ไปกลับยุโรปอย่างน้อยๆ ก็ต้องสิบกว่าวันแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลอิ๋งก็ประกาศกับคนนอกมาตลอดว่าอิ๋งจื่อจินเป็นลูกสาวที่พวกเขารับเลี้ยง
ถ้าเธอจัดงานฉลองวันเกิดให้อิ๋งจื่อจินใหญ่โต คนข้างนอกจะไม่สงสัยเหรอ
ข่าวฉาวเมื่อสิบกว่าปีก่อนของตระกูลอิ๋งไม่ถูกเปิดโปงเลยเหรอ
ผู้เฒ่าจงสีหน้าเย็นชาลงทันที “ไม่ว่างเหรอ”
“คุณพ่อคะ วานวานถูกหนูกับเจิ้นถิงประคบประหงมมาตั้งแต่เด็กจนโต ไม่เคยได้รับความลำบากอะไร” จงมั่นหวาเม้มริมฝีปาก พูดเสียงเบาลง “วานวานอยู่ที่ยุโรปต่างบ้านต่างเมืองคนเดียว ไม่มีที่พึ่ง จะปล่อยให้ฉลองวันเกิดคนเดียวก็ไม่ได้หรือเปล่าคะ”
“ยังจะวานวานอีกรึ” ผู้เฒ่าจงโมโหตบโต๊ะ “นี่มันเดิมทีเป็นชื่อแรกเกิดของจื่อจิน พวกแกเอาไปยกให้ลูกเลี้ยง ยังจะมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกเหรอ!”
‘วาน’ หมายถึง งามพร้อมด้วยศีลธรรมจรรยา กิริยามารยาทเรียบร้อย ตอนนั้นถึงได้เลือกอักษรตัวนี้กัน
“คุณพ่อคะ!” จงมั่นหวานวดขมับ จำต้องเปลี่ยนคำเรียก “ถ้าไม่มีเสี่ยวเซวียน ตอนนั้นหนูอาจเข้าโรงพยาบาลบ้าไปแล้วนะคะ”
หลังจากลูกสาวหายไป สภาพจิตใจของเธอก็ถดถอยลงทุกวัน นอนก็นอนไม่หลับ กินก็กินไม่ลง
ถ้าไม่ใช่เพราะอิ๋งเจิ้นถิงรับเด็กคนหนึ่งมาเลี้ยง เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะทนต่อไปได้หรือเปล่า
“งั้นก็สมน้ำหน้าแก!” ผู้เฒ่าจงโมโหมากกว่าเดิม “แกไม่รู้หรือไงว่าตอนนั้นจื่อจินเพิ่งจะขวบกว่า มันเรื่องอะไรที่จะต้องออกไปพร้อมกันสองคน”
เขาพยายามข่มอารมณ์ อยากสงบลง แต่กลับโมโหจนปวดหัว “ฉันไม่เข้าใจจริงๆ พวกแกทำลูกแท้ๆ หาย แล้วเอาลูกเลี้ยงมาแทนที่”
“จงมั่นหวา แกนี่มันดีจริงๆ ฉันล่ะนับถือ!”
จงมั่นหวาถูกต่อว่าจนเต็มไปด้วยความโกรธ ทั้งยังเสียหน้า “คุณพ่อ นี่หนูก็พาจื่อจินกลับมาแล้วไม่ใช่เหรอคะ ใช่ค่ะ เรื่องบริจาคเลือดหนูมีส่วนที่ทำไม่ถูก แต่หนูดูแลเรื่องกินเรื่องอยู่ขาดตกบกพร่องตรงไหนเหรอคะ”
“เดิมทีแกก็ไม่ควรขาดตกบกพร่องอยู่แล้ว!” ผู้เฒ่าจงโมโหขั้นสุด แสยะยิ้มใส่ “แกควรชดเชยให้อย่างดี แต่แล้วไงล่ะ แกกลับให้ลูกเลี้ยงเหยียบหัวลูกสาวแท้ๆ สมองเอาไปให้หมากินหมดแล้วหรือไง!”
ในที่สุดจงมั่นหวาก็สีหน้าเปลี่ยน พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณพ่อคะ เมื่อก่อนหนูก็ดีกับเสี่ยวเซวียนมาตลอด ทำไมคุณพ่อ…”
“ไม่ว่ายังไง จื่อจินต่างหากที่เป็นหลานสาวแท้ๆ ของฉัน” ผู้เฒ่าจงพูดเย็นชาใส่ “หลายปีมานี้เธออยู่ข้างนอกต้องลำบากขนาดไหน ฉันไม่มีทางปล่อยให้ลูกเลี้ยงข้ามหน้าข้ามตาเธอ”
เขารู้ดีว่าลูกเลี้ยงที่แท้จริงคือใคร
จงมั่นหวาไม่พูดอะไร
ใช่ว่าเธอจะไม่รักอิ๋งจื่อจิน อย่างไรเสียก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอ
แต่ทุกครั้งที่เธอเอาอิ๋งจื่อจินกับเสี่ยวเซวียนมาเทียบกันก็ทั้งโมโหทั้งร้อนใจ
ไม่ว่าจะการเรียนหรือความสามารถ เทียบกันไม่ได้เลยสักนิด
มารยาทก็เรียนได้แย่ เธอพาอิ๋งจื่อจินไปงานเลี้ยงของพวกเศรษฐีไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“แกไปซะ” ผู้เฒ่าจงโบกมือไล่ ผิดหวังอย่างสิ้นเชิง “ในเมื่อแกไม่อยากจัด ฉันจะจัดเอง”
เขาให้โอกาสนี้แล้ว แต่จงมั่นหวาไม่คว้าไว้ งั้นก็ช่วยไม่ได้
หัวใจของจงมั่นหวาเต้นเร็ว รู้สึกใจคอไม่ดี แต่ก็พูดอะไรไม่ออก
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่พูดอะไรอีก ลุกขึ้นเดินออก
…
หลังจากอิ๋งจื่อจินไปแล้ว ฟู่อวิ๋นเซินก็มองเนี่ยเฉาจัดการไข่ไก่ที่แตก แล้วถึงเดินออกไปพร้อมกัน
พอเลี้ยวระเบียงทางเดินยาวก็มาถึงห้องที่อยู่ลึกที่สุด
“คะ คุณชายเจ็ด…” เนี่ยเฉากลืนน้ำลายอึกใหญ่ “ฉัน ฉันหนีไปได้ไหม”
“หืม?” ฟู่อวิ๋นเซินเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากผุดรอยยิ้ม “ไม่ได้ เข้าไป”
พอเนี่ยเฉาเข้าไปก็เห็นผู้ชายที่นั่งอยู่บนโซฟา
เขาขาอ่อนในทันที เกือบลงไปคุกเข่า “พะ พี่ใหญ่”
เขามีลางสังหรณ์ว่าความรุนแรงกำลังจะบังเกิด
แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายของเนี่ยเฉาก็คือ เนี่ยอี้แค่เหลือบมองเขา “นายออกไปก่อน เดี๋ยวกลับโรงแรมพร้อมฉัน”
“หา?” เนี่ยเฉาหนีจากความตายได้ แต่ที่มากกว่าคือความงุนงง
เขาเกาหัว รีบวิ่งหนีออกไปอย่างเร็วโดยไม่สนว่าทำไม
ภายในห้องกลับมาสงบอีกครั้ง
ฟู่อวิ๋นเซินนั่งบนโซฟาตรงข้าม เขาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออก สีหน้าเอื่อยเฉื่อย “น้องชายคนนี้ของนายสร้างความยุ่งยากให้ฉันไม่น้อยเลยจริงๆ”
“ขอโทษทีอวิ๋นเซิน” เนี่ยอี้เงียบไปชั่วขณะ “คุณปู่ตามใจเขามากเกินไปจนเสียนิสัย”
“ก็ดี” ฟู่อวิ๋นเซินหลุบตาลง ยิ้มพลางพูด “ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องกังวลอะไร น่าอิจฉาออก”
พวกเขาไล่เนี่ยเฉาออกไปก็แค่ไม่อยากดึงเนี่ยเฉาลงมาแปดเปื้อนไปด้วย
เนี่ยอี้นวดหว่างคิ้ว “ฉันตรวจสอบแล้ว คนที่โพสต์ค่าหัวเป็นตระกูลจิ่งในตี้ตู อันที่จริงเป้าหมายไม่ใช่เสี่ยวเฉา”
“อืม” ฟู่อวิ๋นเซินตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ด้านหนึ่งเพื่อบีบให้นายกลับมา อีกด้านหนึ่งเพื่อทำให้ตระกูลเนี่ยเกิดความโกลาหล”
ถึงแม้เนี่ยเฉาจะเป็นคุณชายเพลย์บอย แต่ก็เป็นหลานสายตรงของตระกูลเนี่ย มีคนจำนวนไม่น้อยจับตาดูอยู่
“ตอนนี้โพสต์ค่าหัวอันนั้นหมดอายุไปแล้ว” เนี่ยอี้หันมา “อวิ๋นเซิน รู้หรือเปล่าว่าใครที่ออกมาช่วย”
สามารถช่วยชีวิตเนี่ยเฉาจากมือปืนขั้นเทพที่อยู่ในอันดับเก้าสิบสี่ได้ ไม่เปิดเผยหน้า อีกทั้งยังไม่ทิ้งร่องรอยไว้สักนิด ช่างน่าแปลกจริงๆ
“โทรศัพท์มือถือของเนี่ยเฉาถูกบุคคลนิรนามแฮก ฉันให้คนไปแกะรอยก็ไม่เจออะไร” แขนของฟู่อวิ๋นเซินพาดที่พนักพิงโซฟา ท่าทางเอื่อยเฉื่อย “ฟังจากที่เขาเล่า มีคนลึกลับบอกเขาว่าต้องหลบทางไหน เขาถึงหลบลูกกระสุนพวกนั้นได้”
เนี่ยอี้ขมวดคิ้ว “ไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่”
ถ้ามีคนแบบนี้จริง ชาร์ตอันดับมือปืนไม่ต้องโละทิ้งไปเลยเหรอ
“ฉันก็คิดแบบนั้น” ฟู่อวิ๋นเซินเอียงหน้า “แต่ในเมื่อมีคนแบบนี้อยู่ งั้นพวกเราก็ต้องลองหาดู”
เนี่ยอี้พยักหน้า “ฉันจะไปบอกสำนักสืบสวนสากล”
ดวงตาดอกท้อของฟู่อวิ๋นเซินเงยขึ้น ครุ่นคิดพลางพูด “นายมีแฟนแล้วเหรอ”
พอเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน มือของเนี่ยอี้ก็หยุดชะงัก “ไม่มี”
“อย่าหาว่าฉันประชดที่นายทำตัวเหมือนพระเลยนะ ฉันแค่อยากถามหน่อยว่า เด็กผู้หญิงอายุสิบเจ็ดสิบแปดเขาชอบอะไรกัน”
“…”
ณ โรงพยาบาลเซ่าเหริน
อิ๋งจื่อจินนั่งพิงเก้าอี้หมุน กำลังฟังรายงานสถานการณ์ในช่วงนี้จากผู้อำนวยการ
เนื่องจากแพทย์แผนโบราณจำเป็นต้องมีกำลังภายใน คนที่ไม่ใช่จอมยุทธ์เรียนไม่ได้
ดังนั้นเธอจึงแค่ส่งข้อมูลของการรักษาแผนจีนออกไป จากนั้นก็นำเข้าเครื่องมือดิจิตอลจำนวนหนึ่ง
ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดหนีไม่พ้นเทคโนโลยีขั้นสูง
สะดวกกว่าเมื่อก่อนมากทีเดียว
ผู้อำนวยการพูดจบก็ถามขึ้น “คุณอิ๋งครับ คุณเซิ่งอยากเจอคุณอิ๋งสักครั้ง ไม่ทราบว่าคุณอิ๋งว่างเมื่อไหร่ครับ”
อิ๋งจื่อจินถึงนึกขึ้นได้ว่าเขาคือคนไข้ที่เธอรักษาให้คนแรก เธอพยักหน้าเล็กน้อย “ปลายเดือนค่ะ ช่วงนี้ฉันยุ่ง”
“ครับ” ผู้อำนวยการลุกขึ้น ออกไปส่งอิ๋งจื่อจิน “ผมจะไปตอบเขา”
อิ๋งจื่อจินดูเวลา หกโมงแล้ว
เธอครุ่นคิด เตรียมไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตหน่อย กลับไปทำของบำรุงให้เวินเฟิงเหมียน
พอเดินไปถึงหน้าคิงคลับก็เจอกับเจียงมั่วหย่วนที่เพิ่งลงจากรถ
เลขาขมวดคิ้ว “ท่านสาม เธอ…”
เจียงมั่วหย่วนยกมือห้าม เขามองเด็กสาวแล้วแสยะยิ้ม “สะกดรอยตามฉันเหรอ”
คิดจะตามจับจริงๆ สินะ
ยังคงไม่เปลี่ยน
อิ๋งจื่อจินไม่แม้แต่จะหยุด เธอเดินต่อไป ทำเหมือนกับมองไม่เห็นเขา
เจียงมั่วหย่วนคลายเนกไท รู้สึกหงุดหงิด
สีหน้าของเขาเย็นชา ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กำลังจะเดินเข้าคิงคลับ
ทันใดนั้นสายตากลับเหลือบเห็นคนที่เลี้ยวมาจากหัวมุมถนน
คนที่เขาเห็นตอนอยู่ริมหน้าต่างเมื่อไม่กี่วันก่อน
เจียงมั่วหย่วนอึ้งไปเล็กน้อย
หลานชายคนโตของตระกูลเนี่ยแห่งตี้ตูมาฮู่เฉิงจริงเหรอ
ทั้งยังปรากฏตัวที่นี่
ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด นี่เป็นโอกาสสำคัญ
เจียงมั่วหย่วนพยักหน้าให้ผู้ชายคนนั้น ปรับบุคลิก ทำตัวสุภาพขึ้น “คุณชายเนี่ย”
เนี่ยอี้กลับไม่แม้แต่จะมองเขา ตรงเข้าไปหาอิ๋งจื่อจินแล้วเรียก “คุณอิ๋งครับ”