อิ๋งจื่อจินเอาเหรียญโบราณใส่ไว้ในกระเป๋าแล้วโยนชามหินที่ซื้อมาทิ้งลงถังขยะ เธอกระชับเสื้อกันหนาวแล้วหันตัวเดินออก
เด็กหนุ่มสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “เธอหมายความว่าไงเนี่ย!”
ซื้อแล้วก็ทิ้ง ทั้งยังทิ้งต่อหน้าเขาด้วย จงใจดูถูกเขางั้นเหรอ
อิ๋งจื่อจินไม่สนใจ เดินหน้าต่อ
เด็กหนุ่มโมโหลุกยืนขึ้น “เธอเป็นหน้าใหม่ใช่ไหม รู้จักมารยาทหรือเปล่า หยุดนะ!”
พอเขาจะตามไปก็มีเสียงพูดดังขึ้น เจือไปด้วยความร้อนรนเล็กน้อย
“คุณหนู นายท่านของผมอยากซื้อเหรียญเงินครึ่งตำลึงที่อยู่ในมือคุณด้วยเงินหกล้าน ไม่ทราบว่ายินดีจะขายไหมครับ”
เด็กหนุ่มตัวแข็งทื่อทันที แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
อะไรนะ จ่ายหกล้านซื้อเหรียญที่เขาบังเอิญเก็บได้น่ะเหรอ
อิ๋งจื่อจินเลิกคิ้วเล็กน้อย หันไปมองตามเสียง
‘มาแล้ว’
คนคนนั้นเป็นชายชราสวมใส่ชุดตัวยาวแบบสมัยถัง หนวดเคราผมเผ้าสีขาว ย่างก้าวกลับหนักแน่นมั่นคง บุคลิกน่าเกรงขาม
คนที่พูดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นชายหนุ่มที่ติดตามอยู่ด้านหลังชายชรา เขาเข้ามาพูดด้วยน้ำเสียงเจรจา “ถ้ายังไม่พอใจ ยังเพิ่มได้อีกครับ” แค่ประโยคเดียวก็สร้างความฮือฮาได้
“นั่นมันเหรียญอะไรกันแน่ หกล้านยังไม่พออีกเหรอ”
“เหมือนเมื่อกี้ฉันได้ยินว่า เหรียญเงินครึ่งตำลึงอะไรหรือเปล่า”
“ไม่น่าเป็นไปได้มั้ง…”
“ถ้าเป็นเหรียญเงินครึ่งตำลึงจริงก็คุ้มค่ากับราคานี้นะ”
ในงานประมูลระดับสากลครั้งหนึ่งเมื่อไม่กี่ปีก่อน เหรียญเงินครึ่งตำลึงแบบเดียวกัน สุดท้ายจบการประมูลที่ราคาเจ็ดล้านหกแสน
“เหรียญเงินครึ่งตำลึงอะไร” เด็กหนุ่มทั้งร้อนใจทั้งโมโห “เหรียญนั่นผมเก็บได้ที่ริมแม่น้ำ คิดว่าเหรียญเงินครึ่งตำลึงเป็นหัวผัดกาดขาวหรือไง”
ถ้าเป็นเหรียญเงินครึ่งตำลึงจริง เขาไม่กลายเป็นตัวตลกเลยเหรอ
ชายชราเอามือไพล่หลัง พูดอย่างใจเย็น “มู่เฉิง”
มู่เฉิงเข้าใจ หยิบเอกสารฉบับหนึ่งออกมา เป็นใบรับรองอักษรสีแดงบนกระดาษขาวเขียนไว้อย่างชัดเจน
นักประเมินราคาวัตถุโบราณของประเทศ ระดับแปด ระดับสูงสุด
“…”
ใบรับรองนี้ได้ตอบข้อสงสัยทั้งหมด ประหนึ่งเป็นการเอาฝ่ามือตบหน้าเด็กหนุ่มเจ้าของร้านอย่างโหดเหี้ยม อิ๋งจื่อจินกลับมองใบรับรองใบนั้นอย่างจริงจังพลางครุ่นคิด ตามคาด อาชีพใหม่ของศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดก็มีมากเหมือนกัน
เธอพยักหน้า “ไม่ต้องหรอกค่ะ ราคานี้กำลังดี”
“ครับ ขอบคุณคุณหนูที่ยินดีขายให้” มู่เฉิงพยักหน้า หยิบบัตรสีดำออกมาใบหนึ่ง “ในนี้มีเงินอยู่หกล้าน ใช้ได้สากลทั่วโลกครับ”
มุมขวาบนของบัตรสีดำใบนี้มีดอกไอริสสีทองหนึ่งดอก
สายตาของอิ๋งจื่อจินหยุดชะงัก ดวงตาโค้งมนเล็กน้อย
อืม ดีมาก ธนาคารที่เมื่อก่อนเธอฝากทองไว้ยังไม่เจ๊ง
“ไม่ได้ ฉันไม่ขายแล้ว!” พอเห็นบัตรสีดำใบนั้น มีเหรอที่เด็กหนุ่มจะทนไหว เขารีบเดินเข้าไปจะแย่งเหรียญโบราณจากมือของอิ๋งจื่อจิน ท่าทางรุนแรง “เอามานี่!”
นี่เป็นเหรียญที่เขาเก็บได้ เงินก็ควรเป็นของเขา
อิ๋งจื่อจินไม่แสดงสีหน้าอะไร เธอแค่ยกขาขวาขึ้น
ท่าทางเหมือนยกเรื่อยเปื่อย ไม่ได้ตั้งใจ
แต่แค่ลูกเตะทีเดียวเด็กหนุ่มก็กระเด็นไปไกลหลายเมตร
“โครม”
คนแถวนั้นงงกันเป็นแถว “…”
อิ๋งจื่อจินถึงยื่นเหรียญโบราณให้ รับบัตรสีดำมา “ขอบคุณค่ะ”
มู่เฉิงอึ้ง นึกว่าฝันไป “…ไม่เป็นไรครับ”
อย่าว่าแต่มู่เฉิง แม้แต่ชายชราในชุดแบบสมัยถังก็ยังตกใจเล็กน้อย สายตามองอย่างสำรวจ และเรื่องที่ทำให้ตกใจยิ่งกว่าคือ คนดูแลที่ปกติไม่เคยโผล่หน้าได้เดินเข้ามา พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ตลาดนัดใต้ดินก็มีกฎของตลาดนัดใต้ดิน ของที่ขายไปแล้วยังคิดจะยึดคืนเหรอ ยึดใบอนุญาตของคนนี้ ต่อไปห้ามเข้ามาในตลาดนัดใต้ดินอีก”
พูดจบก็หันไปโค้งตัวให้อิ๋งจื่อจิน “ขอโทษด้วยครับที่ทำให้ตกใจ”
อิ๋งจื่อจินเก็บบัตรสีดำเข้ากระเป๋า “ไม่เป็นไรค่ะ”
หกล้านหยวน พอใช้ไปได้ระยะหนึ่งแล้ว
คนดูแลถึงได้โล่งอก เขาหันไปสั่งให้ยามลากตัวเด็กหนุ่มเจ้าของร้านออกไป
ไม่ไกลออกไป บาร์เทนเดอร์ที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างเงียบไปชั่วขณะ พูดจากใจ “เด็กน้อยที่นายรู้จักดูเหมือนจะโหดไปหน่อยนะ”
สาวน้อยที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัยแต่กลับถีบผู้ชายตัวโตให้กระเด็นออกไปได้
“พูดเหลวไหลอะไรน่ะ” ดวงตาดอกท้อของฟู่อวิ๋นเซินโค้งมน “เห็นๆ อยู่ว่าทั้งเรียบร้อยทั้งน่ารัก”
บาร์เทนเดอร์ “…” ท่าจะหลงหนักเกินไปแล้ว
แต่เขาก็ยังคงไม่เข้าใจ “ทำไมนายไม่เข้าไปล่ะ ทำตัวเป็นฮีโร่ช่วยสาวงามไม่ดีเหรอ”
จะต้องรอให้เป็นแบบนี้ ให้คนดูแลมาจัดการ
ขนตาฟู่อวิ๋นเซินกะพริบ เขายิ้มเล็กน้อย “ฉันเข้าไปไม่ได้”
บาร์เทนเดอร์อึ้ง “ทำไมล่ะ”
“อืม…” ฟู่อวิ๋นเซินเงียบไปชั่วขณะ ยิ้มแล้วพูดต่อ “ฉันต้องใส่ใจความรู้สึกของเด็กน้อย ยังไงซะเมื่อสองชั่วโมงก่อนพวกเราเพิ่งบอกกู๊ดไนท์กัน”
ปรากฏว่ามาเจอกันในตลาดนัดใต้ดินอีก แบบนั้นมันไม่น่ากระอักกระอ่วนเหรอ ถึงแม้เขาจะเดาได้อยู่ก่อนแล้วว่าหลังจากเธอได้ยินคำพูดนั้นจะต้องมาที่ตลาดนัดใต้ดินแน่นอน และก็มาจริง
“…” บาร์เทนเดอร์หมดคำจะพูดยิ่งกว่าเดิม
“ฉันว่าหลังจากนายกลับมาก็เอาเวลาไปใช้เอาใจสาวแล้วสินะ”
แม้แต่ความรู้สึกเล็กน้อยแบบนี้ก็ต้องเอาใจใส่ ละเอียดอ่อนไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
เขายังงงอยู่ว่าคุณชายท่านนี้สร้างภาพลักษณ์คุณชายเสเพลให้ตัวเองทำไม
“นายพูดอะไรของนายอีก” ฟู่อวิ๋นเซินก้มหน้า “ฉันจำเป็นด้วยเหรอ”
บาร์เทนเดอร์มองชายหนุ่มตรงหน้าที่มีใบหน้าสยบได้ทุกคน “…”
…
ภายในซอยอีกด้านหนึ่ง
“นายท่านครับ ถ้าพวกเราไปเร็วกว่านี้หน่อยก็คงดีนะครับ” มู่เฉิงพูด “เสียเงินไปเปล่าๆ ตั้งหกล้าน”
ถึงแม้เงินหกล้านจะไม่เท่าไรสำหรับพวกเขา แต่ถึงอย่างไรหากประหยัดได้ก็ควรประหยัด
“ไม่สิ้นเปลืองหรอก” ชายชราส่ายมือ ใบหน้ามีรอยยิ้มปรากฏ “อย่างน้อยฉันก็ได้เจอสาวน้อยที่น่าสนใจ”
มู่เฉิงเข้าใจทันที “นายท่านหมายถึงลูกเตะเธอเมื่อกี้เหรอครับ”
“ถูกต้อง” ชายชราตอบ “อีกทั้งเหรียญโบราณเหรียญนี้ เธอไม่ได้บังเอิญซื้อส่งเดชหรอกนะ”
มู่เฉิงสงสัย “เป็นไปไม่ได้มั้งครับ…”
เขารู้ว่าหลังจากมู่เฮ่อชิงปลดเกษียณก็ไม่มีงานอดิเรกอย่างอื่น แค่ชอบเก็บของโบราณเอาไปบริจาคให้พิพิธภัณฑ์ของประเทศ
มู่เฮ่อชิงไม่ได้พูดอะไรมาก กระแอมสองที “ไปเถอะ”
มู่เฉิงตามไป ขณะที่กำลังจะเอ่ยถามอีกครั้งกลับเห็นชายชราเอามือจับตรงหน้าอก ทันใดนั้นร่างกายหดเกร็ง ล้มลงไป
มู่เฉิงตกใจรีบเดินเข้าไปหา “นายท่าน!”
แย่แล้ว ใครก็ไม่คาดคิดว่าอาการของมู่เฮ่อชิงจะกำเริบตอนนี้ พวกเขาไม่ได้พาหมอมาด้วย
สุขภาพของมู่เฮ่อชิงแข็งแรงมาตลอด แต่ก่อนเกษียณถูกยิงตรงตำแหน่งเฉียดหัวใจ ถึงแม้จะฟื้นขึ้นมาแล้วแต่กลับมีอาการหลงเหลือที่พร้อมจะกำเริบได้ทุกเวลา
แต่ก่อนหน้านี้เพิ่งผ่าตัดไป ไม่ควรจะกำเริบเร็วขนาดนี้ ทำไงดีล่ะเนี่ย
คุณหนูเมิ่งอยู่ตั้งเมืองตี้ตู มาไม่ทันอยู่แล้ว มู่เฉิงร้อนใจจนเหงื่อแตกเต็มหัว เขาใช้มือที่สั่นเทาหยิบยา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ป้อนไม่เข้าปาก
ในขณะที่เขากำลังลนลานอยู่นั้นก็มีเสียงดังมาจากด้านหลัง
“อย่าประคองหลัง จะทำให้เขายิ่งหายใจลำบาก ปล่อยเขานอนราบ”
มู่เฉิงเงยหน้ามองด้วยความตกใจ
เด็กสาวยืนอยู่นอกซอย สองขาทั้งยาวทั้งตรง
หลังจากเธอเดินเข้ามาใกล้หน่อยก็นั่งลง เอามือจับชีพจรของมู่เฮ่อชิง ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ในที่สุดมู่เฉิงก็ได้สติกลับมา พอเห็นท่าทางของเด็กสาวก็ทั้งตกใจทั้งโมโห เขาตีมือเธอทันทีพร้อมตวาดเสียงดุ “อย่ามาจับนะ!”
มู่เฮ่อชิงเป็นใคร
ถ้าเกิดเรื่องขึ้นใครก็รับผิดชอบไม่ไหว
แต่มือของเขาไม่สัมผัสถูกแม้แต่น้อย ตีลงไปที่พื้น
มู่เฉิงสูดลมหายใจเข้าลึก โมโหยิ่งกว่าเดิม “คุณคิดจะทำอะไรกันแน่”
อิ๋งจื่อจินยังคงลองจับชีพจร “ช่วยชีวิตคน”
มู่เฉิงราวกับได้ยินเรื่องตลก “คุณเป็นแค่เด็กเองนะ”
ในประเทศจีนนอกจากหมอแผนโบราณไม่กี่คน ใครกล้าพูดว่ารักษามู่เฮ่อชิงได้บ้าง