[ข่าวด่วน! อิ๋งลู่เวยเข้าโรงพยาบาลกลางดึก ถูกสงสัยว่าตั้งท้อง!]
โพสต์ยอดนิยมอยู่ใต้คำค้นหายอดนิยม พอเข้าไปก็เห็นได้ทันที
ไม่นานพวกลู่สุ่ยแฟนคลับของอิ๋งลู่เวยพอได้ข่าวก็รีบแห่กันมา
[ว้าว ข่าวดีของพี่สาวกับพี่เขยใกล้มาแล้ว!]
[อ๊า ถ้าลู่เวยท้องก็ไม่ได้ดูคอนเสิร์ตน่ะสิ!]
[ตื่นเต้นๆ ลู่เวยหน้าตาดีขนาดนั้น พี่เขยก็เหมือนกัน เด็กที่คลอดออกมาจะน่ารักขนาดไหนกันนะ]
เรื่องหมั้นหมายของอิ๋งลู่เวยกับเจียงมั่วหย่วนไม่ใช่ความลับ พวกลู่สุ่ยเรียกเจียงมั่วหย่วนอย่างสนิทสนมว่าพี่เขยแล้ว
ในคอมเมนต์เต็มไปด้วยคำแสดงความยินดี แต่ก็มักจะมีที่แตกต่างเสมอ
[หึหึ เจียงมั่วหย่วนตาบอด ถึงกับจะแต่งกับผู้หญิงที่แสร้งทำตัวใสซื่อ ทำไมยังคิดจะผลิตทายาทของคนเสแสร้งออกมาด้วยหรือไง จะทำฟาร์มเหรอ]
ประโยคเดียวด่าถึงสองคน เล่นเอาพวกแฟนคลับโมโหจนด่าชุดใหญ่
แต่เนื่องจากมีเรื่องวันนั้น กลัวจะถูกตบหน้าอีกครั้ง แฟนคลับตัวยงจึงพูดไว้ก่อน
[แอนตี้แฟนมาอีกแล้ว เพื่อนๆ ไม่ต้องไปแลแอนตี้แฟน ยิ่งสนใจเขาก็ยิ่งได้ใจ รีบกดรายงานเร็ว]
พวกแฟนคลับกดรายงานคอมเมนต์แอนตี้แฟนพลางร่วมแสดงความยินดีในกลุ่มแฟนคลับอย่างมีความสุข
แต่กลับไม่รู้ว่าอิ๋งลู่เวยในเวลานี้ใกล้บ้าเต็มที เธอมองตัวเองในกระจกที่เต็มไปด้วยผื่นแดง แม้แต่จะร้องไห้ยังไม่กล้า
“มันเรื่องอะไรกัน” ผู้จัดการส่วนตัวก็ตกใจ “เธอไปโดนอะไรมา”
อิ๋งลู่เวยพูดเสียงสะอื้น “ไม่ได้โดนอะไรเลย”
เธอก็แค่กลับบ้านใหญ่แค่นั้น
“น่าแปลก ขนาดหมอยังตรวจหาสาเหตุของอาการแพ้ไม่พบ เลยให้ยารักษาตามโรคไม่ถูก” ผู้จัดการส่วนตัวขมวดคิ้ว “ฉันจะโทรหาท่านสาม ให้เขา…”
“ไม่ได้นะ!” ทันใดนั้นอิ๋งลู่เวยก็ตะโกนขึ้น “ห้ามให้เจียงมั่วหย่วนเห็นฉันในสภาพนี้”
“งั้นเธอ…” ผู้จัดการปวดหัวมาก
“ได้ๆๆ ฉันจะติดต่อหมอที่โรงพยาบาลตี้ตู เตรียมไปหลบที่เมืองตี้ตูสักพัก”
อิ๋งลู่เวยสวมหน้ากากปิดปาก มีแม้กระทั่งความคิดอยากตาย!
ผู้จัดการส่วนตัวกำชับอีกครั้ง “อย่าไปจับหน้า ต่อให้คันก็อดทนไว้ ช่วงนี้ก็ใส่หน้ากากเอา ห้ามเปิดเผยใบหน้าเด็ดขาด”
…
อีกด้านหนึ่ง
ภายในหนังกั้นของร้านชาบูเสียบไม้
มีกลิ่นหอมผสมเผ็ดโชยหนักขึ้น กระตุ้นต่อมน้ำลาย
อิ๋งจื่อจินเอามือเท้าคาง ชี้ที่ภาพน้ำซุปหมาล่าสีแดง “เอาอันนี้”
ฟู่อวิ๋นเซินกวาดตามอง จากนั้นก็สั่งน้ำซุปเห็ด “สุขภาพไม่ค่อยดี น่าจะกินเผ็ดให้น้อยหน่อย”
“…”
เขานั่งพิงเก้าอี้พลางยิ้ม “เลี้ยงข้าวพี่ชายไม่ควรให้พี่ชายเป็นคนตัดสินใจเหรอ”
อิ๋งจื่อจินนวดหัว ฝืนใจตอบตกลง “ได้”
งั้นครั้งหน้าเธอมากินเอง
เลือกอาหาร ตั้งหม้อ บริการรวดเร็วฉับไว
ไม่นานไอร้อนก็ฟุ้งไปทั่ว ช่วยให้อบอุ่นขึ้นมาหน่อย
เด็กสาวถือแก้วน้ำโค้กเย็น ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ บนขนตาที่หลุบลงมีหยดน้ำเกาะอยู่
ควันโชยบังตา ชวนให้นึกถึงหมอกที่ลอยเหนือหุบเขาไกลๆ พร้อมจะสลายไปได้ทุกเมื่อ
ความงดงามที่เดิมทีไม่ควรมีอยู่ในโลกมนุษย์ ทันใดนั้นกลับปรากฏ ให้ความรู้สึกราวกับไม่ใช่เรื่องจริง
ฟู่อวิ๋นเซินเอียงหน้า “เยาเยา”
อิ๋งจื่อจินได้สติกลับมา “หืม?”
“ฉันจำได้ว่าอีกสามวันโรงเรียนมัธยมชิงจื้อก็จะเปิดเทอมแล้ว” สีหน้าของชายหนุ่มเรื่อยเปื่อย “อยากให้ฉันไปส่งเธอไหม” พอได้ยินประโยคนี้ อิ๋งจื่อจินที่กำลังคิดว่าจะปลูกดอกไม้หรือเลี้ยงหมูก่อนดี “…”
ชีวิตเกษียณของเธอดูเหมือนยังไม่เริ่มก็ล้มไม่เป็นท่าแล้ว
ใช่ว่าเธอจะไม่เคยไปเรียน เธอก็ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เหมือนกัน
เมื่อก่อนตอนอยู่ยุโรป เธอเคยแลกเปลี่ยนความรู้วิชาเล่นแร่แปรธาตุกับคนบ้านั่นที่มหาวิทยาลัยนอร์ตัน วิชาเล่นแร่แปรธาตุที่ยุโรปก็คือการปรุงยาในวงการแพทย์แผนโบราณของจีนนั่นเอง
อีกด้านหนึ่งเพื่อสะดวกต่อการไปที่ไหนก็ได้บนโลก ภายในสามปีเธอได้ศึกษาหลายวิชาของที่นี่ อาทิ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ ชีววิทยา ดาราศาสตร์ เป็นต้น และก็เคยเข้าร่วมงานสัมมนาที่บรรดาผู้ค้นคว้าชั้นแนวหน้าในตอนนั้นจัดขึ้น ได้ความรู้มาจากพวกเขามากมาย แต่ให้เธอไปเรียนตอนนี้น่ะเหรอ
อิ๋งจื่อจินค้นหาวิชาที่ต้องเรียนในโรงเรียนมัธยมชิงจื้อจากในความทรงจำ เธอครุ่นคิด
นอกจากวิชาหลักภาษาที่เธอไม่เคยเรียน อย่างอื่นดูเหมือนก็ไม่ได้ยากมาก
พอไหว เธอใช้ชีวิตเกษียณต่อไปได้ และก็ถือโอกาสใช้ชีวิตในโรงเรียนของศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด
“ไม่เป็นไร ฉันไปเองได้” อิ๋งจื่อจินส่ายหน้าเล็กน้อย “ก็ไม่ได้ไกล”
โรงเรียนมัธยมชิงจื้ออยู่ในวงแหวนรอบสอง การคมนาคมสะดวก
“งั้นถ้ามีเรื่องอะไรต้องการความช่วยเหลือก็บอกได้ตลอด” ฟู่อวิ๋นเซินพยักหน้า “จริงสิเยาเยา ยานั่นของเธอ…” ยังไม่ทันพูดจบ ตรงหน้าเขาก็มียาขวดหนึ่งปรากฏขึ้น เป็นสีขาว
“เวอร์ชันอัปเกรด” อิ๋งจื่อจินหาวออกมา “ไม่พอยังมีอีก”
เห็นได้ชัดว่าฟู่อวิ๋นเซินดูคาดไม่ถึงกับการกระทำของเธอ เขานิ่งไป ยิ้มเล็กน้อย “เยาเยาใจกว้างขนาดนั้นเลยเหรอ”
อิ๋งจื่อจินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ใช่ว่าใครก็มี”
คนที่ดีกับเธอจริงๆ ก็มีไม่กี่คนเอง
ขนตาของฟู่อวิ๋นเซินขยับ รอยยิ้มอ่อนโยน “ขอบคุณนะเยาเยา”
เขารู้ว่ายาพวกนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน
อย่างน้อยในวงการแพทย์แผนโบราณของประเทศจีน คนที่ปรุงยาแบบนี้ออกมาได้ก็มีไม่เกินสิบคน
หนึ่งเม็ดมีราคา แต่ไม่มีขายตามท้องตลาด
แต่เธอให้โดยไม่ต้องขอ อีกทั้งยังให้ทั้งขวด
ฟู่อวิ๋นเซินไม่ได้ถาม และก็ไม่ได้ไปสืบ
ทุกคนต่างมีความลับของตัวเอง เขาเองก็เช่นกัน
…
สามวันต่อมา
ณ โรงเรียนมัธยมชิงจื้อ
นอกจากมอหกที่กลับมาเรียนนานแล้วตั้งแต่วันที่หกหลังตรุษจีน มอสี่กับมอห้าต่างเปิดเทอมวันนี้
เจ็ดโมงสิบห้านาทีเริ่มทบทวนบทเรียนด้วยตัวเอง แต่เด็กมอห้าคลาสเด็กอัจฉริยะก็นั่งกันเต็มแล้วตั้งแต่หกโมงสี่สิบนาที
ปีนี้เมื่อมอหกจบการศึกษาพวกเขาก็เตรียมขึ้นมอหกกันแล้ว จะมามัวชะล่าใจไม่ได้
แต่มีที่นั่งหนึ่งที่ว่างอยู่ ที่นั่งนั้นอยู่ในมุมที่ไม่สะดุดตาของห้องเรียน ข้างถังขยะ บนโต๊ะเก้าอี้เต็มไปด้วยฝุ่น ทั้งยังมีรอยเท้าอีกไม่น้อย
ตอนทำเวรประจำวันก็พากันมองข้ามตรงนี้ทั้งที่ตั้งใจ และไม่ตั้งใจ
มีนักเรียนชายหลายคนมองไปตรงนั้นแล้วพากันซุบซิบ
“คงไม่ใช่เธอไม่กล้ามาแล้วนะ”
“ฉันว่าเป็นไปได้ ยังไงซะต่อให้เธอมาก็เสียเที่ยว คะแนนเต็มเจ็ดร้อยห้าสิบ เธอสอบได้สามร้อยแปดสิบเจ็ด ฉุดคะแนนเฉลี่ยของคลาสเราลงไปอีก”
“นั่นสิ ถ้าฉันเป็นเธอนะ ฉันไม่มีหน้าอยู่ในคลาสเด็กอัจฉริยะแล้ว”
ในคลาสเด็กอัจฉริยะ นักเรียนแบบไหนที่จะโดนดูถูกมากที่สุด
ไม่ต้องทำอะไรเลยกลับได้ในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้
ได้ทรัพยากรที่ดีที่สุดแต่กลับไม่พัฒนาตัวเอง
คลาสเด็กอัจฉริยะมีแค่ห้าสิบคน อิ๋งจื่อจินได้หนึ่งสิทธิ์ นั่นก็หมายความว่าคนที่ได้อันดับห้าสิบไม่มีสิทธิ์เข้ามา
อิงเฟยเฟยนั่งอยู่ข้างหน้านักเรียนชายพวกนี้
เธอได้ยินคำพูดพวกนี้จึงสะกิดคนข้างหน้าแล้วกระซิบ “จือหว่าน เธอว่าอาของเธอคิดยังไง ทำไมถึงต้องดันทุรังยัดลูกเลี้ยงเข้าคลาสเด็กอัจฉริยะด้วย”
จงจือหว่านกำลังอ่านหนังสือฟิสิกส์ พอได้ยินแบบนั้นก็ยิ้ม “คุณอาจะคิดยังไงฉันไม่รู้ แต่การที่เธอเข้ามาอยู่ในคลาสเด็กอัจฉริยะได้เป็นเพราะอาศัยใบบุญของอาจารย์อิ๋ง”
อิ๋งลู่เวยเป็นอาจารย์ดนตรีที่โรงเรียนมัธยมชิงจื้อเชิญมาเป็นพิเศษ มาสอนเด็กนักเรียนบ้างเป็นครั้งคราว
“อาจารย์อิ๋งจะดีกับเธอมากเกินไปแล้วหรือเปล่า” อิงเฟยเฟยไม่พอใจ “แบบนี้ต่อให้เธอสอบได้คะแนนไม่ดีก็ไม่มีทางต้องออกจากคลาสเด็กอัจฉริยะน่ะสิ”
ไม่มีใครไม่อยากให้อิ๋งจื่อจินไป เป็นตัวถ่วงพวกเขาจริงๆ
จงจือหว่านปิดหนังสือแล้วพูดขึ้น “ไล่เธอออกจากคลาสเด็กอัจฉริยะก็เรื่องง่ายๆ ไม่ใช่เหรอ”