“ระยะห่างแนวตรงห้าร้อยสามสิบสี่เมตร”
“ความเร็วลมสองจุดเจ็ดเมตรต่อวินาที”
“ในอากาศไม่มีหมอกไม่มีฝุ่นขนาดใหญ่ ทัศนวิสัยดี”
สภาพอากาศกับระยะห่างแบบนี้เป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับนักแม่นปืน
ตรงหูขวาของเขาเกี่ยวหูฟังสีดำไว้
เขาอยู่ในชุดผ้ายืดสีดำรัดตัว กลมกลืนไปกับความมืด
ตำแหน่งนี้มองเห็นได้ในมุมกว้าง แต่กลับลึกลับมาก ไม่ถูกสังเกตเห็นได้ง่าย
มีเสียงลอดมาจากหูฟัง
“เตรียมลงมือแล้วเหรอ”
“ตอนนี้ยังไม่ได้” นักแม่นปืนถือกล้องส่องทางไกล ขมวดคิ้วพลางพูด “ข้างตัวเขายังมีคนแก่อีกคน ไว้รอเขาอยู่คนเดียวเมื่อไรฉันค่อยลงมือ”
ไม่ใช่เพราะกลัวคนที่ไม่เกี่ยวข้องบาดเจ็บ แต่เป็นเพราะเขาต้องการทำให้เงียบเชียบที่สุด
เสียงในหูฟังยังคงดังอยู่ต่อเนื่อง
“ไม่ต้องให้ฉันช่วยจริงเหรอ นายบอกข้อมูลของเขามา ฉันจะปฏิบัติการพร้อมกัน รับรองว่าเขาหนีไม่รอดแน่”
“ไม่จำเป็น” นักแม่นปืนปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด “ฉันเป็นคนหาเจอ จะให้แบ่งนายได้ยังไง”
พันล้านดอลลาร์
ขอแค่เขาได้เงินรางวัลค่าหัวนี้มาก็จะสามารถพักผ่อนไปได้หลายปี
กว่าเขาจะสืบเจอข้อมูลได้ก็ไม่ง่ายเลย แล้วจะบอกนักล่าคนอื่นได้ยังไง
“จึ๊ ก็ได้” น้ำเสียงในหูฟังเหมือนไม่แคร์ “แต่ฉันขอเตือนนายไว้ ก่อนหน้านี้นักแม่นปืนอันดับที่เก้าสิบสี่พลาดไปแล้ว”
“ยิงต่อเนื่องห้านัดก็ยังไม่โดน แถมอีกฝ่ายยังเป็นคนธรรมดา นายระวังไว้หน่อย”
นักแม่นปืนแสยะยิ้ม “ห่วงตัวเองก่อนเถอะ”
เขาเป็นนักแม่นปืนอันดับที่เจ็ด
อันดับที่เก้าสิบสี่เทียบเขาได้เหรอ
ล้อเล่นอะไรน่ะ
นักแม่นปืนตัดสายสนทนา ถอดหูฟังโยนไว้ด้านข้าง
เขาปรับระดับความสูงอีกครั้งแล้วโน้มตัวลง
…
ภายในคอนโด
สุขภาพของเวินเฟิงเหมียนดีขึ้นมากภายใต้การดูแลของอิ๋งจื่อจิน
ดังนั้นอาหารทั้งโต๊ะในเย็นวันนี้จึงเป็นฝีมือของเขาคนเดียว โดยมีเวินทิงหลานเป็นผู้ช่วย
ไม่ได้มีราคาอะไร เป็นอาหารบ้านๆ ทั้งนั้น แต่มีพร้อมทั้งรูปรสกลิ่น
ตรงกลางเป็นขนมเค้กก้อนใหญ่ ด้านข้างมีเทียนวางอยู่
เวินเฟิงเหมียนถอดผ้ากันเปื้อนแล้วเช็ดมือ “บ้านแคบ ขายหน้าพวกคุณทั้งสามคนแล้วนะครับ”
เขาอาศัยอยู่ที่อำเภอชิงสุ่ยมาสิบกว่าปี นี่เป็นครั้งแรกที่มาฮู่เฉิง
นอกจากจงมั่นหวาที่ตอนนั้นมายังอำเภอชิงสุ่ย เวินเฟิงเหมียนก็ไม่เคยได้คลุกคลีกับคนของสี่ตระกูลเศรษฐีมาก่อน จึงอดกังวลไม่ได้
“คุณเวิน พูดอะไรแบบนั้นกัน” ผู้เฒ่าจงรีบลุกขึ้น “ผมต่างหากที่รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาที่นี่ คุณเกรงใจเกินไปแล้ว”
ผู้เฒ่าฟู่ที่อยู่ข้างๆ จ้องขนมเค้กด้วยสายตาที่แน่วแน่
ฟู่อวิ๋นเซินเงยหน้าพูดกึ่งยิ้ม “ปู่”
“อ๋า อะแฮ่ม!” ผู้เฒ่าฟู่กระแอมหนึ่งทีแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่แคบ ผมว่ากำลังดี เมื่อก่อนผมกับตาแก่จงยังเคยเบียดอยู่ในห้องเดียวกัน แบบนี้เฉยๆ ไปเลยครับ”
คนแก่รุ่นนี้เคยผ่านความหิวโหยมาก่อน จึงไม่ได้ถือตัวอะไร
เวินเฟิงเหมียนรู้สึกเหนือความคาดหมายต่อท่าทีของผู้เฒ่าทั้งสอง ในใจก็ผ่อนคลายลง
ผู้เฒ่าฟู่หันไปพูดกับอิ๋งจื่อจิน “จื่อจิน เห็นแบบนี้คุณตาของหนูเป็นจอมโวยวายเชียวนะ เมื่อก่อนขี้ขลาดมาก กลัวความมืด”
อิ๋งจื่อจินเท้าคาง พอได้ฟังก็เลิกคิ้ว
ผู้เฒ่าจงโมโหแทบตาย “ตาแก่ฟู่ อย่ามาใส่ร้ายฉันต่อหน้าหลานสาวของฉัน แกลองนับดูเอาเถอะ สมัยเด็กแกขโมยขนมของฉันไปเท่าไร”
อิ๋งจื่อจิน “…”
ฟู่อวิ๋นเซิน “…”
ผู้เฒ่าฟู่พูดอย่างภูมิใจ “นั่นเป็นเพราะแกโง่เองที่จับฉันไม่ได้”
ผู้เฒ่าจงโมโห “ถุย!”
พอพูดถึงเรื่องนี้เขาก็มีน้ำโห
ตอนเด็กๆ พวกเขาเป็นเพื่อนวิ่งเล่นกันมาจนโต
เขาเคยไปบ้านครอบครัวฟู่ ผู้เฒ่าฟู่ก็เคยมาบ้านครอบครัวจง
ปรากฏว่าทุกครั้งหลังจากที่ผู้เฒ่าฟู่มาบ้านครอบครัวจงเสร็จ ขนมของเขาก็หายไปเสียเฉยๆ ทั้งที่ไม่มีปีกบิน
ต่อมาผู้เฒ่าจงถึงพบว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของผู้เฒ่าฟู่
ขโมยตังเมของเขา
ขโมยถั่วกวนของเขา
แถมยังจิ๊กไปทั้งถุง ไม่เหลือแม้แต่เศษให้เขาด้วยซ้ำ
ดูเอานะ นี่มันใช่เรื่องที่คนเขาทำกันเหรอ
เวินทิงหลานที่เงียบมาตลอดในที่สุดก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขาต้องไปเก็บขนมที่พี่สาวซื้อให้เขาไว้ให้ดีแล้ว
เนื่องจากเป็นคนกันเองทั้งนั้น ถึงแม้งานวันเกิดนี้จะไม่ใหญ่โต แต่ก็อบอุ่นมาก สนุกสนานเฮฮา
ผู้เฒ่าฟู่สุขภาพไม่ค่อยดี กินเสร็จก็ต้องกลับไปพักผ่อน
“เยาเยา รอก่อนนะ” ฟู่อวิ๋นเซินลุกขึ้น “พี่ชายไปส่งปู่เดี๋ยวกลับมาใหม่”
“หืม?” อิ๋งจื่อจินกำลังเก็บจาน “กินเค้กหมดแล้ว คุณจะกลับมาทำไมอีก”
“…”
เขาแน่ใจว่าเด็กน้อยไม่ใช่คนไร้เยื่อใย แต่นิสัยแบบนี้จริงๆ
ฟู่อวิ๋นเซินยิ้มจนปัญญา “จะฉลองวันเกิดแบบนี้ไม่ได้”
อิ๋งจื่อจินครุ่นคิดเล็กน้อย “ฉันรู้สึกพอใจมากแล้ว”
“พี่ชายยังไม่พอใจ” ฟู่อวิ๋นเซินเขกหน้าผากของเธอแล้วพูดอย่างไม่รีบร้อน “สามทุ่มมีเซอร์ไพรส์”
อีกด้านหนึ่งผู้เฒ่าจงกำลังขอบคุณเวินเฟิงเหมียนอยู่
“ขอบคุณมาก ขอบคุณคุณจริงๆ ที่ดูแลจื่อจินในช่วงหลายปีมานี้ ถ้าคุณไม่พาเธอกลับไปผมก็ไม่รู้จริงๆ ว่า…”
พูดมาถึงตรงนี้ก็ไม่ได้พูดต่อ
เพราะใครต่างก็รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
เด็กขวบกว่าหายไป อยู่ข้างนอกต่อให้ไม่ถูกพวกค้ามนุษย์เก็บไปก็ต้องหิวตายอยู่ดี
เวินเฟิงเหมียนดันบัตรธนาคารกลับไป ไอเล็กน้อย “ผมควรทำอยู่แล้วครับ”
ผู้เฒ่าจงรู้สึกว่าครอบครัวเวินอบรมสั่งสอนมาได้ดีจริงๆ เขาเองก็ไม่บังคับ “ต่อไปถ้าคุณเวินเดือดร้อนอะไรก็มาหาผมได้นะครับ พวกคนตระกูลอิ๋งน่ะ คุณก็คิดเสียว่าพวกเขาเป็นแค่ผักกาดขาวเน่าๆ ก็พอแล้ว”
เวินเฟิงเหมียนไม่พยักหน้าและก็ไม่ได้ส่ายหน้า เขาแค่ยิ้มแล้วไปช่วยอิ๋งจื่อจินล้างจานชามในห้องครัว
ผู้เฒ่าจงยังคงนั่งดื่มเหล้าอยู่ที่โต๊ะ ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง
ซี้ด
ดูเหมือนเขาจะเคยเจอเวินเฟิงเหมียนที่ไหนมาก่อน รู้สึกคุ้นหน้ามาก
ที่ไหนกันนะ…
ผู้เฒ่าจงนึกอยู่นานก็นึกไม่ออกจึงดื่มเหล้าแก้เซ็ง
เขาหันหน้าไปคุยกับเวินทิงหลาน “เสี่ยวหลาน ตาแก่ฟู่มันไม่ได้เรื่อง เรามาเล่นกับตาสักสองตาสิ ไม่ต้องยอมให้หรอกนะ ตาไม่กลัวหรอก”
ผู้เฒ่าจงก็ชอบเวินทิงหลานมาก จึงให้เขาเรียกว่าตาเหมือนอิ๋งจื่อจิน
เขามีหลานเพิ่มอีกคนแล้ว
มีความสุขจริงๆ
เวินทิงหลานเงยหน้า มองเขาด้วยสีหน้าหวาดหวั่น “…ไม่เอาครับ”
“เอาสิ นายต้องเอา” ผู้เฒ่าจงดันหมากสีดำให้เขาโดยไม่ยอมให้ปฏิเสธ “ชนะตาได้ตาจะให้อั่งเปาซองใหญ่”
ประโยคสุดท้ายทำให้เวินทิงหลานคว้าตัวหมากมาทันที “ตกลงครับ”
ผู้เฒ่าจงที่ยังไม่สร่างเมา “…”
มันแปลกๆ ตรงไหนหรือเปล่า
…
ที่ด้านนอก
นักแม่นปืนยังคงจับจ้องอยู่บนยอดตึก แต่เวลาผ่านไปนานเกินไปจึงชักจะเริ่มหงุดหงิด
ในที่สุดหลังจากรอมาหนึ่งชั่วโมงก็ปรากฏเงาของชายหนุ่มขึ้นในลำกล้อง
ครั้งนี้มาคนเดียว
สามทุ่มแล้วภายในละแวกคอนโดไร้ผู้คน
เงียบสงบมาก
นักแม่นปืนโล่งอก ยกปากกระบอกปืนอีกครั้งแล้วเล็งไปที่ศีรษะของชายหนุ่มคนนั้น
นิ้วเคลื่อนไปที่ไกเตรียมง้าง
แต่ทันใดนั้นเองเขากลับถูกสะกิดที่ไหล่