แต่ในขณะที่เขาหันไปมองอีกครั้ง ร่างนั้นกลับหายไปแล้ว
บนถนนที่มีรถสัญจรไปมาอยู่ตลอด
เมื่อครู่ราวกับเป็นภาพลวงตา
แววตาของเจียงมั่วหย่วนหม่นลง
เขาไม่คิดว่าตัวเองมองผิด แต่ถ้าเป็นคนคนนั้นจริง เขามาทำอะไรที่ฮู่เฉิง
เจียงมั่วหย่วนดับบุหรี่ มีเรื่องหนักใจ รู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิม
ทันใดนั้นมีเสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้นในเวลานี้
เจียงมั่วหย่วนได้สติกลับมา โยนก้นบุหรี่ทิ้งในถาดรองแล้วกลับไปนั่งประจำที่อีกครั้ง “เข้ามา”
“ท่านสามครับ” เลขาเดินเข้ามาด้วยความระมัดระวัง “คุณฮว่าผิงอยู่ที่ชั้นล่าง เชิญท่านลงไปหน่อยครับ”
เจียงฮว่าผิงเหรอ
พอได้ยินชื่อนี้เจียงมั่วหย่วนก็ค่อนข้างรู้สึกเหนือความคาดหมาย
ถึงแม้เจียงฮว่าผิงจะเป็นพี่สาวคนรองของเขา แต่เนื่องจากเจียงฮว่าผิงไปอยู่ตี้ตูนานแล้ว พวกเขาจึงไม่ค่อยสนิทคุ้นเคยกัน และก็ไม่มีอะไรต้องติดต่อกัน
ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองคนก็เป็นลูกต่างมารดา
ผู้เฒ่าเจียงมีภรรยาทั้งหมดสามคน ภรรยาคนแรกเพิ่งแต่งเข้าตระกูลเจียงได้ไม่นานก็เสียชีวิต เจียงฮว่าผิงเป็นลูกที่เกิดจากภรรยาคนที่สองของผู้เฒ่าเจียง
เจียงมั่วหย่วนขมวดคิ้ว
ถึงแม้จะไม่รู้จุดประสงค์ในการมาเยือนของเจียงฮว่าผิง แต่เขาก็ลงไป
ที่ด้านข้างชั้นหนึ่งของตึกเจียงซื่อกรุ๊ปมีร้านกาแฟที่เปิดโล่ง พนักงานสามารถมานั่งดื่มกาแฟกินขนมที่ตรงนี้ได้ฟรีในช่วงพัก
เจียงฮว่าผิงนั่งอยู่ที่ด้านนอกสุด
เธออยู่ในชุดกี่เพ้าสีเขียวพาสเทล เข้ากันกับกำไลสีเขียวอ่อนที่อยู่บนข้อมือผิวขาวนวล บุคลิกงามสง่า
ราวกับเป็นการบรรยายภาพม่านฝนโปรยปรายในเจียงหนาน เสียงฝนเปาะแปะ
เจียงมั่วหย่วนนั่งลงฝั่งตรงข้าม ขายาวไขว่ห้าง น้ำเสียงห่างเหิน “มีธุระเหรอ”
เจียงฮว่าผิงวางถ้วยชาลง ไม่ถือสาท่าทางแบบนี้ของเขา พูดเข้าประเด็นทันที “ได้ยินว่านายเป็นคนรับเด็กที่ชื่ออิ๋งจื่อจินจากอำเภอชิงสุ่ยเข้ามาอยู่ที่ฮู่เฉิงงั้นเหรอ”
เจียงมั่วหย่วนสีหน้าเปลี่ยน เย็นชาลงเล็กน้อย “พี่อยากพูดอะไร”
“เปล่า แค่จะมาบอกนายว่า ฉันชอบเด็กคนนี้มาก” เจียงฮว่าผิงเลิกคิ้ว ฉีกยิ้มบางๆ “ฉันกำลังอยากรับเธอมาเป็นลูกสาวบุญธรรม ทนเห็นเธอตกที่นั่งลำบากไม่ได้ ถ้านายรังแกเธออีก อย่ามาหาว่าฉันไม่เกรงใจ”
คุณนายผู้เฒ่าเจียงคนก่อนเป็นคนเจียงหนาน ด้วยเหตุนี้เจียงฮว่าผิงจึงพูดจาด้วยสำเนียงนุ่มนวลแบบภาษาอู๋ แต่ข้างในกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังทำลายล้างแบบผู้เฒ่าเจียงสมัยหนุ่มๆ
ความโหดเหี้ยมแฝงอยู่ในความอ่อนโยน
แววตาของเจียงมั่วหย่วนเปลี่ยนไปทันที ผ่านไปสักพักเขาถึงแสยะยิ้ม “ผมเนี่ยนะรังแกเธอ”
เขาปลดกระดุมคอ สีหน้าเรียบเฉย “พี่เพิ่งกลับมาฮู่เฉิงไม่กี่วัน อย่าเชื่อไปเสียทุกอย่าง ผมเองก็ไม่อยากจะอะไรกับพี่ คนที่ถูกรังแก แบกรับความทุกข์มาตลอดคือลู่เวย”
“พอเธอมาถึงก็ถูกรับไปอยู่ตระกูลอิ๋ง ถูกรังแกเลยเหรอ”
เจียงฮว่าผิงฉีกยิ้ม “เอาที่นายสบายใจนะ ยังไงซะตาบอดแต่กำเนิดก็ไม่ใช่ความผิดของนาย”
สีหน้าของเจียงมั่วหย่วนเย็นชายิ่งกว่าเดิม ไม่อยากพูดอะไรไปมากกว่านี้ เขาหันตัวเดินออกไป
เจียงฮว่าผิงไม่โกรธ ครุ่นคิด จากนั้นก็พึมพำกับตัวเอง “ยังดีที่ไม่ได้มีแม่คนเดียวกัน ไม่อย่างนั้นฉันคงสงสัยระดับสติปัญญาของตัวเองแล้ว”
ถ้าไม่ใช่เพราะข่าวดังกระฉ่อนในโลกออนไลน์ช่วงไม่กี่วันมานี้ เธอคงไม่มีทางว่างมาหาเจียงมั่วหย่วนหรอก
อย่างไรซะเธอก็ไม่ได้ประทับใจอะไรในตัวเจียงมั่วหย่วนกับแม่นัก
ผู้เฒ่าเจียงด่วนจากไปเร็ว เธอก็ยิ่งไม่มีเยื่อใยอะไรกับตระกูลเจียงแล้ว
เจียงฮว่าผิงรินน้ำชาอีกหนึ่งถ้วยแล้วอ่านนิตยสารแฟชั่นต่อ
…
โรงเรียนมัธยมชิงจื้อทำงานกันเร็วมาก ไม่นานเรื่องไล่อิงเฟยเฟยออกก็ถูกส่งลงมา
ผู้อำนวยการอยากให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์แก่นักเรียน จึงตั้งใจติดไว้ที่บอร์ดประกาศของโรงเรียน พร้อมทั้งบอกให้ทุกห้องไปดู
ซิวอวี่เดินถือใบสมัครเข้ามาในห้องเรียนปึกหนึ่งแล้วโยนไปบนโพเดี้ยม “ใกล้ถึงเทศกาลศิลปะแล้ว ทุกคนดูเอานะใครสนใจลงชื่อบ้าง ถ้าไม่มีก็เก็บของเก่าไปขายแล้วเอาเงินไปซื้อมันฝรั่งทอดให้พ่ออิ๋งของพวกเรา”
ในฐานะที่เป็นโรงเรียนอันดับสามของประเทศ โรงเรียนมัธยมชิงจื้อให้ความสำคัญต่อการพัฒนาทุกด้านของนักเรียน
ถึงแม้จะเป็นเทศกาลศิลปะก็จัดอย่างยิ่งใหญ่ ทั้งยังมีการเชิญศิลปินที่มีชื่อเสียงในวงการมาและแจกรางวัลทุนการศึกษาจำนวนมากแก่นักเรียนที่ได้รับรางวัล
สำหรับนักเรียนที่มีพรสวรรค์ด้านวาดภาพ เขียนอักษรด้วยพู่กัน สลักรูปปั้น ดนตรี ร้องเต้น เป็นต้น เทศกาลศิลปะจึงเป็นโอกาสที่พลาดไม่ได้
แต่นักเรียนส่วนใหญ่ของห้องสิบเก้ากลับไม่สนใจเรื่องนี้เท่าไร แม้แต่แข่งร้องเพลงประสานเสียงก็ยังไม่เข้าร่วม
เนื่องจากสถานการณ์ของห้องสิบเก้าพิเศษเกินไป ผู้อำนวยการเองก็พูดลำบาก
อิ๋งจื่อจินกำลังนั่งพิงเก้าอี้พลางหลับตา
ซิวอวี่เดินเข้ามา “พ่ออิ๋ง เธอจะลงแข่งรายการอะไรในเทศกาลศิลปะไหม”
อิ๋งจื่อจินหาวออกมาด้วยความง่วง “ไม่ไป”
เมื่อวานเธอไปโรงพยาบาลเซ่าเหรินมาอีกแล้ว ไปช่วยดูเคสผู้ป่วยหลายเคส
ถึงแม้จะไม่ใช่งานยากสำหรับเธอ แต่ก็เหนื่อยพอสมควร
ตอนนี้ร่างกายของเธอยังคงอ่อนแอเกินไป ถูกสูบเลือดหลายครั้งขนาดนั้นในหนึ่งปี ใช่ว่าจะฟื้นคืนกลับมาได้ในวันสองวัน
จึงทำให้ช่วงนี้เธอจะรู้สึกอยากนอนอยู่บ่อยๆ
ถ้าใช้ความสามารถในการพยากรณ์หลายครั้งเกินไป ร่างกายยังจะได้รับความเสียหายอีกด้วย
โชคดีที่ตอนนี้คือศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ไม่ได้มีภัยเยอะเหมือนสมัยยุโรปโบราณ
“ไม่ไปก็ถูกแล้ว” ซิวอวี่พยักหน้า ทำเสียงจึ๊หนึ่งที “ยกตัวอย่างการแข่งเขียนอักษรด้วยพู่กัน อันดับหนึ่งเพิ่งจะได้แค่แสนเดียว นี่มันก็แค่…”
ยังไม่ทันที่ซิวอวี่จะพูดจบ ใบสมัครในมือเธอก็ถูกดึงไปหนึ่งชุด
อิ๋งจื่อจินเบิกตาดู ขนตายังมีหยดน้ำเกาะอยู่ น้ำเสียงแหบแห้ง พูดจาอู้อี้
“อืม ฉันไป”
ซิวอวี่ “…”
เธอรู้สึกเหลือเชื่อ “ไม่ใช่มั้งพ่ออิ๋ง ร้อนเงินขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็พอสมควร” อิ๋งจื่อจินหยิบปากกาแล้วเริ่มกรอกชื่อในใบสมัคร
ของที่เธออยากซื้อมีมากมายเหลือเกิน เอาแค่สมุนไพรหายากก็ราคาเกินสิบล้านแล้ว แถมยังไม่มีตลาดให้หาซื้อ
เขียนอักษรตัวเดียวก็ได้เงินแสน สบายกว่ารักษาคนอีก
ไม่เอาก็เสียดายแย่
ซิวอวี่เกาหัว “พ่ออิ๋ง สมัครอะไรเหรอ”
เธอชะโงกหน้าไปดูด้วยความสงสัยก็เห็นเกือบทุกรายการถูกเลือกหมดยกเว้นพวกร้องเพลงร่ายรำที่ต้องออกไปโชว์ตัว
ซิวอวี่ “…”
อื้อหือ นี่ใช่มนุษย์ปะเนี่ย
เธอพบว่าเธออาจประเมินความสามารถที่แท้จริงของพ่ออิ๋งต่ำเกินไป
สายตาของซิวอวี่เลื่อนลง “พ่ออิ๋งวาดภาพสีน้ำมันเป็นด้วยเหรอ”
ภาพสีน้ำมันเป็นจิตรกรรมแบบตะวันตกแขนงหนึ่ง มีต้นกำเนิดมาจากยุโรป ต่อมาถูกเผยแพร่เข้าสู่ประเทศจีน
สาวไฮโซส่วนใหญ่จะเรียนจิตรกรรมจีนโบราณมากกว่า เพื่อเป็นการยกระดับจิตใจ
คนที่วาดภาพสีน้ำมันเป็นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
“อืม” อิ๋งจื่อจินตอบอย่างไม่ใส่ใจ “เมื่อก่อนเคยเรียนกับซิโน”
พอได้ยินชื่อนี้ซิวอวี่ก็เงียบไปสักพัก จากนั้นก็พูดจากใจ “พ่ออิ๋ง เธอนี่มุขเยอะนะ”
เธอไม่ชอบเรียนหนังสือก็จริง แต่ก็มีความสนใจด้านศิลปะ รู้จักบุคคลมีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์อยู่ไม่น้อย
บรอนซิโนเป็นจิตรกรในสมัยยุโรปโบราณที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ทิ้งผลงานเอาไว้มากมาย
สไตล์ของเขาเป็นเอกลักษณ์ ยังไม่มีใครลอกเลียนแบบได้
แต่เขาตายมาหลายร้อยปีแล้ว เถ้ากระดูกกลายเป็นผุยผงหมดแล้ว
อิ๋งจื่อจินเลิกคิ้ว ส่ายหน้าด้วยความเสียดาย
สมัยนี้พูดความจริงก็ยังไม่มีใครเชื่อ
“เสร็จแล้ว” อิ๋งจื่อจินเซ็นชื่อตัวเอง
เธอลองคำนวณดู ถ้าเธอลงแข่งก็จะได้อยู่หลายแสน ครั้นแล้วจึงเกิดความประทับใจในโรงเรียนชิงจื้อมากทีเดียว
เป็นโรงเรียนที่ใจป๋ามาก
ดีจริงๆ
ซิวอวี่ถอนหายใจอย่างปลงๆ “พ่ออิ๋ง บอกฉันมาตามตรง บนโลกนี้มีอะไรที่เธอทำไม่เป็นบ้าง”
“หืม?” อิ๋งจื่อจินเงยหน้า พูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆ “เยอะอยู่นะ”
“อย่างเช่น?”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “อย่างเช่นฉันทำคุกกี้อร่อยๆ ไม่เป็น”
“…”
ซิวอวี่มองเจียงหรานที่หลับเป็นตาย ทันใดนั้นก็รู้สึกสงสารเขา
คิดจะเทียบกับพ่ออิ๋งที่เก่งถึงขั้นพิสดารแบบนี้ให้ได้ มิน่าถึงได้ปิดกั้นตัวเองเป็นบ้าอยู่คนเดียว
คนสู้คน เป็นบ้าตายกันไปข้าง
ซิวอวี่เก็บใบสมัครแล้วเอาไปส่งที่ห้องพักครูศิลปะ
…
อิ๋งลู่เวยนั่งอยู่ในร้านชานมที่นอกโรงเรียนชิงจื้อด้วยความกระวนกระวายใจ
วันนี้เป็นวันที่สิบห้ามีนาคม วันมะรืนก็จะเป็นวันขึ้นศาลไต่สวนแล้ว
ถึงแม้เธอจะพาตัวเองพ้นมลทินอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว แต่อิ๋งจื่อจินฟ้องแฟนคลับเธอ ไม่เท่ากับเป็นการตบหน้าเธอหรอกเหรอ
แบบนี้เพื่อนเธอจะมองหน้าเธอยังไง
อีกทั้งยังมีผู้ปกครองของแฟนคลับหลายคนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมาโทษเธอที่เสี้ยมแฟนคลับ บอกว่าจะฟ้องเธอ เธอจึงต้องเอาเงินไปจบเรื่อง
อิ๋งลู่เวยขมวดคิ้ว หงุดหงิดใจเหลือเกิน
เธอรู้สึกว่านับตั้งแต่อิ๋งจื่อจินฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาลวันนั้น เรื่องทุกอย่างก็เปลี่ยนไปอย่างไม่ชอบมาพากล
หรือเพราะเธอบีบบังคับมากเกินไป จนทำให้อิ๋งจื่อจินที่เป็นคนเก็บอารมณ์ขนาดนั้นระเบิดออกมา
แต่ปล่อยไปไม่ได้หรอก นานวันเข้าเธอกลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“แม่คะ ทำไงดี” อิ๋งลู่เวยเม้มริมฝีปาก “เสี่ยวจินไม่ยอมถอนฟ้องแน่ พวกเราก็ใช้เส้นอะไรไม่ได้เลย นี่ถ้าขึ้นศาลจริง ต่อไปเกียรติของตระกูลอิ๋งในฮู่เฉิง…”
เหมือนกับจงมั่นหวา คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งให้ความสำคัญเรื่องเกียรติมากที่สุด
เพื่อเกียรติของตัวเอง เรื่องอื่นที่ไม่สำคัญล้วนสละได้
พอได้ยินแบบนี้สีหน้าของคุณนายผู้เฒ่าอิ๋งก็บึ้งลง “เวยเอ๋อร์ วางใจได้ เรื่องนี้ไม่มีทางไปถึงขึ้นโรงขึ้นศาลแน่นอน”
“แต่ว่า…” อิ๋งลู่เวยลังเลเล็กน้อย พูดอย่างลำบากใจ “แต่พวกเรายังไม่เจอแม้แต่ตัวเสี่ยวจินเลยนะคะ”
เธอนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าอิ๋งจื่อจินจะเก่งกล้าถึงขั้นย้ายออกจากบ้านตระกูลอิ๋งโดยที่ไม่เอาอะไรไปสักอย่าง
ออกจากตระกูลอิ๋ง ไม่มีเงินไม่มีอิทธิพล ยังจะใช้ชีวิตยังไงได้