ฟู่อวิ๋นเซินกับนักจิตวิทยาคนนี้รู้จักกันมาหลายปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเขามีสีหน้าแบบนี้
ในฐานะที่เป็นนักล่าติดชาร์ตอันดับสองนักสะกดจิตของเอ็นโอเค อีกทั้งยังเป็นนักจิตวิทยา เขาทำได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องในเรื่องการควบคุมอารมณ์
อย่างไรเสีย สีหน้าเพียงเล็กน้อยของมนุษย์ แม้จะแค่ปรากฏเพียงครึ่งวินาที นักสะกดจิตก็สามารถอ่านความคิดที่อยู่ภายในใจได้
ตอนที่นักสะกดจิตทำการสะกดจิตระดับลึกคนอื่น การฆ่าคนเป็นเรื่องที่ง่ายนิดเดียว
ฟู่อวิ๋นเซินขมวดคิ้ว น้ำเสียงเนือยๆ “ใคร”
นักจิตวิทยาถอนหายใจเล็กน้อย “คนไข้ของฉันคนหนึ่ง ฉันเองก็ไม่ได้เจอเธอนานแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นไงบ้างแล้ว”
เขาเงียบไปชั่วครู่ ส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่อยากพูดอะไรมาก ครั้นแล้วจึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“อาการของเธอพิเศษมาก ฉันเลยไม่ได้สั่งยาให้” นักจิตวิทยาพูด “ยังไงซะยาที่เกี่ยวข้องกับประสาทและจิตใจก็มีผลข้างเคียงที่เยอะพอสมควร”
ฟู่อวิ๋นเซินตอบอืมเสียงเบา
“แต่ว่า…” นักจิตวิทยาหยุดเล็กน้อย “เธอขอให้ฉันช่วยรักษาน้องชายของเธอ”
ฟู่อวิ๋นเซินเงยหน้า พิงตัวไปด้านหลัง “แล้วนายว่าไง”
“ฉันก็รับปาก” นักจิตวิทยายิ้ม “แต่ไม่ใช่เพราะนายหรอกนะ เป็นเพราะเธอ นายอาจจะไม่เชื่อ เธอควบคุมการแสดงออกทางสีหน้าได้ดีกว่าฉันเล็กน้อย”
ฟู่อวิ๋นเซินยังคงไม่แสดงอาการแปลกใจอะไร เขาแค่ยิ้ม “ดูท่าเด็กน้อยของฉันจะเก่งมากจริงๆ ขนาดนายยังยอมแพ้”
นักล่าชื่อดังติดอันดับในเว็บบอร์ดของเอ็นโอเค โดยเฉพาะคนที่อยู่สามอันดับแรกของแต่ละชาร์ต ต่อให้ใช้เงินก็เชิญมาไม่ได้
ร่องรอยของพวกเขาลึกลับเสียยิ่งกว่าลึกลับ
ดังนั้นต่อให้เขาตั้งเงินรางวัลพันล้านดอลลาร์ พวกนักล่าสามอันดับแรกก็ยังคงไม่สนใจ
อันดับที่สามกับสี่ แม้จะห่างเพียงอันดับเดียว แต่ความแตกต่างก็ไม่อาจคาดคะเนได้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอันดับหนึ่งของแต่ละชาร์ต
นักสะกดจิตอันดับหนึ่งไม่เคยปรากฏตัวให้เห็น มีเพียงข่าวลือนิดหน่อย
นักจิตวิทยาพยักหน้า “ตอนนี้นายต้องการสะกดจิตไหม”
“ไม่ล่ะ” ฟู่อวิ๋นเซินลุกขึ้น พูดอย่างเนือยๆ “ฉันรู้สึกว่าอยู่กับเด็กน้อยของฉันทำให้อารมณ์ดีกว่า หายเร็วขึ้นด้วย ไม่ต้องให้นายสะกดจิตก็ประหยัดเงินฉันดีด้วย”
“…”
…
วันต่อมา
อิ๋งจื่อจินลาเรียนให้เวินทิงหลานหนึ่งคาบแล้วพาเขาไปที่ห้องรับคำปรึกษา
“พี่” เด็กหนุ่มดึงชายเสื้อนักเรียนของพี่สาว เม้มริมฝีปากแน่น “ผมไม่อยากไป”
“ไม่เป็นไรหรอก” อิ๋งจื่อจินตบบ่าของเขา “นายไม่ต้องคุยอะไรกับเขา หลับสักตื่นก็พอ ถ้าไม่โอเค ก็ซัดเขาสักยก”
เวินทิงหลานที่รู้สึกว่าพี่สาวตัวเองป่าเถื่อนขึ้นทุกวัน “…”
สุดท้ายอิ๋งจื่อจินก็รับปากเขาว่าจะให้กินขนมเค้กเพิ่มหนึ่งชิ้นทุกวัน เวินทิงหลานถึงได้ยอมปล่อยมือแล้วเดินเข้าไป
อิ๋งจื่อจินมองประตูที่ปิดสนิท พิงราวระเบียงมองท้องฟ้า “ตอนห้าขวบ แม่ของเขาเคยกลับมาครั้งหนึ่ง จากนั้นเขาก็ไม่อ้าปากพูดอะไรเลยห้าปี”
ฟู่อวิ๋นเซินหันหน้ามา “ภรรยาของอาเวินเหรอ”
“อืม” อิ๋งจื่อจินตอบ “ตอนฉันจำความได้พ่อก็หย่าแล้ว ได้ยินพ่อเล่าว่าเสี่ยวหลานยังมีพี่สาวอีกคน แต่ไปอยู่กับแม่ ไม่เคยกลับมาสักครั้ง”
เวินเฟิงเหมียนไม่พูดถึง อีกทั้งเวลาก็ผ่านมานานเกินไป เกินขอบเขตที่เธอจะพยากรณ์ได้ ด้วยเหตุนี้เธอเองก็ไม่รู้ว่าแม่แท้ๆ ของเวินทิงหลานเป็นใครกันแน่
แค่รู้สึกได้ลางๆ ว่าดูเหมือนจะเป็นเพราะทนชีวิตลำบากที่อำเภอชิงสุ่ยไม่ไหว หลังจากที่คลอดเวินทิงหลานได้ไม่นานก็ขนทรัพย์สินมีค่าภายในบ้านทั้งหมดหนีไปพร้อมลูกสาว
ผ่านไปไม่กี่วันเวินเฟิงเหมียนก็เก็บเธอได้แล้วพาเธอกลับไปด้วย ถึงแม้ชีวิตจะอัตคัดจนถึงขั้นที่ท้องตัวเองก็ยังยากที่จะกินอิ่มก็ตาม
อาการออทิสติกของเวินทิงหลานรุนแรงมาก นักจิตวิทยาทั่วไปไม่เพียงแต่จะรักษาเขาไม่ได้ ยังจะยิ่งทำให้อาการของเขาหนักขึ้นเสียด้วยซ้ำ
แต่เมื่อวานเธอลองทดสอบนักจิตวิทยาคนนี้แล้ว พอไหว
ฟู่อวิ๋นเซินเงียบไปสักพักแล้วยิ้มพลางพูด “เยาเยา ไม่ต้องเป็นห่วงนะ รักษาตอนนี้ก็ยังไม่สาย จะต้องดีขึ้นแน่”
เขาเบาเสียงลง “พี่ชายก็เคยเป็น ก็ดีขึ้นมาได้แล้ว น้องชายของเธอไม่มีทางมีปัญหา”
“หืม?” นี่เป็นครั้งแรกที่อิ๋งจื่อจินได้ยินเขาพูดถึงเรื่องในอดีต เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย “มันเรื่องอะไรกัน”
เขามีรอยยิ้มอยู่เสมอ ควบคุมได้ดีแม้กระทั่งสีหน้าเล็กน้อย
ด้วยเหตุนี้เธอถึงมองไม่ออกว่าเขาก็เคยเป็นโรคออทิสติก
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก” ฟู่อวิ๋นเซินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ถึงแม้เธอจะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็อย่าฟังเรื่องในแง่ลบดีกว่า ไว้เธอหายแล้วพี่ชายค่อยบอกเธอ”
อิ๋งจื่อจินมองเขาแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา
ฟู่อวิ๋นเซินถามด้วยความสนใจ “เยาเยาอ่านนิยายเรื่องใหม่อีกแล้วเหรอ”
“เปล่า” อิ๋งจื่อจินเปิดนาฬิกาปลุก “ฉันจะตั้งปลุก”
ฟู่อวิ๋นเซิน “?”
“เอาไว้เตือนคุณว่าห้ามลืม” เธอพูดอย่างใจเย็น “ผู้สูงวัยที่โตกว่าฉันห้าปี”
“…”
…
ผลการรักษาด้วยการสะกดจิตครั้งแรกเป็นที่น่าพอใจ สภาพอารมณ์ของเวินทิงหลานดีขึ้นมาก
หลังจากที่อิ๋งจื่อจินนัดการรักษาครั้งต่อไปกับนักจิตวิทยาเสร็จก็กลับไปที่บ้านครอบครัวเวิน จากนั้นก็ไปตามนัดของผู้เฒ่าเซิ่ง
ผู้เฒ่าเซิ่งมีนามเต็มว่าเซิ่งชิงถัง เป็นจิตรกรศิลปกรรมจีนโบราณและภาพอักษรพู่กัน
สมัยหนุ่มๆ ดังมากในวงการ ภาพอักษรของเขาราคาเริ่มต้นที่หลายล้าน
พอแก่ตัวลงกลับใช้ชีวิตสมถะ อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังเล็กทางตะวันออกของเมืองฮู่เฉิง
ดูแลดอกไม้ปลูกผักไปตามประสา
คราวก่อนเซิ่งชิงถังยังได้ไหว้วานผู้อำนวยการโรงพยาบาลเซ่าเหรินให้เอาแตงที่บ้านเขาปลูกมาให้เธอจำนวนหลายตะกร้า
ที่เขาเข้าโรงพยาบาลก็เป็นเพราะความที่คนอายุใกล้เจ็ดสิบอยู่ไม่สุขเลยปีนขึ้นไปเก็บผลไม้เองจนเผลอตกลงมา
โดยเฉพาะตัวเซิ่งชิงถังที่ไม่เชื่อในการรักษาแผนตะวันตก เมื่อก่อนจะเป็นจะตายอย่างไรก็ไม่เข้าโรงพยาบาลแผนตะวันตก
“คุณอิ๋ง ไม่เคยได้เจอตัวคุณเลย ไม่คิดว่าจะอายุน้อยขนาดนี้” พอเห็นอิ๋งจื่อจิน เซิ่งชิงถังก็ลุกขึ้นพูดด้วยความตกใจ “คนหนุ่มสาวเก่งกันจริงๆ นะครับ”
“เกรงใจเกินไปแล้วค่ะ” อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “สุขภาพดีขึ้นไหมคะ”
“ขอบคุณคุณอิ๋งมากเลยครับ” พอพูดถึงเรื่องนี้เซิ่งชิงถังก็อดตื่นเต้นไม่ได้ “อาการเลือดลมไม่ค่อยดีในช่วงหลายปีนี้ก็ดีขึ้นมากเลยครับ”
เขาเคยหาแพทย์แผนจีนมาไม่น้อย เมืองตี้ตูก็เคยไป แต่ไม่เคยเจอใครที่มีฝีมือการรักษาล้ำเลิศเท่าหมอคนนี้
อิ๋งจื่อจินเงียบไปเล็กน้อย หยิบยาออกมาหนึ่งเม็ด “งั้นลองกินนี่ดูนะคะ”
“นี่คืออะไรเหรอครับ” เซิ่งชิงถังรับมา จ้องจนดวงตาแทบจะติด ดูเสร็จเขาก็ตบต้นขา พูดด้วยความดีใจ “ผมรู้แล้ว นี่จะต้องเป็นยาอายุวัฒนะแบบในละครแน่นอน!”
“…”
ผู้เฒ่าเซิ่งถูกละครน้ำเน่าล้างสมองเยอะเอาเรื่อง
“ไม่ใช่ค่ะ” อิ๋งจื่อจินส่ายหน้าเล็กน้อย “ก็แค่ช่วยให้อายุยืนขึ้นอีกหน่อย”
“อ้อ” เซิ่งชิงถังทำหน้าหงอย ถอนหายใจยาว “ผมคงได้แค่ฝันสินะ”
เขาหยิบยาเม็ดนี้ขึ้นมา ดูเสียดายไม่อยากกิน แต่สุดท้ายก็เตรียมจะกินแล้ว
ยังไม่ทันที่ยาจะเข้าปากก็มีเสียงตะโกนด้วยความโกรธดังมาจากข้างนอก
“พ่อ!”
มีคนพุ่งเข้ามาตบยาเม็ดนั้นตกลงไป
จากนั้นก็หันขวับไปหาเด็กสาว มองด้วยสายตารังเกียจ “คุณคิดจะให้พ่อผมกินอะไร ต้องการอะไรกันแน่!”