เธอไม่ได้ใจกว้างถึงขั้นที่จะปล่อยคนที่รังแกลูกสาวเธอไปหรอกนะ
ยิ่งไปกว่านั้นเธอก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรมากเลย เงินห้าแสนไม่ได้เยอะเลยสักนิด
ถ้าอีกฝ่ายชดใช้ให้ไม่ได้เธอก็จะฟ้องทางนั้นเอาให้หมดตัว
“คุณผู้หญิงคะ คนที่ทำผิดกฎหมายคือลูกสาวคุณผู้หญิงนะคะ” มีตำรวจหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก สีหน้ารังเกียจ แสยะยิ้ม “ถ้าไม่อยากติดคุกยังต้องดูว่าทางนั้นจะยอมถอนฟ้องไหม นี่คุณยังคิดจะเรียกร้องค่าชดใช้ด้วย”
ไปเอาความกล้ามาจากไหน
พ่อแม่เป็นแบบไหนลูกก็เป็นแบบนั้นสินะ
พอคุณนายอิงได้ยินแบบนี้ความรู้สึกแรกก็คือไม่เชื่อ พูดเสียงสูงขึ้นมาทันที “คุณว่าอะไรนะ”
ตำรวจชายที่ยืนอยู่ตรงปากประตูพูดขึ้น “ห้ามส่งเสียงดังในโรงพักครับ”
คุณนายอิงหุบปากทันที ไฟโกรธดับลง
เธอทำตัวเชิดหยิ่งมาจนชิน แต่ก็ไม่กล้าสร้างปัญหาที่นี่ จำต้องหดตัวลง พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คุณตำรวจคะ จะต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันแน่นอน เฟยเฟยของฉันเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายมาตลอด จะทำเรื่องผิดกฎหมายได้ยังไงกันคะ”
“ต้องไม่มีเรื่องอะไรแน่นอนค่ะ ฉันจะพาลูกสาวกลับไปเดี๋ยวนี้”
“บอกให้คนอื่นไปตาย ข่มขู่ให้คนฆ่าตัวตาย สร้างข่าวลืออันเป็นเท็จ นี่เรียกเข้าใจผิดเหรอคะ” ตำรวจหญิงโมโหจนหัวเราะ “ที่ให้คุณมาไม่ได้เพื่อให้มาแก้ตัวแทนลูกสาวนะคะ แค่จะมาแจ้งให้ทราบว่าศาลนัดไต่สวนวันที่สิบเจ็ด กรุณาเตรียมตัวให้พร้อมด้วย”
“ต้องขึ้นศาลด้วยเหรอ” คุณนายพูดเสียงสูง “พวกคุณบ้าไปแล้วเหรอ”
ตำรวจหญิงขี้เกียจคุยแล้ว หยิบจดหมายทนายออกมาหนึ่งฉบับแล้วโชว์ตรงหน้าคุณนายอิง
คุณนายอิงกำลังจะอาละวาด ปรากฏว่าพอเห็นตราประทับบนจดหมายทนายก็มือสั่น ไม่อยากเชื่อ
“สะ สำนักงานทนายความซีเฟิงเหรอ”
ถึงจะอยู่ที่เมืองฮู่เฉิงเธอก็ยังรู้จักสำนักงานทนายความอันดับหนึ่งของเมืองตี้ตู
นับตั้งแต่สำนักงานทนายความซีเฟิงก่อตั้งมาสิบกว่าปีก็ไม่เคยว่าความแพ้สักครั้ง เป็นตำนานแห่งวงการทนายความ
ตราบใดที่สำนักงานทนายความซีเฟิงออกหน้าก็ไม่มีคดีไหนที่จะไม่ชนะ
ซึ่งก็หมายความว่า อิงเฟยเฟยจะต้องเข้าคุกแน่นอน
ในที่สุดคุณนายอิงก็เริ่มลนลาน มือที่จับโทรศัพท์สั่นไม่หยุด กดโทรออก “ฮัลโหล ที่รัก เร็วเข้า เตรียมเงินเอาไว้ ไปขอร้องตระกูลอิ๋ง เร็วเข้า…”
…
สุดท้ายอิ๋งจื่อจินก็สอนวิชาเคมีให้ห้องสิบเก้า บรรยายเรื่องเคมีอินทรีย์ของมอห้า
ก่อนที่เธอจะจากโลกมนุษย์ไปครั้งก่อน ยังไม่มีคำว่าเคมีอินทรีย์ปรากฏขึ้น
ระยะนี้เธอหมั่นเติมความรู้อยู่ตลอดเพื่อเสริมความรู้ที่ขาดหายไปในช่วงหลายปีนี้
อิ๋งจื่อจินรินน้ำพลางครุ่นคิด
อยู่กับเด็กซื่อพวกนี้ก็สนุกดี งั้นก็สอนพวกเขาหลายวิชาหน่อยแล้วกัน
“โวะ พ่ออิ๋ง อาเล็กของเธอขี้ตอแหลเกินไปหรือเปล่า” ซิวอวี่ที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ได้พูดโพล่งขึ้นมา “ยังคิดจะล้างมลทินให้ตัวเองอีกเหรอ”
อิ๋งจื่อจินหันหน้าไปดู
พวกนักเรียนในชั้นก็เข้ามารุมล้อม
แอทอิ๋งลู่เวย : [หลังจากที่คิดทบทวนมาหลายวัน ฉันตระหนักอย่างลึกซึ้ง เรื่องนี้เป็นเพราะฉันผิดเองค่ะ ทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อน และก็เป็นเพราะฉันไม่ได้ห้ามแฟนคลับตั้งแต่แรก ทำให้พวกเขาผิดหวัง ฉันตัดสินใจจะหายไปจากโลกไซเบอร์ระยะหนึ่ง จะตั้งใจฝึกฝนเปียโน จากนั้นจะนำคอนเสิร์ตที่ดียิ่งขึ้นมาฝากทุกคนค่ะ]
ฉีเฉียนมีเดียกดแชร์โพสต์นี้ทันทีพร้อมทั้งประกาศลงโทษ
แอทฉีเฉียนมีเดีย : [จากการสอบสวนภายในบริษัทอย่างเข้มงวด ทางเราพบว่าศิลปินแซ่สวี่คนหนึ่งได้ทำการติดสินบนแอคเคาท์เชิงพาณิชย์เพื่อกระทำการแข่งขันที่ไม่โปร่งใส จึงขอประกาศให้ทราบว่า ทางบริษัทจะดำเนินการเรียกค่าเสียหายที่ศิลปินแซ่สวี่ละเมิดสัญญา]
ด้านล่างแนบรูปหนึ่งรูปพร้อมตราประทับ
คราวนี้บรรดาแฟนคลับผู้จงรักภักดีต่ออิ๋งลู่เวยในที่สุดก็ไม่ต้องเอาแต่ปิดปากเงียบแล้ว
[กะแล้วว่าไม่ใช่ฝีมือลู่เวยของพวกเรา ศิลปินแซ่สวี่คนนี้แย่มาก กล้ารังแกลู่เวยคนดี]
[ออกจากโลกไซเบอร์ก็ดี ลู่เวยมีศักยภาพ ไม่จำเป็นต้องเรียกกระแส]
[รอคอยคอนเสิร์ตของลู่เวย ครั้งนี้จะได้ฟังเพลงตะวันกับจันทราหรือเปล่า]
แต่ชาวบ้านกลับไม่เชื่อ
[ถ้าเป็นแบบนี้ แอทเรียกข้าว่าจอมยุทธ์ศัตรูพ่าย ก็สร้างข่าวลือด้วยหรือเปล่า ทำไมฉีเฉียนมีเดียไม่ฟ้องล่ะ]
ฉีเฉียนมีเดีย : [ไม่กล้าฟ้องๆ ไปทำพี่ศัตรูพ่ายโมโหเข้าเดี๋ยวได้โดนถล่มบริษัท]
[แฟนคลับถอนตัวจะหมดแล้วก็ต้องหาทางหว่านล้อมกลับมาเป็นธรรมดา]
บรรดานักเรียนห้องสิบเก้าต่างหมดคำจะพูด โมโหกันมาก
“ยอมใจ คำพูดแบบนี้ก็มีแค่แฟนคลับที่ยอมเชื่อหรือเปล่า อยากชำแหละสมองของแฟนคลับพวกนี้ออกมาดูจริงๆ ว่าข้างในมีอะไร”
“เอ๊ะ ปกติจะตาย ขนาดพวกผู้ชายนอกใจเมียยังมีแฟนคลับ อีกทั้งเรื่องนี้มองผิวเผินอิ๋งลู่เวยก็ไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆ จัดการตัวเองได้อย่างใสสะอาด”
“แต่ชื่อเสียงของอิ๋งลู่เวยในเน็ตก็ติดลบอย่างสิ้นเชิง ไม่เสียเปรียบๆ”
เจียงหรานแสยะยิ้ม “ถ้าให้ฉันพูดนะ หาคืนที่จันทร์มืดบรรยากาศวังเวงสักวันเอากระสอบไปครอบหัวยัยนี่แล้วอัดสั่งสอนเดี๋ยวก็ทำตัวดีขึ้นมาแล้ว”
“พอเลย” ซิวอวี่เหลือบมองเขา “สี่ตระกูลเศรษฐีไม่ได้กินผักกินหญ้านะ ไหนจะพวกคนที่ทะนุถนอมอิ๋งลู่เวยอีก”
อิ๋งจื่อจินไม่พูดอะไร
เธอหลับตา กำลังมองอนาคต
ตอนนี้เธอสามารถพยากรณ์เรื่องที่จะเกิดขึ้นในสิบวันข้างหน้าได้แล้ว
แต่ไกลกว่านี้ยังคงเลือนราง
แต่เวรกรรมระหว่างเธอกับตระกูลอิ๋งน้อยลงเรื่อยๆ แล้ว เมื่อใดที่เวรกรรมนี้หมดกันเธอก็จะหลุดพ้นจากตระกูลอิ๋งได้อย่างสิ้นเชิง
อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ย้ายออกจากบ้านตระกูลอิ๋งแล้ว ตราบใดที่ไม่มาป้วนเปี้ยนต่อหน้าเธอ การปะทะก็น้อยลง
อิ๋งจื่อจินลืมตา เอามือนวดขมับ
“แต่ว่าอิ๋งลู่เวยก็พอมีพรสวรรค์ด้านเปียโนอยู่บ้างนะ” ลูกน้องคนหนึ่งพูดขึ้น “หลายคนพูดว่าเธอจะเป็นอะไรสักอย่างคนต่อไปนี่แหละ…อ้อใช่ นักเปียโนคนนั้นของยุโรป วีร่า เพราะชื่อของเธอเขียนออกมาก็มีคำว่า ‘เวย’ เหมือนกัน”
“อย่างยัยนั่นน่ะเหรอ” ซิวอวี่ขอแย้งด้วยความโมโห “ยัยนั่นคิดจะมาเทียบชั้นกับนางฟ้าในโลกดนตรีของฉันเหรอ”
วีร่า โฮลท์ซ นักเปียโนชื่อดังของยุโรปในสมัยศตวรรษที่สิบแปด
เนื่องจากทุกครั้งที่ขึ้นคอนเสิร์ตจะใส่หน้ากาก จึงถูกเรียกอีกชื่อว่า ‘ราชินีหน้ากาก’ ลึกลับถึงขั้นที่ไม่ทิ้งภาพเหมือนเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้เห็น
เธอมีเพลงบรรเลงเปียโนแค่สามเพลง ทว่าแต่ละเพลงกลับมีความยากที่สูงมากระดับโลก
ซิวอวี่นับถือมาก “พ่ออิ๋ง ไม่รู้ว่าเธอรู้เรื่องนางฟ้าในโลกดนตรีของฉันหรือเปล่า คนนี้สุดยอดมากเลยนะ แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่ได้มีชีวิตอยู่ในสมัยนั้น เลยไม่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของนางเลย เฮ้อ…”
อิ๋งจื่อจินเงียบไปเล็กน้อย “อืม ฉันรู้จัก”
ไม่มีใครจับสังเกตได้ว่า เธอพูดว่ารู้จัก ไม่ใช่แค่รู้เฉยๆ
โทรศัพท์มือถือส่งเสียดัง ‘ติ๊ง’ มีข้อความวีแชทเข้าหนึ่งข้อความ
อิ๋งจื่อจินเหลือบมอง ขมวดคิ้ว จากนั้นก็ลุกเดินออกไปข้างนอก