สีหน้าของจงมั่นหวาแทบจะบึ้งลงในชั่วพริบตา
“เด็กคนนั้นอยากเข้าวงการบันเทิงเหรอ”
ประโยคนี้ลอดออกมาตามไรฟัน
“หา” อิ๋งลู่เวยอึ้งไปชั่วขณะ “พี่สะใภ้ เสี่ยวจินไม่ได้บอกพี่เหรอคะ”
จงมั่นหวาสูดลมหายใจเข้าลึก พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อย่าแม้แต่จะคิด!”
คุณหนูตระกูลเศรษฐี มีใครเข้าวงการบันเทิงไปเต้นกินรำกินบ้าง
เรียนไม่เก่งยังไม่เท่าไร เล่นเปียโนไม่เป็นก็พอรับได้ ตอนนี้ยังคิดจะไปเล่นละครเรอะ
วันๆ คิดอะไรอยู่กันแน่
“งั้นฉันก็อาจเข้าใจผิดไปเอง” อิ๋งลู่เวยเม้มริมฝีปากเล็กน้อย “พี่สะใภ้ พี่อย่าโมโหเลยนะคะ ฉันก็แค่สงสัย อันที่จริงด้วยฐานะของเสี่ยวจิน เข้าวงการบันเทิงได้สบายมาก”
ฟังถึงตรงนี้จงมั่นหวาก็โมโหยิ่งกว่าเดิม “ลู่เวย ใช่ว่าใครจะเหมือนเธอได้ เธอสอนเด็กคนนั้นด้วยตัวเองมานานขนาดนี้ แม้แต่เพลงพื้นฐานอย่างเฟอร์ เอลิเซ่เขาก็ยังเล่นไม่ได้!”
อิ๋งลู่เวยเป็นนักเปียโนที่มีชื่อเสียงของประเทศจีน อิ๋งจื่อจินเทียบได้ที่ไหน
อิ๋งลู่เวยรู้สึกผิดในใจ “ฉันสอนไม่ค่อยเป็นเลยเป็นตัวถ่วงให้เสี่ยวจิน”
“เด็กคนนั้นเองต่างหากที่ไม่ตั้งใจเรียน!” จงมั่นหวาโมโหควันออกหู “เธอไปสอนเด็กสามขวบ สอนแบบจับมือเล่นก็คงเป็นกันหมดแล้ว!”
“พี่สะใภ้ พี่…” อิ๋งลู่เวยหยุดเล็กน้อย รู้สึกจนปัญญา “เสี่ยวจินอยู่ไหมคะ ฉันมีของจะให้เธอ”
จงมั่นหวายังคงโมโห “ไม่อยู่หรอก เธอเอาขึ้นไปวางไว้ในห้องก็ได้”
อิ๋งลู่เวยพยักหน้า เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดลงอีก “พี่สะใภ้คะ พี่ใหญ่ไม่ได้บอกเหรอคะว่าเมื่อไรกลับ”
“พี่ใหญ่กับหลานชายของเธอยังอยู่ที่ตี้ตู” จงมั่นหวาพูด “ได้ยินว่าจะมีตระกูลใหญ่มาจากยุโรป ลองดูว่าจะผูกสัมพันธ์ได้ไหม อีกสองสามวันถึงจะกลับน่ะ”
“พี่ใหญ่เก่งจริงๆ ค่ะ” อิ๋งลู่เวยยิ้ม “และก็เป็นเพราะพี่สะใภ้สอนมาดี เทียนลี่ว์ถึงได้สืบทอดความเก่งด้านการทำธุรกิจมาจากพ่อของเขา”
ถึงตระกูลอิ๋งจะเป็นตระกูลเศรษฐีร้อยปี แต่แท้จริงแล้วเพิ่งขยายกิจการตอนมาอยู่ในมือของผู้เฒ่าอิ๋ง เพียงแต่น่าเสียดายที่ผู้เฒ่าอิ๋งตายไปเมื่อไม่กี่ปีก่อนแล้ว
ไม่อย่างนั้นไม่แน่ตระกูลอิ๋งอาจเหนือกว่าตระกูลฟู่ก็ได้
พูดถึงอิ๋งเทียนลี่ว์ สีหน้าของจงมั่นหวาถึงมีรอยยิ้ม “เทียนลี่ว์ เด็กคนนี้ฉลาดตั้งแต่เด็ก ทำให้ฉันไม่ต้องหนักใจอะไร”
อิ๋งลู่เวยถอนหายใจ “ถ้าเสี่ยวจินไม่หายไป จะต้องเก่งไม่แพ้เทียนลี่ว์แน่นอนค่ะ”
จงมั่นหวาหุบยิ้มในทันที
นอกจากเธอกับอิ๋งเจิ้นถิงแล้ว ในบรรดานายของตระกูลอิ๋งก็มีแค่อิ๋งลู่เวยที่รู้ความจริงของเรื่องนี้
พวกเขาปิดบังคุณนายผู้เฒ่าอิ๋งกับอิ๋งเทียนลี่ว์กันอย่างไม่ได้นัดหมาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลเศรษฐีตระกูลอื่น
เลี้ยงมาด้วยกันทั้งนั้น ก็ปล่อยให้ผิดไปไม่เป็นอะไร
แต่ความเป็นจริงได้พิสูจน์แล้วว่า เด็กที่เลี้ยงมาตั้งแต่เล็กนั้นผูกพันกว่า
จงมั่นหวารู้สึกหงุดหงิดใจเหลือเกิน เริ่มเกิดความสงสัยว่าอิ๋งจื่อจินใช่ลูกแท้ๆ ของเธอหรือเปล่า ทำไมไม่ได้ยีนส์ดีๆ ไปแม้แต่นิดเดียว
จากนั้นอิ๋งลู่เวยถึงขึ้นไปชั้นบน
เธอเดินไปที่ห้องของอิ๋งจื่อจินอย่างคุ้นเคยทางดี หยิบกุญแจที่ทำสำรองไว้ออกมาไขเปิดประตู
ภายในห้องตกแต่งเรียบง่าย เตียง ตู้เสื้อผ้า คอมพิวเตอร์ ชั้นวางหนังสือ ล้วนเป็นสีไม้ดั้งเดิมหมด ธรรมดาอย่างมาก
อิ๋งลู่เวยกวาดตามองข้าวของภายในห้องอย่างไม่ใส่ใจ ตอนเห็นหนังสือเด็กที่วางอยู่ครึ่งชั้นหนังสือก็อดขำไม่ได้ สายตาเจือไปด้วยความดูถูก
เธอคิดมากไปแล้ว
อิ๋งลู่เวยเอาผมทัดหู ไม่มองอะไรอีก เปิดประตูเดินกลับออกไป
หลังออกมาจากห้องเธอก็รู้สึกคันผิวนิดหน่อยจึงเอามือเกา ปรากฏว่าเริ่มแสบ
อิ๋งลู่เวยตกใจ รีบเอามือจับหน้าตัวเอง
มืออีกข้างหนึ่งสั่นพลางหยิบโทรศัพท์ออกมา แทบจะไม่มีเวลาได้คิดอะไร “ฮัลโหล เร็วเข้า นัดโรงพยาบาลอันดับหนึ่งให้ฉันหน่อย…”
…
ในเวลาเดียวกัน
ไฟในเมืองถูกเปิดสว่าง ผู้คนมากมายดุจคลื่นในทะเล เสียงแตรรถดังขึ้นไม่ขาดสาย
บนรถ
ฟู่อวิ๋นเซินมองเวลาที่นับถอยหลังขณะติดไฟแดง หันหน้าไปก็เห็นเด็กสาวที่เดิมทีกำลังหลับอยู่ได้ยันตัวลุกขึ้น
“ฝันร้ายเหรอ”
“เปล่า” อิ๋งจื่อจินยืดศอก สีหน้างัวเงีย “นึกเรื่องสนุกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง”
วันนั้น นอกจากเธอจะซื้อสมุนไพรรักษาโรคให้เวินเฟิงเหมียนแล้ว เธอยังจงใจซื้ออย่างอื่นอีกด้วย
พอกลับไปเธอก็จัดการปรุงยาชนิดใหม่ขึ้นมาแล้ววางไว้ในห้อง
แน่นอนว่าสมุนไพรที่เป็นพิษร้ายแรงไม่มีทางขายอยู่ในตลาดได้
ดังนั้นไม่ว่าจะปรุงอย่างไรความเป็นพิษก็ย่อมไม่มีทางสูงมาก
อย่างมากก็แค่เป็นผื่นแดงทั้งตัวหนึ่งเดือน ถ้าไปรักษาจะยิ่งหนักกว่าเดิม หน้าเละอะไรทำนองนั้น
พิษที่เธอผสมนี้ยังไม่มีใครแก้ได้
“หืม?” ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวแล้ว ฟู่อวิ๋นเซินออกรถ “เรื่องสนุกอะไร เล่าให้พี่ชายสนุกด้วยได้ไหม”
เด็กสาวเพิ่งตื่น ดวงตาหงส์เหม่อลอย น้ำเสียงทุ้มต่ำ “ได้สั่งสอนคนคนหนึ่ง ก็เลยอารมณ์ดีนิดหน่อย”
นิ้วเรียวยาวของชายหนุ่มเคาะพวงมาลัยรถเบาๆ แววตาเคร่งขรึม
เขาสืบเรื่องตระกูลอิ๋งมาแล้ว
ต่อให้ตระกูลอิ๋งมีเจตนาปกปิดเรื่องเมื่อสิบหกปีที่แล้ว แต่ถ้าสืบอย่างละเอียดก็สามารถรู้ความจริงได้
สี่ตระกูลเศรษฐีให้ความสำคัญเรื่องผลประโยชน์ ต่อให้เป็นลูกสาวแท้ๆ ก็สามารถทอดทิ้งส่งเดชได้อยู่ดี
เหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด
ฟู่อวิ๋นเซินหยิบช็อกโกแลตออกมาแท่งหนึ่งแล้วยื่นให้
อิ๋งจื่อจินรับมาหักแบ่งครึ่ง
ฟู่อวิ๋นเซินหลุบตาลง แสยะยิ้ม
เด็กน้อยยังมีน้ำใจ
เขามองเด็กสาวพลางครุ่นคิด ริมฝีปากโค้ง เขาพูดขึ้น “เยาเยาเหรอ”
อิ๋งจื่อจินได้ยินไม่ชัด เธอถอดหูฟังออก “อะไรนะ”
“เยาเยา” ฟู่อวิ๋นเซินพูดซ้ำอีกครั้ง ดวงตาดอกท้อหันมาราวกับกำลังยั่วยวน “ชื่อเล่นของเธอ ไม่ใช่ชื่อนี้หรอกเหรอ”
อิ๋งจื่อจินเงียบไปเล็กน้อย เธอตอบ “อืม”
ชื่อเล่นเยาเยาไม่ใช่ชื่อที่ตระกูลอิ๋งตั้งให้ แต่เป็นเวินเฟิงเหมียนตั้ง
เวินเฟิงเหมียนบอกว่า ความหมายของเยาเยามีสองแบบ
หนึ่งคือ ‘สวยงามสดใส ปลอดภัยไร้ทุกข์’ เขาอยากให้เธอมีชีวิตที่สงบสุขตลอดไป
ส่วนอีกความหมายก็คือ ‘ตายกลางคัน’
ที่อำเภอชิงสุ่ยมีธรรมเนียมแบบนี้ ตั้งชื่อความหมายไม่ดีจะช่วยให้เลี้ยงง่ายขึ้นหน่อย
“อืม งั้นก็ดี” สีหน้าของฟู่อวิ๋นเซินดูเรื่อยเปื่อย “ต่อไปฉันจะเรียกเธอว่าเยาเยา ไม่ถือสาใช่ไหม”
อิ๋งจื่อจินหาวออกมา พูดอย่างเนือยๆ “ไม่ถือสา”
เอาแค่ช่วงหลายปีที่อยู่ยุโรปเธอก็มีชื่อมากมายแล้ว
ชื่อ สำหรับเธอเป็นเพียงคำเรียกแทนตัว
เว้นเสียแต่จะมีความหมายพิเศษ
ในที่สุดทั้งสองคนก็มาถึงร้านชาบูเสียบไม้ที่อยู่ข้างถนนคนเดิน ตอนเย็นเป็นช่วงที่คนเยอะจึงต้องต่อคิว
อิ๋งจื่อจินได้กลิ่นหอมอันเย้ายวน กลับรู้สึกเสียดายที่เมื่อก่อนเธอน่าจะอยู่ประเทศจีนให้นานหน่อย พลาดของอร่อยไปตั้งเยอะ
“ฉันจะไปจอดรถ” ฟู่อวิ๋นเซินยกมือขึ้นหมายจะลูบหัวเธอ แต่สุดท้ายก็เอาลง เขาพูด “เธอไปเอาคิวก่อน อย่าเดินไปไหนล่ะ”
ร้านชาบูเสียบไม้ร้านนี้อยู่ในซอย อยู่ห่างจากลานจอดรถพอสมควร
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า
หลังจากได้คิวมาเรียบร้อย เธอก็ยืนพิงกำแพงพร้อมกับเอามือล้วงกระเป๋าข้างหนึ่ง
มืออีกข้างหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดเวยปั๋ว
วันนั้นหลังจากที่อิ๋งลู่เวยแท็กเธอในโพสต์ เธอก็เลยยกเลิกไอดีนั้นไปแล้วสมัครใหม่
อิ๋งจื่อจินกวาดตามองอันดับคำค้นยอดนิยม ไม่เจออะไรสนุกจึงเตรียมจะออกไปเล่นเกม
ทันใดนั้นตรงโพสต์ยอดนิยมก็เด้งเวยปั๋วโพสต์หนึ่งขึ้นมา มาจากไอดีเชิงธุรกิจ