แสงแดดวูบไหว สาดส่องลงบนใบหน้าที่งดงามดุจเทพบุตรของเขาคล้ายดวงดาวที่เจิดจรัส
อิ๋งจื่อจินอึ้งไปชั่วขณะ แบบนี้เป็นอะไรที่เห็นได้ยาก ผ่านไปสักพักเธอก็ละสายตา ขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำไมเธอถึงนึกการเปรียบเปรยแบบนี้ออกมาได้นะ
ไม่ควร!
“คะ คุณชายเจ็ด…” ลู่จื่อตัวแข็ง ฝืนยิ้ม “คุณชายเจ็ดจะมาทำไมไม่บอกล่วงหน้าล่ะคะ”
ฟู่อวิ๋นเซินกลับไม่สนใจ เขายันตัวขึ้น ใบหน้าผุดรอยยิ้ม “บังเอิญจริงๆ”
อิ๋งจื่อจินได้สติกลับมาและเงยหน้าขึ้น
เวลานี้ชายหนุ่มเอียงตัวเล็กน้อย มีกลิ่นหอมของไม้กฤษณาอ่อนๆ ดวงตาดอกท้อคู่นั้นลุ่มลึก อ่อนโยนเสมอ เวลาที่เขาตั้งใจมองในดวงตาจะมีเพียงเงาของเธอคนเดียว ราวกับเมื่อหลายปีก่อนเขาเองก็เคยมองเธอแบบนี้ ที่มีความอ่อนโยนที่ไม่เคยเสื่อมคลาย
“ขอบ…” ขณะที่เธอกำลังจะเอ่ยปากพูดกลับถูกเขาขัดจังหวะ “ฉันไม่อยากได้ยินคำนี้อีก”
ดวงตาดอกท้อของฟู่อวิ๋นเซินจ้องมอง “รู้จักตั้งนานเท่าไรแล้ว ยังจะเกรงใจแบบนี้อยู่อีก”
สีหน้าอิ๋งจื่อจินชะงัก “…” ใช้เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงคำนวณก็ยังไม่ถึงหนึ่งวัน
ลู่จื่อที่อยู่ข้างๆ หน้าซีดเซียวยิ่งกว่าเดิม มันเรื่องอะไรกัน ลูกเลี้ยงของตระกูลอิ๋งคนนี้ไปสนิทกับคุณชายเจ็ดตระกูลฟู่ตั้งแต่เมื่อไรกัน อย่าว่าแต่ตระกูลลู่เลย แม้แต่ตระกูลอิ๋งยังต้องให้เกียรติตระกูลฟู่
ลู่จื่อกัดริมฝีปาก แล้วก็นึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของชายหนุ่ม ในใจหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม ทันใดนั้นเอง ในที่สุดฟู่อวิ๋นเซินก็มองเธอ พูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “ห้าแสน ตระกูลลู่ร้อนเงินเหรอ”
ลู่จื่ออึ้ง ไม่รู้ว่าควรตอบยังไงดี
ในขณะที่เธอกำลังคิดลังเล ฟู่อวิ๋นเซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเขากดโทร
ในเวลาเดียวกัน ณ คฤหาสน์ที่อยู่ถัดจากถนนจงซานใต้ไปไม่กี่เส้น
พ่อลู่กำลังนั่งจิบชาอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในบ้านอย่างชิลด์ๆ ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
เดิมทีเขาไม่อยากรับ แต่พอได้เห็นเบอร์ก็ตกใจมาก รีบกดรับทันที “คุณชายเจ็ด มีธุระอะไรกับผมเหรอครับ”
ช่วงนี้ตระกูลลู่ได้ออเดอร์ใหญ่ ตระกูลฟู่ต่างหากที่เป็นผู้รับผิดชอบ ยังต้องพึ่งพา
ปรากฏว่าพอเขารับโทรศัพท์ คำพูดแรกของทางนั้นก็คือ “ได้ยินว่าตระกูลลู่ของพวกคุณร้อนเงิน”
พ่อลู่อึ้งไปชั่วขณะ ยังคิดไม่ทัน ประโยคที่สองก็ตามมา
“กลัวพวกคุณต้องชดใช้ ออเดอร์นั่นของเขตเหนือพักไว้ก่อนดีกว่า”
ชายหนุ่มพูดเข้าประเด็น น้ำเสียงยังปนหัวเราะหน่อยๆ ไม่เห็นความโมโห ทว่ากลับมีแรงกดดันมหาศาล
ภายในร้านลู่จื่อเองก็ได้ยิน ดวงตาเบิกโพลง เผลอพูดออกไป “คุณชายเจ็ดอย่า…”
ฟู่อวิ๋นเซินตัดสาย หันหน้าไป “หืม?” มือเท้าของลู่จื่อเย็นไปหมด ปากสั่นอย่างรุนแรง
เธอจะไปคาดคิดได้ยังไง เธอก็แค่อยากสั่งสอนลูกเลี้ยงตระกูลอิ๋งคนนี้ กลับทำให้ตระกูลลู่เสียออเดอร์ใหญ่มูลค่าเกือบล้าน
ตระกูลลู่ไม่ใช่ตระกูลเศรษฐี หนึ่งล้านมันหนักหนาสาหัสมากสำหรับพวกเขา
ลู่จื่อพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว ทำได้เพียงกัดฟันมองเด็กสาว
ทั้งหมดเพราะเธอ!
ถ้าไม่ใช่เพราะเธอจะมาซื้อยาที่นี่ให้ได้ ตระกูลลู่ก็ไม่ต้องเจอหายนะแบบนี้
“อิ๋งจื่อจิน พอได้แล้ว” ลู่ฟั่งที่อยู่ในห้องเก็บของด้านหลังทนดูต่อไปไม่ไหว เขาเดินออกมา พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เดิมทีนี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จำเป็นต้องทำกันขนาดนี้ด้วยเหรอ”
เขาพูดด้วยความหงุดหงิดต่อ “ก็แค่ล้อเล่นเอง เธอก็ไม่ได้เสียเปรียบสักหน่อยเอาแบบนี้…ฉันรับปากว่าจะสอนเสริมวิชาเลขให้เธอ เรื่องนี้ก็ให้แล้วต่อกันไปเป็นไง”
ลู่ฟั่งรู้ว่าฟู่อวิ๋นเซินเป็นคุณชายเสเพล ทำแบบนี้ก็เพื่อเอาใจสาว ดังนั้นจุดเปลี่ยนก็ยังคงอยู่ที่ยัยบ้านนอกคนนี้
ก็ไม่รู้ว่าเธอเข้าตาฟู่อวิ๋นเซินตรงไหนกันแน่ ถึงควรค่าให้ปฏิบัติแบบนี้ด้วย
อิ๋งจื่อจินเงยหน้า รู้สึกคุ้นๆ หน้าคนคนนี้ “นายคือ?”
ลู่ฟั่งที่คิดไว้ทุกแบบแต่กลับไม่คิดว่าจะเจอคำตอบแบบนี้ แสดงใบหน้าบึ้ง “…”
เป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาตั้งหนึ่งเทอมแล้ว ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครงั้นเหรอ แกล้งเสแสร้งใช่ไหม
“อิ๋งจื่อจิน เลิกทำตัวเสแสร้งเถอะ” ลู่ฟั่งประชด “ผลการเรียนของเธอรั้งท้ายในคลาสเด็กอัจฉริยะ ถ้ายังไม่ขยันอีกก็จะถูกไล่ออกจากคลาสเด็กอัจฉริยะ ฉันว่าเธอเองก็คงไม่อยากขายหน้าใช่หรือเปล่าล่ะ”
อิ๋งจื่อจินมองลู่ฟั่งหนึ่งรอบ ก็ยังคงนึกไม่ออกว่าเขาเป็นใคร แต่กลับนึกเรื่องอื่นขึ้นมาได้
โรงเรียนมัธยมชิงจื้อมีคลาสเด็กอัจฉริยะในทุกระดับชั้น ซึ่งในนั้นเป็นนักเรียนที่อยู่ห้าสิบอันดับแรกของชั้นปี ดังนั้นทุกครั้งหลังสอบเสร็จเด็กในคลาสนี้จะมีการเปลี่ยนแปลง
“ตกลงเธอจะรับปากหรือไม่ล่ะ” ลู่ฟั่งรู้สึกหงุดหงิด “เธอลองคิดดีๆ นะ ใช่ว่าฉันจะสอนให้ทุกคน…สายตาแบบนั้นคืออะไร”
เขาเหมือนคนโง่เหรอ
ลู่ฟั่งโมโหอยากจะบ้าตาย
อิ๋งจื่อจินยกมือเคาะแคชเชียร์แล้วพูดขึ้น “ไปห่อยาแล้วเอาไปให้ที่โรงแรมฝั่งตรงข้ามด้วย”
“ระ…รอสักครู่ค่ะ” พนักงานคิดเงินเริ่มเช็ครายการอย่างลนลาน แน่นอนว่าไม่มีทางเก็บเงิน
เธอก็แค่พนักงานตัวเล็กๆ ล่วงเกินใครไม่ได้ทั้งนั้น
ลู่จื่อมองดอกไอริสสีทองที่อยู่บนบัตรดำตรงหว่างนิ้วของเด็กสาว เธออึ้งทันที
นั่นมัน…ลู่ฟั่งโมโหมาก เขาอยากเข้าไป แต่ติดที่มีฟู่อวิ๋นเซินยืนอยู่ข้างๆ
ชายหนุ่มก้มหน้าเล็กน้อย ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
ที่ตัวเขายังคงมีกลิ่นอายคุณชายเสเพล แต่กลับดึงดูดอย่างบอกไม่ถูก
ลู่ฟั่งอดตัวสั่นไม่ได้
ไม่ถึงสิบนาที สมุนไพรร้อยห้าสิบกิโลก็ถูกเตรียมเรียบร้อย ลู่จื่อทำได้เพียงหน้าบึ้งมองพนักงานร้านกุลีกุจอออกไปส่งคนที่เธอเกลียด
ช่างขวางหูขวางตาเหลือเกิน
“พี่ พวกเขาทำเกินไปแล้ว” ลู่ฟั่งทุบโต๊ะอย่างแรง
“รออีกไม่กี่วันก็เปิดเทอม ผมจะเอาเรื่องยัยนั่นคอยดูสิ”
ลู่จื่อเองก็อัดอั้น พูดด้วยความโมโห “ยัยนั่นตอนนี้ไต่ขึ้นเกาะที่สูงแล้วล่ะ คงได้ใจเหลือเกิน” เธอไม่เชื่อหรอกว่าอิ๋งจื่อจินจะมัดฟู่อวิ๋นเซินอยู่หมัดตลอดชีวิต ลู่จื่อสะบัดหน้า ขณะที่เตรียมจะรายงานอิ๋งลู่เวย พ่อของเธอก็โทรเข้ามาเสียก่อน
“พ่อ…” เธอเพิ่งอ้าปากปลายสายก็ตวาดใส่ “พ่ออะไรล่ะ ฉันไม่มีลูกสาวแบบนี้ ยังไม่รีบไสหัวกลับมาอีก!”
…
ภายในห้องของโรงแรม
กวาดตามองสมุนไพรที่กองอยู่เต็มพื้น ขณะที่ฟู่อวิ๋นเซินกำลังจะอ้าปากก็เห็นเด็กสาวหยิบกล่องประหลาดออกมาจากกระเป๋าเป้อย่างใจเย็น นั่นเป็นหม้อใบหนึ่งไม่ผิดแน่
“…”
มือข้างหนึ่งของอิ๋งจื่อจินเท้าคาง มืออีกข้างเลือกสมุนไพร กะปริมาณเอาแล้วโยนลงหม้อ เธอไม่มีเวลาทำหม้อต้มยา คงต้องใช้อันนี้แทนแล้ว เธอดัดแปลงสักหน่อยก็สามารถปรุงยาได้อย่างราบรื่น
เธอจัดการสมุนไพรพลางพูด “เวยปั๋วสองโพสต์นั้น…”
เธอยังคงรู้สึกสนใจในเทคโนโลยีสมัยใหม่กับสรรพสิ่งใหม่ๆ ของยุคปัจจุบัน เธอต้องการเริ่มเรียนรู้แล้วพอฟังถึงตรงนี้ขนตาของฟู่อวิ๋นเซินก็ถูกยกขึ้น หางตาโค้งมน ยิ้มพลางพูด
“เด็กน้อยเธอเตรียมขอบคุณฉันยังไงเหรอ”
อิ๋งจื่อจินปิดฝาหม้อกดปุ่มเปิดพูดอย่างสบายๆ “รับรองว่าโด่ไม่รู้ล้ม”
สีหน้าของฟู่อวิ๋นเซินชะงักไปชั่วขณะ ดวงตาดอกท้อหลุบลง ยังคงมีรอยยิ้ม น้ำเสียงอ่อนโยน แต่ฟังยังไงก็รู้สึกว่าอันตราย “เด็กน้อยคือแบบนี้ ฉันมีคำถามอยากถามเธอ”
“หืม?”
“คำพูดแบบนี้…” เขาย่อตัวเล็กน้อย สายตาอยู่ในระดับเดียวกับเด็กสาวที่นั่งอยู่ “ไปเรียนจากใครมา”