“…”
ทั่วทั้งศาลเกิดความเงียบ
อิ๋งลู่เวยหันขวับ มองตรงที่นั่งโจทก์ด้วยสายตาเหลือเชื่อ
บนหน้าจอไลฟ์สดหยุดชะงักไปหลายวินาที ทันใดนั้นก็ราวกับจะระเบิด
[โอ้โห! ใครนะ เมื่อกี้ทุกคนได้ยินชัดไหม ฉันฟังผิดหรือเปล่า]
[คอมเมนต์ก่อนหน้า คุณฟังไม่ผิดหรอก ถึงผมจะไม่เคยได้ยินชื่อนี้ แต่แน่ใจได้ว่าคนที่น้องอิ๋งเชิญมาคนนี้เป็นคนของตระกูลเนี่ยแห่งตี้ตู อ๊าก!]
[(อีโมติคอนคำนับ)(อีโมติคอนคำนับ) ที่แท้ก็ไม่ใช่ไม่มา แต่กำลังเตรียมท่าไม้ตาย]
[ฮ่าๆ พวกคนเมื่อกี้หน้าชากันไหมล่ะ ไม่ใช่แค่สำนักงานทนายความซีเฟิง ถึงขนาดที่ตระกูลเนี่ยก็มา คดีนี้ยังจะเหลืออะไรให้สงสัยอีก]
[ขำเป็นบ้า ไหนบอกว่าตระกูลใหญ่ทางตี้ตูออกหน้าให้แล้ว แค่นี้เหรอๆ ยังมีตระกูลไหนที่ใหญ่กว่าตระกูลเนี่ยอีกเหรอ]
“เกิดเรื่องนิดหน่อย ผู้แทนโดยชอบธรรมคนก่อนเข้าโรงพยาบาลครับ” ทนายหนุ่มพยักหน้าแล้วอธิบาย
“ก็เลยต้องรบกวนคุณเนี่ยอี้ให้มาอย่างกะทันหันครับ”
เขาเองก็ยังรู้สึกกลัวไม่หาย
นับตั้งแต่สำนักงานทนายความซีเฟิงก่อตั้งมา คดีใหญ่ที่รับล้วนเป็นข้อพิพาททางอาญากับคดียากอื่นๆ
คดีอย่างอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ตหรือสร้างข่าวเท็จแบบนี้พวกเขาเพิ่งเคยรับเป็นครั้งแรก
ต่อให้ชนะคดีได้ง่ายมาก แต่ก็เป็นที่จับตามองในระดับสูง
ด้วยเหตุนี้ไม่เพียงแต่สำนักงานทนายความซีเฟิงจะส่งทีมทนายชั้นยอดมา ยังได้จัดหาผู้แทนโดยชอบธรรมมาเป็นการเฉพาะอีกด้วย
หากว่ากันตามหลักการ ผู้แทนโดยชอบธรรมควรเป็นญาติหรือผู้ปกครองของอิ๋งจื่อจิน แต่ตระกูลอิ๋งก็ไม่มีดีสักคน
เรื่องที่คาดไม่ถึงก็คือ ระหว่างทางที่มานี้อุปสรรคของพวกเขาเยอะแยะเหลือเกิน
ตอนแรกก็เครื่องบินดีเลย์ ถูกบังคับให้รออยู่บนเครื่องบินนานสองชั่วโมง
กว่าจะมาถึงเมืองฮู่เฉิงไม่ใช่ง่ายๆ ระหว่างทางก็ยังมาเจออุบัติเหตุทางรถยนต์อีก
ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลเนี่ยได้รับแจ้งข่าว จึงไปรับพวกเขามาโดยตรง เกรงว่าการไต่สวนในวันนี้คงดำเนินตามปกติไม่ได้จริงๆ แล้ว
โชคดีที่ยังไม่เกินสามสิบนาที
แต่ถึงแม้จะเกินเวลาพวกเขาก็มีหนทางหว่านล้อม
ทนายหนุ่มแอบปาดเหงื่อ
แม้แต่เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าหลานชายคนโตของตระกูลเนี่ยจะมาเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมให้
นี่มันช่าง…
เนี่ยอี้นั่งลงตรงที่นั่งโจทก์แล้วพูดขึ้น “เริ่มได้ครับ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำแต่เต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดไม่มีความอ่อนโยนแม้แต่น้อย ทำให้บรรยากาศภายในศาลเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที
คนที่นั่งอยู่ด้านล่างถึงค่อยๆ ทยอยได้สติกลับมากัน แต่ก็ยังมีบางคนที่เหม่อ
เนี่ยเฉาเกิดอาการตัวสั่น
เขาจับเสื้อฟู่อวิ๋นเซิน ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “คะ คุณชายเจ็ด ต่อไปทุกเทศกาลเช็งเม้งนายเผาเงินให้ฉันเยอะๆ หน่อยนะ”
เขาตายแน่ ตายแน่ ตายแหงๆ
ฟู่อวิ๋นเซินแกะมือของเขาออกอย่างสุภาพ “อย่ามาแตะฉัน ฉันไม่ยุ่งกับผู้ชายเลว”
“…”
เนี่ยเฉาได้ยินเสียงหัวใจตัวเองแตกสลาย
ฟู่อวิ๋นเซินเงยหน้าสบตากับเนี่ยอี้
ดวงตาดอกท้อของเขาโค้งมน นิ้วชี้กดที่ริมฝีปากเบาๆ
จากนั้นก็ละสายตา เอียงไปด้านข้าง
หมวกเบสบอลสีดำปกปิดครึ่งหน้าของเด็กสาว เผยให้เห็นแค่คาง
เส้นผมปรกลงมายิ่งขับให้ผิวของเธอดูขาวมากกว่าเดิม เส้นเลือดสีเขียวเข้มก็ชัดเจน
ผอมเกินไป ยังต้องบำรุงให้มากๆ
ราวกับรู้สึกได้ถึงท่าทางของเขา อิ๋งจื่อจินขยับตัว กำลังจะยืดตัวตรง
“ยังอีกสักพัก” ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบมองที่นั่งโจทก์แล้วถอดเสื้อนอกมาคลุมตัวเธอ “นอนต่อเถอะ”
น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำมีพลัง คล้ายกับกำลังสะกดจิต
อิ๋งจื่อจินลืมตาแล้วปิดลงอีกครั้ง ไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนิทรา
อยู่ๆ เนี่ยเฉาก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน
เขาทำได้เพียงมองเนี่ยอี้ที่อยู่ตรงที่นั่งโจทก์อย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่
ส่วนอีกด้าน อิ๋งลู่เวยยืนอยู่ตรงทางเดิน จะนั่งก็ไม่ได้ จะไปก็ไม่ดี
ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผ้าปิดปากอดกลั้นจนแดงก่ำ เดี๋ยวเขียวเดี๋ยวแดง
อิ๋งจื่อจินถึงขนาดเชิญคนของตระกูลเนี่ยมาเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมได้เลยเหรอ
ล้อเล่นอะไรน่ะ
ตระกูลเนี่ยไม่เหมือนตระกูลมู่ ตระกูลเนี่ยไม่ทำธุรกิจ ซึ่งก็ทำให้ตระกูลเศรษฐีทั้งสี่ของเมืองฮู่เฉิงไม่มีแม้แต่คุณสมบัติที่จะได้คลุกคลีกับตระกูลเนี่ย
นี่มัน…
ชาวเน็ตที่ดูไลฟ์สดครึกครื้นกันมากทีเดียว
[กรี๊ด พวกเธอว่าไหมคนตระกูลเนี่ยที่มาคนนี้หล่อสุดๆ ไปเลย รูปร่างดี บุคลิกเด่น ฆ่าดาราในวงการบันเทิงตายเรียบหลายคนเลยนะ]
[แบบนี้ต่างหากลูกหลานตระกูลใหญ่อย่างแท้จริง นังตอแหลอิ๋งลู่เวยมีแต่กลิ่นอายคนชั้นต่ำ]
[อิ๋งลู่เวยไม่เหลือหน้าแล้ว ขายหน้าไปถึงแวดวงเศรษฐีเมืองตี้ตูแล้ว]
ชาวเน็ตเตรียมดูศาลไต่สวนกันอย่างตื่นเต้น ปรากฏว่าการไต่สวนสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว
ทนายความฝั่งจำเลยไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้สู้กลับ ถูกทนายหนุ่มที่สำนักงานทนายความซีเฟิงส่งมากดดันจนไม่มีแรงสู้กลับตั้งแต่ต้นจนจบ
ถูกบดขยี้อย่างสิ้นเชิง
คำตัดสินก็ออกมาในทันที เมื่อศาลตัดสินบรรดาจำเลยที่ก่อนหน้านี้ยังทำอวดดีก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูก
ตอนที่ได้ยินว่าตัวเองถูกตัดสินลงโทษหนึ่งปี สีหน้าของอิงเฟยเฟยก็ซีดเผือดลงในทันที
ล้มแน่นิ่งอยู่บนเก้าอี้ เหงื่อท่วมตัว สั่นไปทั้งตัว
เป็นแบบนี้ได้ยังไง
เธอก็แค่พูดลอยๆ ในเน็ตเท่านั้นเองนะ
สายตารอบตัวจับจ้อง บางคนก็ชี้ไม้ชี้มือซุบซิบ
จิตใจของอิงเฟยเฟยรับไม่ไหว ตาเหลือกแล้วเป็นลมไป
“เฟยเฟย!” คุณนายอิงที่อยู่ตรงที่นั่งจำเลยก็เสียสติ ร้องห่มร้องไห้ “เฟยเฟย ลูกเข้าไปแล้วแม่จะอยู่ยังไง”
ส่วนนักศึกษาสาวที่รับผิดชอบทีมสนับสนุนอิ๋งลู่เวย ในฐานะที่เป็นต้นเหตุปลุกปั่นข่าวลือในอินเทอร์เน็ต ต้องถูกรับโทษสามปี
และที่สำคัญยิ่งกว่าคือ เธอจะถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย ถูกยกเลิกใบสำเร็จการศึกษา หมดอนาคตอย่างสิ้นเชิงแล้ว
นักศึกษาสาวรู้สึกหวาดกลัว ขณะเดียวกันก็เคว้งคว้าง
เธอทำเพื่อคนแปลกหน้าถึงขนาดนี้ มันคุ้มกันเหรอ
ถ้าเธอไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพื่ออิ๋งลู่เวยก็ไม่มีทางตกต่ำถึงขั้นนี้
ทันใดนั้นเธอก็ร้องไห้เสียงดัง
ทนายหนุ่มยืนขึ้น ยิ้มอย่างอ่อนโยน “หากทางจำเลยไม่พอใจคำตัดสินสามารถยื่นฟ้องต่อได้นะครับ”
[ฮ่าๆ ไม่กล้าฟ้องหรอก ฟ้องอีกเดี๋ยวได้โดนเพิ่มสามปี]
[สำนักงานทนายความซีเฟิงสุดยอดมาก กดเลิฟรัวๆ]
[น่าเสียดายที่อิ๋งลู่เวยไม่มา เลยไม่เห็นว่าหน้าเขียวขนาดไหน]
อิ๋งลู่เวยอ่านคอมเมนต์ชาวเน็ต โมโหจนตัวสั่น เธอกัดฟันพูด “ไหนเธอบอกว่าอาจารย์เธอให้ตระกูลอู๋ที่เมืองตี้ตูช่วยออกหน้าแล้วไง”
คำตัดสินของศาลทำให้เธอไม่เหลือเกียรติอย่างสิ้นเชิง
คำพูดอวดดีที่เธอพูดกับอิ๋งจื่อจินก่อนหน้านี้กลับกลายมาเป็นคำแดกดันตัวเธอเองเสียด้วยซ้ำ อาจมีหลายคนที่กำลังหัวเราะเยาะเธออยู่
ลู่จื่อเองก็ตกใจจนมือเท้าเย็น “ฉัน…ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ตระกูลเนี่ยมาได้ยังไง”
ต่อให้ตระกูลอู๋จะเก่งกาจแค่ไหนก็เทียบกับตระกูลเนี่ยไม่ได้
“ขอโทษที ฉันโมโหมากไปหน่อย” อิ๋งลู่เวยพยายามข่มอารมณ์โมโหภายในจิตใจ พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง กลับมาอ่อนโยนตามปกติ “ไม่โทษเธอ ฉันไม่รอบคอบเอง”
แต่ตระกูลเนี่ยมันเรื่องอะไรกันแน่
อิ๋งลู่เวยมือสั่นหยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความให้ไฮโซสาวคนหนึ่งที่เธอรู้จักตอนอยู่เมืองตี้ตู
…
ในเวลาเดียวกัน
ณ เมืองตี้ตู
ตระกูลอู๋
นายใหญ่ของตระกูลอู๋กำลังรับรองแขกอยู่ในงานเลี้ยง ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น
“ทุกท่านรอสักครู่ ผมขอรับโทรศัพท์ก่อนนะครับ”
นายใหญ่ตระกูลอู๋เหลือบมองก็พบว่าเป็นเบอร์แปลก
เขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจ กดเปิดลำโพงทันที