ครึ่งแท่งอยู่ด้านบน ครึ่งแท่งอยู่ด้านล่าง ตรงกลางส่วนหนึ่งคาอยู่ที่โต๊ะ
ถึงขนาดที่มีเศษไม้ปลิว
“…”
เกิดความเงียบขึ้นในโรงอาหารชั่วขณะ ราวกับเสียงวุ่นวายทั้งหมดถูกตะเกียบแท่งนี้พาไปด้วย
เจียงหรานสังเกตอิ๋งจื่อจินอยู่ตลอด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เห็น
มือของเขาคลายออกในทันที ถาดอาหารหล่นลงพื้นดัง เคร้ง
อาหารที่อยู่ในถาดหกรดตัวลูกน้อง
คราวนี้ลูกน้องไม่ได้โวยวาย เพราะกำลังยืนงงอยู่
ไม่ใช่แค่เขาที่งง แต่นักเรียนที่เห็นเหตุการณ์นี้ต่างงุนงงไปตามๆ กัน
เหมือนเห็นผี
จงจือหว่านมองตะเกียบที่อยู่ห่างจากถาดอาหารของเธอไปแค่ครึ่งนิ้ว สมองว่างเปล่าไปชั่วขณะ “…”
เธอมองอิ๋งจื่อจินด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ ริมฝีปากสั่นระริก
ถ้าตะเกียบพุ่งเบี้ยวมาอีกนิดก็จะไม่ได้ปักลงที่โต๊ะ แต่เป็น…
จงจือหว่านไม่กล้าคิดต่อ เหงื่อแตกท่วมชุดนักเรียน ลมหายใจติดขัด
ร่างกายของเธอสั่นไม่หยุด แม้แต่แรงจะยืนยังไม่มี
นักเรียนหญิงที่อยู่ข้างกันก็ตกใจไม่น้อย ดึงแขนเสื้อจงจือหว่าน
ไม่มีใครเห็นว่าตะเกียบแท่งนี้พุ่งออกมาจากมือของอิ๋งจื่อจินได้ยังไง
แต่นี่ไม่สำคัญ
สิ่งสำคัญคือ อิ๋งจื่อจินปักตะเกียบไม้ลงไปในโต๊ะได้ยังไง
โรงอาหารยังคงเงียบสงัด สายตาทุกคู่มองไปที่อิ๋งจื่อจิน
อิ๋งจื่อจินหยิบตะเกียบคู่ใหม่แล้วไปหาที่นั่งริมหน้าต่าง
“มองอะไรน่ะ” เจียงหรานกวาดตามอง แสยะยิ้ม “ยังมองไม่พออีกเหรอ อยากให้ช่วยควักลูกตาออกมาวางตรงหน้านี้แล้วดูให้พอไหม”
พวกนักเรียนรีบละสายตาทันที เริ่มก้มหน้าก้มตากินข้าวกันอย่างบ้าคลั่ง
เจียงหรานเชิดหน้า ในที่สุดก็อารมณ์ดีขึ้นหน่อย
ดูท่าบารมีของเขาที่เป็นขาใหญ่ประจำโรงเรียนยังคงอยู่
ซิวอวี่กัดแอปเปิลแล้วนั่งตาม
ราวกับยังไม่ได้สติกลับมา ผ่านไปหลายวินาทีเธอถึงพูดขึ้นอย่างยากลำบาก “พ่ออิ๋ง เมื่อกี้เธอ…”
“ไม่มีอะไรหรอก” อิ๋งจื่อจินใช้ตะเกียบคีบผัก พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ลืมคุมแรงน่ะ”
แรงที่มือมากไปหน่อย เธอต้องปรับปรุง
ซิวอวี่รู้สึกว่าแอปเปิลในปากไม่มีรสชาติไปชั่วขณะ
ลืมคุมแรง ก็เลยทำตะเกียบปักเข้าไปในโต๊ะ
นี่ถ้าตั้งใจออกแรงจริง พังค้อนเหล็กให้แหลกก็กลายเป็นเรื่องจิ๊บๆ เลยไหม
ทันใดนั้นเธอเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อย
ซิวอวี่มองอิ๋งจื่อจินพลางครุ่นคิด
คนที่ใช้แรงได้ถึงขั้นนี้ ต่อให้ไม่ใช่จอมยุทธ์โบราณอย่างแท้จริง ก็ต้องเกี่ยวข้องกับวิทยายุทธ์โบราณอยู่บ้าง
แต่หลังจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเป็นต้นมาก็ไม่ค่อยเจอจอมยุทธ์โบราณแล้ว
ซิวอวี่ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับการพัฒนาอันรวดเร็วของเทคโนโลยีหรือเปล่า
เหล่าตระกูลวิทยายุทธ์โบราณที่เคยรุ่งโรจน์ในตี้ตู โดยรวมนั้นถือว่าค่อยๆ ถอนตัวออกไปหมดแล้ว
อย่างเจียงหรานก็เป็นแค่คนที่ฝึกวิทยายุทธ์โบราณขั้นต้น ไม่ใช่จอมยุทธ์โบราณ
เพราะวิธีการฝึกไม่ถูกต้อง กำลังภายในที่อยู่ในร่างกายถึงได้ปั่นป่วน จึงส่งผลต่อสภาพอารมณ์และนิสัย ถึงได้จำเป็นต้องใช้ยามาควบคุม
จอมยุทธ์โบราณที่แท้จริงมีอยู่น้อยมาก
ใช่ว่าใครก็เข้าวงการวิทยายุทธ์โบราณได้ ลึกลับยิ่งกว่าวงการแพทย์แผนโบราณเสียอีก
ซิวอวี่แน่ใจได้ว่า พ่ออิ๋งของพวกเขาจะต้องเกี่ยวข้องกับวิทยายุทธ์โบราณแน่นอน
ไม่แน่อาจมีอาจารย์ที่มาจากวงการวิทยายุทธ์โบราณ
แต่เธอก็ไม่ได้ถาม
ตราบใดที่ได้เห็นเจียงหรานถูกกำราบไว้ เธอก็มีความสุขแล้ว แถมยังเอาไปคุยกับพี่ฮว่าผิงได้ด้วย
พอคิดมาถึงตรงนี้ ซิวอวี่ก็รู้สึกอยากอาหารขึ้นมา จึงกินแอปเปิลลูกใหญ่อีกผล
…
เวลาตีสามครึ่ง
ยามราตรีที่เงียบสงัดไร้เสียง
ฟู่อวิ๋นเซินลืมตาขึ้น ตื่นนอนอยู่บนเตียงภายในคอนโดส่วนตัว
เขานอนอยู่เงียบๆ ห้านาทีแล้วถึงค่อยๆ ลุกขึ้น
ในดวงตาดอกท้ออันน่าหลงใหลมีสีเลือดจางๆ
เขาไม่รู้ว่าตัวเองฝันร้ายแบบนี้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว ต่อให้ดำเนินการรักษาด้วยการสะกดจิตระดับลึกมาสามปี เขาก็ยังคงไม่อาจหลุดพ้นจากฝันร้ายนี้ได้
ทุกครั้งที่หลับตาลงจะเต็มไปด้วยการนองเลือด
เสียงระเบิด เสียงยิงปืน เสียงกรีดร้อง ดังวนเวียนอยู่ข้างหู
และก็เป็นอดีตที่เขาหนีไม่พ้น
ฟู่อวิ๋นเซินรินน้ำ เดินไปที่ริมระเบียง
ไกลออกไปเป็นหมู่ตึกที่เปิดไฟสว่างไสว เมืองฮู่เฉิงเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหลมาตลอด
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือได้ดังขึ้น
เนี่ยอี้โทรมา
ฟู่อวิ๋นเซินขมวดคิ้ว สุดท้ายก็กดรับ “ฮัลโหล”
“อวิ๋นเซิน ฉันกลับมาตี้ตูแล้ว” เนี่ยอี้พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ยังจัดการธุระไม่เสร็จ ฝากดูแลเนี่ยเฉาอีกสักระยะนะ”
“อืม” ฟู่อวิ๋นเซินนวดหางตา รู้สึกจนปัญญานิดหน่อย “เรื่องแบบนี้นายต้องโทรหาฉันกลางดึกด้วยเหรอ”
เนี่ยอี้เงียบไปเล็กน้อยแล้วถึงตอบ “ไม่ใช่ เสวี่ยเซิงบอกฉันว่าสภาพอารมณ์ของนายเปลี่ยนแปลงไปมาก ฉันกลัวนายจะทำอะไรสุดโต่ง”
อวี้เสวี่ยเซิงเป็นนักจิตวิทยาที่เขาเชิญมาให้อิ๋งจื่อจินโดยเฉพาะ และยังเป็นนักสะกดจิตอันดับสองของเอ็นโอเค
ฟู่อวิ๋นเซินตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
สภาพอารมณ์ของเขาถูกจับตาดูอยู่
นี่เป็นสิ่งที่เขาขอร้องเอง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์อะไร
อย่างไรเสียเขาก็เคยสูญเสียการควบคุม
“อวิ๋นเซิน นาย…” เนี่ยอี้ชะงักเล็กน้อย “ไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ไม่มีอะไร ชินแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซินแสยะยิ้ม “ก็แค่รู้สึกว่าบางครั้งการมีชีวิตอยู่มันก็เหนื่อยดีนะ”
เนี่ยอี้เงียบไป
ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร
“ไม่มีอะไรแล้ววางนะ” ฟู่อวิ๋นเซินไม่ได้พูดอะไรมาก “จ่ายค่ากินของน้องชายนายมาด้วยล่ะ เขากินเก่งเป็นบ้า”
ไม่รอให้เนี่ยอี้พูดอะไรอีก เขากดตัดสายทิ้ง
จากนั้นก็ครุ่นคิดหลายวินาทีแล้วกดเปิดวีแชท
[เยาเยา อาหารเช้าอยากกินอะไร พี่ชายจะแวะเอาไปให้]
ฟู่อวิ๋นเซินส่งข้อความเสร็จก็วางโทรศัพท์มือถือลง
ตอนนี้เป็นเวลาตีสี่ คนทั่วไปกำลังนอนอยู่
แต่ข้อความวีแชทข้อความนี้ถูกส่งไปได้ไม่กี่วินาทีก็มีข้อความตอบกลับ
[ได้หมด]
ผ่านไปไม่กี่วินาทีก็มีข้อความที่สอง
[ฝันร้ายเหรอ]
ฟู่อวิ๋นเซินอึ้งไปชั่วขณะ
สักพักเขาก็ตอบอย่างเนือยๆ
[เด็กน้อยเป็นนักทำนายขั้นเทพเหรอ ดึกขนาดนี้ยังไม่นอนอีก ถึงเราจะผมหนา สวยมาแต่กำเนิด แต่ก็ต้องรักษาสุขภาพนะ]
พอส่งข้อความนี้ไปก็มีวิดีโอคอลเข้า
มือของฟู่อวิ๋นเซินชะงัก เขากดรับ
หน้าสดของอิ๋งจื่อจินปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์
เธออยู่ในชุดนอน ผมยาวสยายประบ่า ใบหน้าถูกแสงจันทร์สลัวนอกหน้าต่างสาดส่องจนเป็นสีทองอ่อนๆ
เห็นได้ชัดว่าเพิ่งตื่นเหมือนกัน น้ำเสียงของเธองัวเงียเล็กน้อย
“คุณหลับไม่ค่อยสบาย พรุ่งนี้ฉันจะเอายาไปให้หน่อย กินก่อนอาหารเช้ากลางวันเย็นทุกวัน รักษาเป็นเวลาเจ็ดวัน”
นิ่งไปเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ถ้าฝันร้ายทางที่ดีอย่าอยู่คนดียว”
สายตาของฟู่อวิ๋นเซินจับจ้อง
เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเด็กน้อยจะวิดีโอคอลหาเขาเพื่อพูดเรื่องนี้
เมื่อก่อนไม่มีสักคนเดียวที่จะบอกเขาว่าอย่าอยู่คนเดียวเวลาฝันร้าย
“พี่ชายรู้แล้ว ไปนอนเถอะเด็กน้อย” ฟู่อวิ๋นเซินพิงไปด้านหลัง หางตาขยับแล้วยิ้มออกมา “ถ้ายังไม่นอนอีกพี่ชายจะไปหาแล้วจับเธอยัดเข้าผ้าห่ม”
วิดีโอคอลถูกตัดสายทิ้ง
ไม่ให้เวลาเขาได้ร่ำลาอะไรทั้งนั้น
ฟู่อวิ๋นเซินมองหน้าจอที่มืดสนิท ขมวดคิ้ว มุมปากถูกยกขึ้น ดวงตาเจือไปด้วยรอยยิ้ม
ยังคงเป็นเด็กน้อยที่ไร้เยื่อใยสินะ
…
วันต่อมา
โรงเรียนมัธยมชิงจื้อ
ห้องผู้อำนวยการโรงเรียน
ผู้อำนวยการกำลังตรวจดูเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้ภายในโรงเรียน
ในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการ เขาต้องรู้จักนักเรียนทุกคน ไม่ใช่แค่ฟังคำบอกเล่าจากอาจารย์ที่ปรึกษาหรืออาจารย์ทั่วไป
ประตูถูกเปิดออกในเวลานี้
คนที่เดินเข้ามาคือเฮ่อสวิน
เฮ่อสวินพยักหน้าด้วยความนอบน้อม “ผู้อำนวยการ”
“อาจารย์เฮ่อมาแล้วเหรอครับ” ผู้อำนวยการดันแว่นตา “นั่งสิครับ”
เฮ่อสวินนั่งลง
“ตอนนี้เป็นช่วงต้นเดือนเมษา” ผู้อำนวยการพลิกปฏิทิน “การสอบสัมภาษณ์ครั้งแรกของมหาวิทยาลัยนอร์ตันคือปลายเดือนพฤษภา”
เฮ่อสวินพยักหน้า “ถูกต้องครับ”
หากอยากเข้ามหาวิทยาลัยนอร์ตันจำเป็นต้องให้ทางมหาวิทยาลัยส่งจดหมายเชิญมาด้วยตัวเอง
ถ้าไม่มีจดหมายเชิญ ต่อให้เป็นที่หนึ่งของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็เข้ามหาวิทยาลัยนอร์ตันไม่ได้อยู่ดี
แต่นี่คือสำหรับภายนอก
ส่วนภายใน มหาวิทยาลัยนอร์ตันจะมีการสอบสัมภาษณ์สามครั้ง
สิทธิ์ในการสอบสัมภาษณ์ มีเพียงศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยนอร์ตันเท่านั้นถึงจะได้โควตา
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมชิงจื้อถึงได้เชิญเฮ่อสวินมาเป็นอาจารย์
เพราะถ้ามีเฮ่อสวิน ชิงจื้อก็จะได้สิทธิ์เปิดทางสู่มหาวิทยาลัยนอร์ตัน
ต่อให้มีนักเรียนเพียงคนเดียวที่เข้ามหาวิทยาลัยนอร์ตันได้ ชิงจื้อก็จะเบียดติดอันดับโรงเรียนมัธยมชั้นแนวหน้าของโลกทันที
เฮ่อสวินมีโควตาสอบสัมภาษณ์อยู่สามสิทธิ์ในมือ
ถึงแม้จะน้อยมาก แต่ผู้อำนวยการก็พอใจมากแล้ว
“ขอผมคิดก่อนนะ แบบนี้” ผู้อำนวยการครุ่นคิดสักพักแล้วพูดขึ้น “สองสิทธิ์สัมภาษณ์เอาไว้ให้คลาสนานาชาติ อีกหนึ่งสิทธิ์ที่เหลือให้ที่หนึ่งของชั้นปี อาจารย์เฮ่อคิดว่าไงครับ”
“การตัดสินใจของผู้อำนวยการย่อมดีแล้วครับ” เฮ่อสวินไม่คัดค้าน “แต่มหาวิทยาลัยนอร์ตันไม่ได้ดูแค่ผลการเรียนครับ”
อันที่จริงเขาเองก็ไม่ทราบแน่ชัด อย่างไรซะคณะที่เขาอยู่ก็แค่ระดับดี (D)
จากที่อาจารย์ที่ปรึกษาของเขาบอก นักศึกษาของคณะระดับเอส (S) ถึงจะถือว่าเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยนอร์ตันอย่างแท้จริง
พอเขาถาม อาจารย์ที่ปรึกษาของเขาก็จะบอกว่านี่เป็นความลับ เขายังไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้
จนถึงตอนนี้เฮ่อสวินก็ยังไม่รู้ว่าต้องเก่งถึงระดับไหนถึงจะเข้าคณะระดับเอส (S) ได้
“งั้นก็ตามนี้ครับ” ผู้อำนวยการพยักหน้า “ผมจำได้ว่าอาจารย์เฮ่อสวินรู้จักคนของมหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลแห่งยุโรป”
เฮ่อสวินเข้าใจ “ผู้อำนวยการอยากให้ผมพาพวกเด็กเก่งของคลาสศิลปะไปด้วยตอนที่ไปมหาวิทยาลัยนอร์ตันเหรอครับ”
“ถูกต้องครับ” ผู้อำนวยการพูด “แต่อาจต้องพาไปด้วยอีกคน นักเรียนอิ๋งจื่อจินทำผลงานได้ดีเยี่ยมในเทศกาลศิลปะครั้งนี้ ผมว่าเอาเธอไปลองดูได้ครับ”
มหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลแห่งยุโรปก็เป็นมหาวิทยาลัยชั้นแนวหน้าของโลกเหมือนกัน
เขาอยากให้นักเรียนทุกคนมีอนาคตที่ดีที่สุด
เฮ่อสวินปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด น้ำเสียงเย็นชา “ขอโทษด้วยครับผู้อำนวยการ ผมคิดว่าไม่จำเป็น”
มหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลแห่งยุโรปก็จำเป็นต้องใช้คะแนนวิชาศิลปวัฒนธรรมเหมือนกัน อย่างอิ๋งจื่อจินไปแล้วจะทำอะไรได้