคาร ต้องพึ่งพาอุปกรณ์ให้กำเนิดแสงอย่างเช่นหลอดฟลูออเรสเซนต์เหมือนกัน มีพื้นที่โถงลิฟต์ที่กว้างขวางเหมือนกัน
สิ่งเดียวที่แตกต่างกันก็คือห้องโถงลิฟต์ของที่นี่กว้างขวางมาก ความกว้างเทียบได้กับ ‘ศูนย์กิจกรรม’ ของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ เลยทีเดียว และยิ่งกว่านั้นมันยังปูพื้นด้วยแผ่นหินสีดำที่ดูหรูหรา รวมถึงแขวนโคมไฟระย้าโปร่งแสงราวกับภาพฝันไว้อีกด้วย
“นี่มัน… ของจริงเหรอเนี่ย” หลงเยว่หงยืนอยู่ตรงทางขึ้นลงบันไดเพื่อคอยเฝ้าระวังป้องกันเผื่อว่าเฉียวชูขึ้นมา เขาจึงไม่กล้าหันหน้ากลับมามองดูในห้อง
“สว่างกว่าที่บริษัทอีก” ซางเจี้ยนเย่าอธิบายแบบง่ายๆ
พอได้ยินคำพูดนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยิ้มก่อนจะขมวดคิ้ว
“ค่ำคืนมืดสนิทแบบนี้ อาคารเพียงหลังเดียวที่มีไฟสว่างไสวในซากเมืองแบบนี้ แถมมีแค่หลังเดียวเท่านั้น นี่มันจะเด่นสะดุดตาเกินไปหรือเปล่านะ”
ไป๋เฉินที่กำลังเล็งเป้าที่ลิฟต์สามตัวฝั่งตรงข้าม เข้าใจสิ่งที่เจี่ยงไป๋เหมียนพูดถึงทันที เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามออกมา
“หัวหน้ากลัวว่าหลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่า กับพวกนักล่าจะมาที่นี่เพราะสาเหตุนี้ใช่ไหม”
“ถ้าเป็นพวกนักล่าธรรมดาก็ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอก ก่อนนี้เธอเคยบอกไว้แล้วว่าพวกเขาจะพยายามอยู่ห่างจากสถานที่ที่มันดูผิดปกติ” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเล็กน้อย “แต่ตอนนี้พวกเรารู้แล้วว่าจิ้งฝ่าก็อยู่นี่ด้วย เขามีร่างกายที่พิเศษ ฝีมือก็ไม่ธรรมดา ไม่กลัวใครทั้งนั้น มีแนวโน้มสูงมากที่เขาจะถูกดึงดูดมาที่นี่ แถมเขายังเกลียดผู้หญิงเข้าไส้อีกต่างหาก นอกจากนั้นก็ยังมีความเป็นไปได้ที่พวกกลุ่มโจร ‘ไฮยีน่า’ จะเข้ามาในซากเมืองนี้ด้วย พวกมันชอบมุงอยู่รอบๆ สถานการณ์ผิดปกติเพื่อรอคอยโอกาส”
ซางเจี้ยนเย่าคิดใคร่ครวญแล้วพูด
“งั้นก็ต้องดูแล้ว ว่าระหว่างพวกมันกับเฉียวชู ชื่อใครจะแย่กว่ากัน”
“นายหมายถึงว่าใครจะดวงกุดกว่ากันงั้นสินะ” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะคิกคัก “ดูนายออกจะเชื่อมั่นใน ‘ทีมสำรวจเก่า’ ของเรามากเลยสินะ จะว่าไงถ้าหากว่าเกิดกรณีเลวร้ายที่สุดขึ้นมาล่ะ แบบว่าพวกมันดันโผล่มาพร้อมๆ กัน โจมตีขนาบเราทั้งหน้าหลังเลย”
หลังจากที่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมานานหลายวัน เธอก็เข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายนั้นเชื่อมโยงชื่อที่ไม่ดีไม่เป็นมงคลเข้ากับเรื่องความโชคร้าย และชะตาชีวิตไม่ดี
เธอเพิ่งจะพูดขาดคำ ซางเจี้ยนเย่าจู่ๆ ก็ถามขึ้นมา
“จิ้งฝ่าใช้อะไรเป็นตัวตัดสินว่าใครเป็นผู้หญิง”
“เขาเป็น ‘นิรันดร์กาล’ ไปแล้ว แน่นอนว่าต้องไม่ได้ใช้อวัยวะอย่างดวงตาหรือจมูกหรอก แต่จะต้องใช้ปัจจัยที่ครอบคลุมองค์ประกอบทุกด้านเพื่อตัดสินว่าเป็นเพศอะไร” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบมาโดยอัตโนมัติ “หรือว่านายคิดจะปลอมตัวเป็นผู้หญิงเพื่อล่อเขาออกไปห่างๆ หลังจากนั้นค่อยเผยโฉมออกมาว่าเป็นผู้ชายอย่างนั้นเหรอ ฮ่า ฮ่า ฉันว่านั่นมันออกจะยากไปหน่อยนะ”
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
“ผมแค่คิดว่าถ้าจิ้งฝ่าไปเจอกับเฉียวชูแล้วจะเกิดอะไรขึ้น”
เจี่ยงไป๋เหมี่ยนกระจ่างขึ้นมาทันที พูดพึมพำกับตัวเอง
“จิ้งฝ่าไม่ได้เกลียดผู้หญิง แต่ว่าเกลียดทุกคนที่กระตุ้นความหื่นกระหายในกามารมณ์ซึ่งเป็นจุดอ่อนของตัวเอง เพราะเขาไม่อาจปลดเปลื้องความปรารถนาทางร่างกายได้อีกแล้ว
“ดูเหมือนว่าการ ‘ทำเสน่ห์’ ของเฉียวชูจะไม่มีการแบ่งแยกเพศนะ แต่มันก็ไม่ได้มีผลกระทบเพียงแค่เฉพาะผู้หญิงเท่านั้น แม้แต่ผู้ชายด้วยกันเองก็ยังได้ผลดีมากเหมือนกัน ขนาดพวกสัตว์ร้ายก็ยังโดนผลกระทบเลย
“ถ้าหากจิ้งฝ่ามาเจอเฉียวชู เขาจะต้องถูกทำเสน่ห์ทันที และเนื่องจากจิตใจเขาวิปริตบิดเบี้ยวมานานหลายปีแล้ว ดังนั้นปฏิกิริยาที่เขาจะตอบสนองออกมาก็มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“นั่นคือจะบังคับข่มเหงคนที่กระตุ้นให้เขาเกิดความหื่นกระหาย แล้วทำให้อีกฝ่ายต้องตายอย่างทุกข์ทรมาน…”
เสียงพึมพำของเจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้เบา ทุกคนจึงได้ยินอย่างชัดเจน ไป๋เฉินพยักหน้าเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น แล้วก็พูดออกมาโดยไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ
“ชักรู้สึกอยากให้จิ้งฝ่าได้เจอเฉียวชูเร็วๆ แล้วสิ…”
“ยายเด็กเลวนี่” เจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมา
จากนั้นก็กลั้นยิ้มแล้วสั่งการอย่างจริงจัง
“สรุปสั้นๆ ก็คือระหว่างที่รอให้เฉียวชูปรากฏตัว พวกเราต้องคอยระวังรอบด้านไว้ให้ดี จะวางใจไม่ได้ ต้องเตรียมพร้อมเผชิญกับสิ่งมีชีวิตอันตรายอยู่ทุกขณะ”
ระหว่างที่พูดเธอก็ลุกขึ้นยืนแล้วเปิดหน้าต่างบานที่อยู่ลึกเข้าไปด้านในของโถงลิฟต์ ข้างนอกบานหน้าต่างนั้นเป็นสวนที่มีหญ้าขึ้นรกเต็มไปหมด
“ถ้าจิ้งฝ่าเข้ามาทางประตูหน้า ฉันจะใช้ปืนยิงระเบิดยิงสกัดเขาไว้ก่อน พวกนายก็รีบใช้จังหวะนั้นออกจากที่นี่ไปทางหน้าต่างนี้
“ต้องยอมรับว่าพลังยิงของพวกเราในตอนนี้ไม่พอที่จะจัดการกับหลวงจีนจักรกลที่เป็นผู้ตื่นรู้ได้ ดังนั้นจะเอาชีวิตไปเสี่ยงไม่ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนกลับไปยังตำแหน่งก่อนหน้า พิงผนังแล้วนั่งยองลงไป “เอาละ เฉียวชูน่าจะใกล้มาถึงแล้ว เขากลับออกจากห้องเครื่องใต้ดินขึ้นมาที่โถงลิฟต์ต้องเร็วว่าขาไปที่ลงจากบันไดไปห้องเครื่องใต้ดินแน่นอน”
เพราะอย่างน้อยเฉียวชูก็คุ้นเคยกับเส้นทางแล้ว
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดขาดคำก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง
“พวกนายพอจะประเมินพลังที่สร้างความหดหู่ของเฉียวชูได้ไหมว่ามีระยะขอบเขตใกล้ไกลขนาดไหน ฉันจำได้ว่ามันส่งผลกระทบต่อเป้าหมายได้พร้อมกันหลายคน
“พวกเราจะมัวแต่ระวังเรื่องการทำเสน่ห์อย่างเดียวโดยไม่สนใจพลังพิเศษอย่างอื่นของเขาไม่ได้”
ซางเจี้ยนเย่าตอบทันที
“พลังพิเศษพวกนี้น่าจะอ่อนแรงลงเมื่อต้องทะลุผ่านสิ่งกีดขวางอย่างพวกกำแพงหรือประตูโลหะ”
“ถึงจะอ่อนแรงลงแต่เราก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบ ถ้าแม้แต่ตำแหน่งที่ไป๋เฉินอยู่ก็ยังได้รับกระทบไปด้วยแล้วจะไปซุ่มยิงเฉียวชูได้ไง ถ้าถึงตอนนั้นทุกคนเกิดหดหู่ท้อแท้กันหมด พวกเราก็ตายเกลี้ยงยกทีมทันที” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดต่ออย่างรวดเร็ว
ก่อนจะพูดจบประโยคเธอก็ลุกยืนขึ้นมาแล้ว
“ตอนนี้พวกเราไม่มีข้อมูลสำคัญ งั้นยกเลิกปฏิบัติการครั้งนี้”
“ไปซุ่มยิงจากบนหลังคาไหม” ไป๋เฉินแนะนำ
เจี่ยงไป๋เหมียนถามกลับอย่างเร็ว
“เธอมั่นใจแค่ไหนที่จะซุ่มยิงเป้าหมายที่สวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงทางทหาร
“และพวกเราก็มีปืนสไนเปอร์แค่กระบอกเดียวด้วย”
ไป๋เฉินรู้ตัวดีจึงไม่กล้ายืนยัน เธอพูดด้วยสีหน้ามืดหม่นเล็กน้อย
“ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่”
“งั้นตอนนี้พวกเรารีบถอยกันก่อน ไว้ค่อยหาโอกาสกันใหม่” เจี่ยงไป๋เหมียนสั่ง
“ทราบแล้ว หัวหน้า!” ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้เพื่อไม่ให้เสียเวลาอันมีค่า
ขณะที่สังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบ เจี่ยงไป่เหมียนพูดพึมพำบ่นตัวเองด้วยความหงุดหงิด
“ทำไมการที่จะสลัดให้หลุดจากเฉียวชูนี่ กระบวนความคิดฉันมันถึงได้เหมือนกับว่าโดนผลกระทบจากอะไรบางอย่างจนทำให้มองข้ามปัญหานู่นนี่อยู่ตลอด ไม่ได้มีเหตุผลเหมือนปกติที่เคยเป็น…”
ตอนนี้เสี่ยวชงที่สะพายกระเป๋านักเรียนสีแดงเดินตามกลับมาถึงโถงหน้าลิฟต์แล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยความผิดหวัง
“ไม่เล่นกันแล้วเหรอฮะ”
“ไว้คราวหน้านะ” เจี่ยงไป๋เหมียนชี้ไปที่หน้าต่าง “เราจะออกไปทางนี้ จะได้ไม่ต้องเจอกับคนที่เข้ามาทางประตูหน้า ซางเจี้ยนเย่า นายอุ้มเสี่ยวชงไว้แล้วนำหน้าไป เร็วเข้า มีคนมาแล้ว!”
ขณะที่พูด เจี่ยงไป๋เหมียนก็หยิบปืนยิงระเบิดขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่งแล้วเล็งไปยังทางเข้าด้านหน้า
ซางเจี้ยนเย่าอุ้มเสี่ยวชงวิ่งไปข้างหน้าสองก้าวแล้วกระโดดผ่านหน้าต่างพุ่งออกไปด้านนอก
หลงเยว่หงกับไป๋เฉินปีนหน้าต่างตามออกไปทีละคน
ในเวลานี้เจี่ยงไป๋เหมียนมองเห็นหลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่าที่สวมชุดหลวงจีนสีเหลืองห่มจีวรแดงแล้ว
เมื่อจิ้งฝ่าได้ยินเสียงผู้หญิง แสงสีแดงในดวงตาก็สว่างวาบแล้วก็รีบวิ่งตรงรี่เข้ามาหาทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนรีบเหนี่ยวไกปืนยิงระเบิดออกไปอย่างไม่ลังเล
ตูม!
เปลวเพลิงลุกโชนที่บริเวณทางเข้าด้านหน้า เศษชิ้นส่วนปลิวกระเด็นกระจายว่อนไปทั่ว ทำให้จิ้งฝ่าต้องหลบฉากไปโดยอัตโนมัติ
เจี่ยงไป๋เหมียนฉวยจังหวะนี้รีบวิ่งไปที่หน้าต่าง พุ่งพรวดออกไปในก้าวเดียว
เพียงหนึ่งถึงสองวินาทีถัดมา หลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่าก็กระแทกผนังกระจกบริเวณทางเข้าด้านหน้าจนเกิดเสียงดังเพล้ง แล้วพุ่งเข้ามาจากด้านข้าง
ขณะที่เขากำลังจะยิงระเบิดใส่หน้าต่างนั้น จู่ๆ เขาก็หมุนคอหันศีรษะไปครึ่งรอบ มองตรงไปยังลิฟต์ตัวหนึ่ง
จากนั้นก็ปรี่เข้าใส่ลิฟต์อย่างบ้าคลั่ง ดวงตาสีแดงก่ำราวกับโลหิต
ลิฟต์หยุดที่ชั้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว ประตูชั้นในค่อยๆ เปิดออกตามด้วยประตูลิฟต์ด้านนอก
จิ้งฝ่ายกแขนขึ้นมา เล็งอาวุธโจมตีทุกชิ้นที่มีทั้งหมดไปข้างในลิฟต์
แต่ทว่าภายนั้นกลับมีเพียงผนังโลหะเย็นเยียบสีเทาแก่เท่านั้น ไม่มีเงาร่างมนุษย์ปรากฏให้เห็น
ระหว่างที่จิ้งฝ่ากำลังมึนงง ประตูลิฟต์ก็เลื่อนปิดลงแล้วเคลื่อนตัวต่อขึ้นไปชั้นบน
ในช่องว่างที่มืดมิดด้านบนของลิฟต์ เฉียวชูที่สวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงยืนอย่างเงียบเชียบอยู่ด้านข้างสายลวดสลิงสำหรับดึงตัวลิฟต์
เขาก้มมองลงไป เม้มปากแน่น
ในห้องโถงลิฟต์ชั้นหนึ่ง ในที่สุดจิ้งฝ่าก็เริ่มตอบสนอง
ดูเหมือนเขาพอจะเข้าใจอะไรบ้างอย่างขึ้นมาแล้ว รีบรัวนิ้วกดปุ่มเรียกลิฟต์อีกตัวอย่างบ้าคลั่ง
* * * * *
สนามด้านหลัง ‘ศูนย์ควบคุมเครือข่ายอัจฉริยะ’
เจี่ยงไป๋เหมียนค้อมก้มตัวรีบเดินไปในบริเวณที่แสงสว่างจากอาคารส่องไปไม่ถึง
เพียงไม่นานเธอก็ติดตามสัญญาณไฟฟ้าจนมาถึงตำแหน่งที่ไป๋เฉินกับคนอื่นๆ รออยู่
ซางเจี้ยนเย่าชันเข่ากึ่งนั่งยองพิงอยู่ที่หัวมุม พูดด้วยน้ำเสียงต่ำ
“เสี่ยวชงไม่อยู่แล้ว”
“ไปไหน” เจี่ยงไป๋เหมียนลดเสียงถาม
ซางเจี้ยนเย่าพูดเฉพาะประเด็นหลัก
“พอมาถึงนี่ผมก็วางเขาลง เขาบอกว่าจะไปฉี่ แล้วรีบวิ่งไปหลังพุ่มไม้ จากนั้นก็ไม่เห็นอีกเลย”
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่แฮะ เหมือนมีอะไรแปลกๆ พวกเรารีบออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดดีกว่า”
ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ รีบตอบสนองทันทีโดยใช้การกระทำแทนคำพูด
ภายใต้การนำจากเจี่ยงไป๋เหมียน พวกเขาตรงไปด้านข้างพยายามจะปีนรั้วออกไปแล้วค่อยวกอ้อมกลับมา
พวกเขาเดินลัดเลาะต้นไม้ดอกไม้ เข้าใกล้เป้าหมายขึ้นทุกขณะ
แล้วในตอนนี้ เสียงหอนที่แหบแห้งอ้างว้างก็พลันดังขึ้นมาจากที่ไม่ไกลมากนัก
เสียงหอนคำรามนี้ดังกึกก้องยิ่งกว่าครั้งก่อนๆ ราวกับว่าดังอยู่ในหูพวกเขาโดยตรง
ทั้งเจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ ในหัวพลันกลายเป็นว่างเปล่าขาวโพลนในทันที หัวใจราวกับถูกตรึงด้วยความหวาดกลัวอันคุ้นเคย เป็นความหวาดกลัวสุดขีดจนหัวใจแทบหยุดเต้น
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก่อนที่พวกเขาจะได้ยินเสียงอ่อนโยนดังขึ้นมา
“ไม่ต้องกลัว สงบใจไว้”
ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ ตัวสั่นเทาเล็กน้อย ในที่สุดก็ฟื้นสติขึ้นมา รู้สึกว่าความหวาดกลัวนั้นลดระดับลงไปราวกับน้ำลดจนเหือดแห้งไป
พวกเขาหันขวับไปมองต้นเสียงทันที แล้วก็เห็นคนผู้หนึ่งนั่งยองอยู่ภายใต้เงาของรั้ว
คนผู้นี้สวมเสื้อคลุมสีดำหลวมๆ ผมยาวประบ่า มีเคราที่ดูดี สีหน้าอบอุ่นแต่ดูหนักใจเล็กน้อย
ซางเจี้ยนเย่าและผองเพื่อนต่างก็รู้จักคนผู้นี้ พวกเขานั้นเคยมีวาสนาได้พบพานกันในแดนร้างมาก่อนหน้านี้แล้ว
เขาคนนี้คือคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักโบราณวัตถุและนักประวัติศาสตร์… ตู้เหิง