ถึงแม้จงจือหว่านจะไม่ได้เงยหน้า และก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ก็คอยดูอิ๋งจื่อจินอยู่ตลอด
ตอนที่คุณนายจงเดินไปหาอิ๋งจื่อจิน เธอก็เห็นแล้ว
เธอย่อมรู้ว่าคุณนายจงไปเตือนอิ๋งจื่อจินเพื่อปกป้องเธอ
อย่างไรเสียอิ๋งจื่อจินก็เป็นแค่ลูกเลี้ยง เทียบชั้นกับเธอไม่ได้
แต่จงจือหว่านไม่คาดคิดว่า ไม่เพียงแต่อิ๋งจื่อจินจะไม่กลัวคุณนายจง กลับหาเรื่องมาให้เธอด้วยซ้ำ
อย่าว่าแต่จะขัดขวาง จงจือหว่านยังไม่มีแม้แต่เวลาให้คิด สมองว่างเปล่าไปชั่วขณะ หูก็ตื้อไปหมด
เธอได้ยินเสียงตะโกนด้วยความโมโหของเว่ยโฮ่วในบันทึกสนทนาเสียง
‘เธอเป็นคนเอาภาพนั้นมาให้ฉัน ก็แสดงว่าเธอขโมยมา หนีไม่รอดหรอก!’
‘เธอเป็นคนให้ฉันประทับตราลงบนภาพนั้น’
จากนั้นก็ได้ยินเสียงตัวเอง
‘หนูบอก อาจารย์ก็เลยทำอย่างนั้นเหรอคะ’
‘คุณปู่ของหนูรักน้องหนูคนนี้มาก อาจารย์ว่าถ้าคุณปู่เจออาจารย์จะยอมฟังคำอธิบายไหมคะ คุณปู่จะเชื่อหนูหรือเชื่ออาจารย์กันล่ะคะ’
จงจือหว่านยืนอยู่ตรงหัวมุมบันได มือเท้าเย็นเฉียบ
เลือดที่หล่อเลี้ยงบนใบหน้าหายไปหมด รู้สึกอับอายและเสียหน้าอย่างรุนแรงจนเกือบร้องไห้ออกมา
คุณนายจงทั้งตกใจทั้งโมโห หันขวับไปมองอิ๋งจื่อจิน “เธอทำอะไรน่ะ เอาโทรศัพท์มานี่!”
อิ๋งจื่อจินโยนโทรศัพท์ไปที่มืออีกข้าง “คุณนายจงคะ ฉันเห็นแก่หน้าคุณตาก็เลยไม่แพร่ออกไป”
เธอหันหน้าเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำเย็นชา “ไม่ได้หมายความว่าคุณจะมาหาเรื่องฉันได้นะคะ”
คุณนายจงสีหน้าบึ้งตึง
คนเราพอแก่ตัวลง สิ่งที่หวังมากที่สุดคืออยากให้ลูกหลานเป็นที่เชิดหน้าชูตา มีความสุขในบั้นปลาย
ผู้เฒ่าจงก็เช่นกัน
อย่างไรเสียจงจือหว่านก็เติบโตมาข้างกายเขา ปู่หลานที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาสิบกว่าปี มีเหรอที่จะไม่ผูกพัน
คราวก่อนถึงแม้ผู้เฒ่าจงจะตำหนิจงจือหว่านไปแล้ว แต่หลังเกิดเรื่องก็ใส่ใจสุขภาพของเธอ ทั้งยังได้เชิญหมอมาตรวจให้เป็นการเฉพาะ
คุณนายจงรู้จักนิสัยของผู้เฒ่าจงดี
ผู้เฒ่าจงเป็นคนที่แยกแยะถูกผิดชัดเจน ตราบใดที่ทำผิด ต่อให้เป็นลูกชายแท้ๆ ของตัวเองก็ต้องถูกลงโทษตามปกติเหมือนกัน
“จงจือหว่าน!” ผู้เฒ่าจงโมโหขึ้นมาทันที ที่มากกว่าคือความรู้สึกเหลือเชื่อ “เธอเอาภาพเขียนของน้องสาวไปให้เว่ยโฮ่วอย่างนั้นเหรอ!”
“คุณปู่…” ดวงตาของจงจือหว่านเริ่มรื้น มีน้ำตาคลอ “คุณปู่ หนูก็แค่ ก็แค่…”
แค่เพราะอิจฉานิดหน่อยเท่านั้น
เธอไม่ได้มีเจตนาร้ายอย่างอื่น
“หุบปาก!” หน้าอกของผู้เฒ่าจงกระเพื่อมอย่างรุนแรง โมโหมากอย่างเห็นได้ชัด “ไปสำนึกผิดที่ห้องใต้หลังคาตอนนี้ เดี๋ยวนี้! คิดได้เมื่อไรค่อยออกมา!”
คราวนี้น้ำตาของจงจือหว่านพรั่งพรูออกมาจริงๆ ทั้งยังมีสีหน้าตกใจ “คุณปู่?”
“พ่อบ้าน!” ผู้เฒ่าจงไม่แม้แต่จะมองหน้า เขาตวาดเสียง “พาคุณหนูใหญ่ไปที่ห้องใต้หลังคา”
จงจือหว่านถูกพ่อบ้าน ‘เชิญ’ ไปโดยที่ไม่ได้แม้แต่จะแก้ตัว
“แล้วก็เธอ!” ผู้เฒ่าจงหันหน้าไปมอง “อย่าคิดว่าแอบทำอะไรลับหลังแล้วฉันจะไม่รู้ ว่างนักก็ไปสั่งสอนหว่านหว่านให้ดี เธอดูซิว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นกับหว่านหว่านกันแน่”
คุณนายจงสีหน้าแข็งทื่อ ทั้งอับอายทั้งขายหน้า ใบหน้าแสบร้อนไปหมด
เธอยังจะทำตัวเชิดหยิ่งได้อีกที่ไหนกัน รีบก้มหน้า “ความผิดหนูเองค่ะท่านผู้เฒ่า ช่วงนี้ละเลยการอบรมสั่งสอนหว่านหว่านไป”
“ฉันไม่อยากได้ยินคำพูดไร้สาระขายผ้าเอาหน้ารอดแบบนี้” อารมณ์โมโหของผู้เฒ่าจงยังไม่บรรเทาลง “ไม่สั่งสอนลูกสาวให้ดีเป็นความผิดของแม่ ขอโทษจื่อจินเดี๋ยวนี้!”
คุณนายจงสีหน้าเปลี่ยนอีกครั้ง
เธอแต่งเข้าตระกูลจงมาตั้งหลายปีขนาดนี้ เคยถูกบังคับให้ขอโทษเมื่อไรกัน
อีกทั้งคนที่ต้องขอโทษยังเป็นลูกเลี้ยงที่สถานะต่ำต้อย
คุณนายจงกัดฟันพูด ‘ขอโทษ’ ด้วยน้ำเสียงที่เบามาก ไม่มีหน้าที่จะอยู่ต่อ ถกกระโปรงแล้วรีบร้อนขึ้นชั้นบนไป
“จื่อจิน ตารู้สึกละอาย” ผู้เฒ่าจงสูดลมหายใจเข้าลึก “ตานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าหว่านหว่านจะทำเรื่องแบบนี้ได้ ตาไม่สั่งสอนหว่านหว่านให้ดีเอง”
“ไม่ใช่ความผิดของคุณตาค่ะ” อิ๋งจื่อจินมีสีหน้าเรียบเฉย ยกแก้วน้ำขึ้นมา “กินน้ำค่ะคุณตา”
หลังจากที่ผู้เฒ่าจงดื่มน้ำเสร็จก็ลืมแล้วว่าตัวเองจะพูดอะไร
“คุณตาคะ หนูกลับไปหาพ่อก่อนนะคะ” อิ๋งจื่อจินพยักหน้าเล็กน้อย
“หนูจะคอยมาหาคุณตาเรื่อยๆ ค่ะ”
แต่ก็ต้องขอบคุณจงจือหว่านที่ทำให้ความอัดอั้นตันใจภายในร่างกายผู้เฒ่าจงได้ระบายออกมา
จากนั้นเธอค่อยจัดการปรุงยาให้อีกที ร่างกายของผู้เฒ่าจงก็จะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว
“ดีๆ” ผู้เฒ่าจงหายโมโหทันที ยิ้มตาหยี “จื่อจิน พ่อของหลาน…”
ยังไม่ทันได้พูดต่อก็เปลี่ยนคำพูด “ขาดเหลืออะไรก็บอกตาได้นะ”
หลังจากอิ๋งจื่อจินกลับไป ผู้เฒ่าจงก็ดื่มน้ำอีกแล้วพูดพึมพำกับตัวเอง
น่าแปลกจริง
ทำไมเขารู้สึกว่าพอได้โมโหร่างกายก็โล่งขึ้นมาก
ผู้เฒ่าจงเกาหัว คิดยังไงก็ไม่เข้าใจ ครั้นแล้วจึงเดินไปรดน้ำต้นไม้เรื่อยเปื่อย
…
ภายในห้องใต้หลังคา
จงจือหว่านคุกเข่ามาแล้วหนึ่งชั่วโมง
เธอพยายามเช็ดน้ำตา รู้สึกน้อยใจเหลือเกิน
สุดท้ายเรื่องก็ไม่มีอะไรไม่ใช่เหรอ
แถมอิ๋งจื่อจินยังเหยียบเว่ยโฮ่วได้ ได้รับคำชมจากเซิ่งชิงถัง
ผ่านไปอีกครั้งชั่วโมง คุณนายจงก็เอานมร้อนมาให้จงจือหว่าน
เธอเอาแก้วนมวางไว้บนโต๊ะ ง้างมือตบจงจือหว่านหนึ่งทีแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “รู้หรือเปล่าว่าตัวเองผิดตรงไหน”
จงจือหว่านเอามือจับหน้า น้ำตาทะลักยิ่งกว่าเดิม “หนูไม่ควรทำเพราะอารมณ์ชั่ววูบ”
“เพียะ!”
พูดจบก็ถูกตบอีกหนึ่งที
“ผิดแล้ว” คุณนายจงส่ายหน้า รู้สึกผิดหวังมาก “ลูกผิดที่ไม่ทำให้แนบเนียน กำจัดร่องรอยทั้งหมด แถมยังถูกอัดเสียงไว้ได้”
“และก็ผิดที่อิจฉาลูกเลี้ยง ลดตัวลงไปเกลือกกลั้ว”
จงจือหว่านอึ้งไปชั่วขณะ
“จือหว่าน ลูกเป็นคุณหนูใหญ่ที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี จะไปด้อยกว่าลูกเลี้ยงได้ยังไง” คุณนายจงย่อตัวลงมา ถอนหายใจ “คุณปู่ของลูกพูดถูก ลูกต้องคิดทบทวนให้ดี”
“คู่ต่อสู้ของลูกคือพวกคุณหนูไฮโซที่อยู่ตี้ตู ไม่ใช่ลูกเลี้ยงคนนั้น”
“เด็กคนนั้นไม่คู่ควรให้ลูกต้องไปต่อสู้จริงจังด้วย เข้าใจไหม”
จงจือหว่านเม้มริมฝีปาก “คุณแม่ แต่ทางคุณปู่…”
“ตอนนี้คุณปู่ของลูกแก่แล้ว เลอะเลือนแล้ว ถูกครอบงำ” คุณนายจงข่มความโกรธ “แต่ลูกเป็นหลานที่คุณปู่เห็นมาจนโต คุณปู่ไม่มีทางลงโทษลูกจริงๆ ลูกคุกเข่าอีกสักพักเดี๋ยวแม่จะไปขอร้อง”
จงจือหว่านขานรับอย่างอัดอั้นตันใจ
“แล้วก็” คุณนายจงยืนขึ้น “อาของลูกไม่อยากให้ลูกเลี้ยงคนนั้นล่วงเกินคุณชายตระกูลมู่ เลยจะให้เขามาพักอยู่ที่บ้านของเรา มาเดือนหน้านี้”
“ตระกูลมู่แห่งตี้ตูหมายถึงอะไร จือหว่าน คงไม่ต้องให้แม่อธิบายใช่ไหม”
จงจือหว่านเช็ดน้ำตา “ทราบค่ะ”
คุณนายจงถึงได้พอใจแล้วออกไป
…
ไม่กี่วันต่อมานักเรียนห้องสิบเก้าก็รู้เรื่องที่จงจือหว่านทำ
ต่างคิดเหมือนกันว่าควรเลือกวันเดือนมืดคืนหมาหอนจับจงจือหว่านใส่กระสอบแล้วเอาไปให้เจียงหรานระเบิดหัว
“พ่ออิ๋ง เธอจะปล่อยจงจือหว่านไปทั้งแบบนี้เหรอ” ซิวอวี่หน้านิ่ว “ฉันว่านะ ควรเอาบันทึกเสียงนี่ไปโพสต์ในเว็บบอร์ดโรงเรียน ให้คนอื่นได้รู้ตัวตนของยัยนั่น”
แบบนี้น่ะเหรอนางฟ้า
พวกผู้ชายตาบอดกันทั้งนั้น
“ไม่ต้อง” อิ๋งจื่อจินก้มหน้า ยังคงนั่งทำภารกิจสะสมแต้มในเว็บบอร์ดเอ็นโอเคต่อ “ไม่สนใจ”
จงจือหว่านจะเป็นอย่างไรเธอไม่แคร์
ในตระกูลจง เธอแคร์แค่ผู้เฒ่าจงคนเดียว
“จึ๊” ซิวอวี่หันหน้าไป “เจียงหราน เอาแบบนี้ไหม นายไปด่าจงจือหว่านสักยก เอาให้ยัยนั่นหัวใจแหลกสลายไปเลย”
เจียงหรานหน้าบึ้ง “เธอนี่มันประสาท”
เขาว่างขนาดนั้นเลยหรือไง
ซิวอวี่ยักไหล่ “พ่ออิ๋ง วันนี้ไปกินไหน”
หลังจากที่อิ๋งจื่อจินทำภารกิจระดับดีเสร็จก็เงยหน้าขึ้น “โรงอาหาร”
พอได้ยินคำนี้ เท้าของเจียงหรานที่เตรียมจะออกนอกโรงเรียนก็หยุดลง
ลูกน้องจึงชนด้านหลังของเขา เจ็บจนเกือบร้องไห้ “พี่หราน หยุดทำไมเนี่ย”
เจียงหรานหน้าบึ้ง ตามอยู่ด้านหลังซิวอวี่ “ไม่ออกไปแล้ว ไปโรงอาหาร”
โรงอาหารของชิงจื้อมีอาหารทั้งแปดประเภทใหญ่ของจีน รวมถึงอาหารตะวันตก
ราคาถูก รสชาติพอไหว ดังนั้นนักเรียนส่วนใหญ่จึงกินที่โรงอาหาร แม้แต่ลูกหลานของสี่ตระกูลเศรษฐีก็ตาม
แต่ไม่รวมถึงเจียงหราน
ตอนที่จงจือหว่านเห็นเจียงหรานเดินเข้ามา สีหน้าก็ชะงักไป ยืดตัวตรงขึ้นมาทันที
แต่พอเห็นอิ๋งจื่อจินเธอก็ขมวดคิ้ว
“จือหว่าน ไม่น่าเชื่อ” นักเรียนหญิงที่อยู่ข้างๆ ตกใจ “เจียงหรานมากินข้าวที่โรงอาหารด้วย แต่ว่าอิ๋งจื่อจินก็มานะ ไม่แปลกละ”
ใครต่างก็รู้ว่า นับตั้งแต่อิ๋งจื่อจินไปอยู่ห้องสิบเก้า
พวกขาใหญ่ประจำชิงจื้อก็ไปตามหลังเธอกันหมด
เล็บของจงจือหว่านจิกเข้าไปในฝ่ามือ ยิ้มบาง “ยัยนั่นน่ะ ก็แค่ชอบอ่อยผู้ชายไปเรื่อย”
นักเรียนหญิงอึ้ง
“แรกสุดอ่อยคู่หมั้นของอาจารย์อิ๋ง ต่อมาก็ไปอ่อยฟู่อวิ๋นเซิน” จงจือหว่านพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ตอนนี้แม้แต่เจียงหรานก็ไม่เว้น”
นักเรียนหญิงนึกไม่ถึง พอได้ฟังแบบนี้ก็รู้สึกรังเกียจขึ้นมาทันที “ไม่น่าเชื่อเลยเนอะ”
“มีเลวร้ายกว่านี้อีกนะ” จงจือหว่านวางตะเกียบลง “เธอคงไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ยัยนั่น…”
ยังไม่ทันพูดจบ
เพราะจงจือหว่านก็สังเกตเห็นอิ๋งจื่อจินมองมาทางเธอ
เธอเงยหน้าขึ้น เอากระดาษเช็ดปากด้วยท่าทางไม่แคร์
อยู่ไกลขนาดนี้ไม่ได้ยินหรอกว่าเธอพูดอะไร
ต่อให้ได้ยิน โรงอาหารมีคนตั้งเยอะ อิ๋งจื่อจินจะทำอะไรได้
จงจือหว่านโยนกระดาษทิ้ง เตรียมออกจากโรงอาหาร
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะลุกขึ้น
นิ้วของอิ๋งจื่อจินตวัด ตะเกียบที่อยู่หว่างนิ้วพุ่งไป
“ปึ้ก!”
ปักลงไปที่กลางโต๊ะตรงหน้าจงจือหว่าน