ปีนี้ลู่จื่ออายุยี่สิบหกปี เรียนแพทย์แผนจีนมาแล้วแปดปี อีกทั้งยังจบจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนตี้ตู
ย่อมมีความยโสอยู่บ้าง
อีกทั้งเธอสนิทกับอิ๋งลู่เวยมาก จึงพลอยไม่ชอบหน้าอิ๋งจื่อจินมาตลอด
โดยเฉพาะเธอยังเคยซวยครั้งใหญ่ ถูกพ่อตัดเงินมานานขนาดนั้น
และที่สำคัญยิ่งกว่าคือ เพราะการขึ้นศาลครั้งนั้น ตระกูลอู๋จึงถูกปิดบริษัทตรวจสอบ ทำให้อาจารย์ที่ปรึกษาของเธอก็วุ่นวายไปด้วยอยู่ไม่น้อย
และก็โชคดีที่ตระกูลอู๋ยังห่างชั้นกับตระกูลมู่อยู่มาก ตระกูลใหญ่ส่วนใหญ่ไม่อยากล่วงเกินพวกหมอ สุดท้ายถึงไม่มีเรื่องใหญ่โตเกิดขึ้น
แต่ถึงจะเป็นแบบนี้ งานของเธอที่ตี้ตูก็พลอยเสียไปด้วย จำต้องมาหาเอาที่ฮู่เฉิง
แต่โรงพยาบาลใหญ่ๆ อย่างโรงพยาบาลอันดับหนึ่งไม่มีทางรับแพทย์แผนจีนอายุน้อยแบบเธอแน่นอน
ลู่จื่อจนปัญญา ทำได้เพียงลองสมัครโรงพยาบาลอื่น
ได้ยินพวกหมอของโรงพยาบาลอันดับหนึ่งบอกว่าช่วงนี้โรงพยาบาลเซ่าเหรินต้องการบุคลากรจำนวนมาก เธอจึงมาสมัคร
นึกไม่ถึงว่าจะมาเจอลูกเลี้ยงของตระกูลอิ๋งที่นี่
พอเห็นอิ๋งจื่อจิน ความโกรธที่มีอยู่เต็มอกของลู่จื่อก็พลุ่งพล่าน “เธอเคยเรียนวิชาการแพทย์จีนกับทฤษฎีพื้นฐานแพทย์แผนจีนหรือเปล่า รู้หรือเปล่าว่าจะแยกสมุนไพรมีพิษยังไง และอะไรคือ ‘ดูฟังถามสัมผัส[1]’”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงประชด “ฉันได้ยินลู่เวยบอกว่า ผลการเรียนของเธออยู่ปลายแถวในชิงจื้อ คณิตศาสตร์กับภาษาอังกฤษไม่ได้เรื่อง ยังคิดจะเรียนหมออีกเหรอ”
ใช่ว่าใครก็สามารถเรียนหมอได้
เรียนเก่งก็ยังยากเสียยิ่งกว่ายาก แล้วเรียนแพทย์ในมหาวิทยาลัยก็ต้องเรียนถึงห้าปี
ลู่จื่อไม่ได้ปิดบังน้ำเสียงของตัวเองแม้แต่น้อย ดึงดูดความสนใจของผู้สมัครคนอื่นๆ ให้มองมา
สายตามีความแปลกใจ รวมถึงมองอย่างสำรวจ
อิ๋งจื่อจินเงยหน้าขึ้น ราวกับเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีลู่จื่อยืนอยู่ตรงนี้
เธอเอียงหน้าเล็กน้อย สายตาเรียบเฉย
ราวกับมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ลู่จื่อหยุดชะงัก
ในช่วงเวลาไม่กี่วินาทีที่เธออึ้งไปนี้ อิ๋งจื่อจินได้เดินออกไปแล้ว ไม่แม้แต่จะสนใจเธอ
ลู่จื่อเหวอกลางอากาศ โมโหแทบตาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงนั่งหน้าเขียวอยู่ตรงนั้น
ผู้สมัครหลายคนรู้สึกแค่ว่าลู่จื่อดูแปลกพิกล พากันกระซิบกระซาบ
โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ตอนที่อิ๋งจื่อจินเงยหน้าขึ้น หน้าสดของเธอทำให้พวกเขาตะลึงมาก
สาวน้อยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ผู้สมัครหลายคนอายุอานามก็ปาไปสามสิบสี่สิบแล้ว แถมยังมีลูกอยู่ที่บ้าน ความประทับใจยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ
“ผู้หญิงคนนี้ป่วยหรือเปล่า สาวน้อยคนนั้นอยู่เฉยๆ นี่ก็ไปพูดจาแย่ๆ ใส่เขา”
“เรียนแย่ก็พูดได้แค่ว่าไม่ถนัดเรียน ตอนเรียนฉันก็ไม่เก่งคณิตกับอังกฤษ ก็จบหมอมาแล้วไม่ใช่หรือไง”
“ฉันล่ะนับถือจริงๆ หวังว่าคงไม่ถูกรับไว้นะ หรือฉันอาจตกสัมภาษณ์ ฉันไม่อยากทำงานร่วมกับคนแบบนี้เลยจริงๆ นะ”
“เฮ้อ นั่นสิ…”
ลู่จื่อได้ฟังก็แสยะยิ้ม “เกี่ยวอะไรกับพวกคุณ ด่าคนอื่นลับหลังให้มันน้อยๆ หน่อย”
“งั้นทางที่ดีพวกคุณก็อย่าถูกรับไว้แล้วกัน ไม่อย่างนั้นต้องมาเห็นฉันทุกวันไม่อกแตกตายเลยเหรอ”
เธอมีใบปริญญาที่จบจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนตี้ตู แค่ประวัติการเรียนก็นำไปแล้วหนึ่งแต้ม
โรงพยาบาลเซ่าเหรินขาดคนขนาดนี้ ถ้าไม่รับเธอแล้วจะรับใคร
ลู่จื่อทำเสียงหึ หยิบกระเป๋าเครื่องสำอางออกมาจากในกระเป๋าแล้วเริ่มเติมหน้า
…
ที่ด้านนอกโรงพยาบาล
ฟู่อวิ๋นเซินยังคงอยู่ในรถ พอเห็นอิ๋งจื่อจินเดินลงมาจากบันไดจึงเปิดประตูฝั่งข้างคนขับให้
อิ๋งจื่อจินขึ้นมานั่ง รัดเข็มขัดเรียบร้อย “ฉันต้องสัมภาษณ์ผู้สมัครตอนหนึ่งทุ่ม”
“ผู้เฒ่ามู่ควรขอบคุณเธอนะ” ฟู่อวิ๋นเซินได้ฟังก็เงยหน้าขึ้น “เขาโยนงานเละเทะมาให้เธอ ก็ไม่รู้ว่าใจกว้างจริงหรือเปล่า”
ผู้เฒ่ามู่มีกิจการในมือจำนวนมาก โรงพยาบาลเซ่าเหรินเป็นเพียงหนึ่งในกิจการที่ไม่โดดเด่นอะไร
เรื่องที่มู่เฮ่อชิงเลือกที่จะยกโรงพยาบาลเซ่าเหรินให้อิ๋งจื่อจิน แท้จริงแล้วก็คิดอยู่นาน
เพราะเขาเองก็รู้ว่าหากเขาให้อย่างอื่น อิ๋งจื่อจินคงไม่มีทางรับไว้
แต่อูฐที่ผอมตายยังตัวใหญ่กว่าม้า ต่อให้โรงพยาบาลเซ่าเหรินยังคงเป็นแบบเมื่อก่อน รายรับและเงินหมุนเวียนก็ยังมากกว่าโรงพยาบาลเล็กๆ อยู่ดี
อิ๋งจื่อจินไม่แคร์เท่าไร “ทำเงินได้”
พอได้ยินแบบนี้ฟู่อวิ๋นเซินก็เงียบไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มออกมา “เยาเยา เธอน่ะยังไม่บรรลุนิติภาวะ ไม่ต้องคิดเรื่องเงินให้มาก ถ้าร้อนเงินก็ขอพี่ชายได้เลย”
เอาแค่ยาไม่กี่ขวดนั้นที่เธอให้เขามาก็ราคาเกินล้านแล้ว
แต่เธอกลับปฏิเสธบัตรที่เขาให้
“อ่อ…” อิ๋งจื่อจินดื่มน้ำแล้วค่อยๆ พูดขึ้น “ไม่เอา”
“ทำไมล่ะ” ฟู่อวิ๋นเซินเอานิ้วเคาะพวงมาลัยรถ “บอกแล้วว่าไม่ต้องเกรงใจ”
อิ๋งจื่อจินมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หาเงินใช้เองรู้สึกประสบความสำเร็จ ของคุณมันไม่น่าสนใจ”
“…”
มือข้างหนึ่งของฟู่อวิ๋นเซินจับหน้าผาก รู้สึกจนปัญญา
เด็กน้อยมองการหาเงินเป็นเรื่องสนุก เห็นทีถ้าเขาไปรบกวนจะกลายเป็นล่วงเกินแล้วสินะ
รถมาเซราติเคลื่อนตัวไปยังห้างที่อยู่ใกล้โรงพยาบาลเซ่าเหรินที่สุด
ชั้นบนสุดมีร้านหม้อไฟเก่าแก่ เป็นของเชฟที่มาจากทางเสฉวนฉงชิ่ง รสชาติต้นตำรับ
ใช้เป็นหม้อเล็กคนละหม้อ สะอาดสะอ้านใช้ได้
ครั้งนี้อิ๋งจื่อจินประสบความสำเร็จในการสั่งซุปน้ำมันแดง
ฟู่อวิ๋นเซินไม่กินเผ็ด จึงสั่งซุปน้ำใสให้ตัวเอง
เวลานี้เป็นเวลากินข้าว ภายในร้านหม้อไฟมีคนอยู่เป็นจำนวนมาก
ทั้งสองคนหน้าตาดี บุคลิกโดดเด่น แม้จะเป็นขณะกำลังกินหม้อไฟก็เหมือนผู้ดียุโรปสมัยยุคกลาง
กิริยาท่าทางสง่างาม
ย่อมมีหลายคนที่สังเกตเห็น สายตาส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความตะลึง
ยกเว้นคนที่เพิ่งเข้ามาในร้านหม้อไฟจากด้านนอก
เขาดูรู้จักฟู่อวิ๋นเซินอย่างเห็นได้ชัด เขาเดินเข้ามาในร้านก็เพราะว่าเห็นฟู่อวิ๋นเซินอยู่ด้านใน
“โอ๊ะ ดูสิ ฉันเจอใคร” คนคนนั้นดูเหมือนจะรังเกียจกลิ่นในร้านหม้อไฟ เขาเอามือปิดจมูก พูดด้วยน้ำเสียงดูถูกอย่างรุนแรง “นี่มันคุณชายเสเพลอันดับหนึ่งแห่งฮู่เฉิงไม่ใช่เหรอ คุณชายเจ็ดตระกูลฟู่ ฟู่อวิ๋นเซิน”
อิ๋งจื่อจินวางตะเกียบลง ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
แค่มองแวบเดียวก็รู้ข้อมูลทั้งหมดของคนคนนี้
ฟู่อีเฉิน
ลูกชายคนรองของฟู่หมิงเฉิง ซึ่งก็คือคุณชายรองของตระกูลฟู่
ปีนี้อายุยี่สิบเจ็ดปี อายุมากแล้วแต่ยังไม่ได้แต่งงาน
ตอนนี้เป็นผู้จัดการใหญ่ของสาขาย่อยในเครือฟู่ซื่อกรุ๊ป แต่กลับไม่มีอำนาจที่แท้จริงในมือ ทุกปีอาศัยส่วนแบ่งโบนัสของฟู่ซื่อกรุ๊ปในการใช้ชีวิต
ความสนใจของฟู่อีเฉินอยู่แค่ที่ฟู่อวิ๋นเซิน เขาพูดประชดใส่ว่า “ทำไม คุณปู่ไม่ให้เงินนายเลยตกต่ำถึงขั้นต้องมากินหม้อไฟเลยเหรอ”
ฟู่อวิ๋นเซินสีหน้าเรียบเฉย ทำเหมือนไม่ได้ยิน
เขาหันหน้าไปแกะกุ้งให้อิ๋งจื่อจิน
นิ้วเรียวยาวเอาเส้นหลังกุ้งออกแล้วถึงวางลงไปในชาม
อิ๋งจื่อจินก็ไม่ได้มองฟู่อีเฉินอีก แต่มือขวาของเธอกดตะเกียบไว้
พลั่ก ตะเกียบถูกแรงดีด ถ้วยน้ำจิ้มที่อยู่เหนือกว่าลอยขึ้นไปกระแทกหน้าผากฟู่อีเฉินแล้วหกรดเขาทันที
“ไอ้XXX!”
ฟู่อีเฉินนึกไม่ถึง หลบไม่ทัน ไม่เพียงแต่หน้าผากจะถูกถ้วยน้ำจิ้มกระแทกใส่ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยน้ำมันกับพริก
เสื้อผ้าที่ใส่ก็พลอยรับเคราะห์ไปด้วย
มือของฟู่อวิ๋นเซินชะงัก ดวงตาดอกท้อเหลือบขึ้น
ตะเกียบยังอยู่ในมืออิ๋งจื่อจิน ไม่ขยับแม้แต่น้อย ราวกับถ้วยน้ำจิ้มบินออกไปเองเสียอย่างนั้น
อย่างน้อยในสายตาของพนักงานที่อยู่ข้างๆ ก็คิดแบบนั้น
“เยาเยา ต่อไปเจอเขาให้เลี่ยง” ทันใดนั้นฟู่อวิ๋นเซินก็ยิ้มออกมา “กลัวมือเธอเจ็บ”
“อืม” อิ๋งจื่อจินหยิบถ้วยใบใหม่ “น่าเกลียดเกิน”
ฟู่อีเฉินหน้าเขียว “พนักงาน พนักงานล่ะ ดูร้านของพวกคุณซิ มันเรื่องอะไรกัน!”
พนักงานที่อยู่ข้างๆ เองก็งง แต่ก็ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว “ขอโทษด้วยค่ะคุณผู้ชาย คุณไม่ได้มากินอาหารที่นี่ แถมยังมา…”
หาเรื่อง แต่คำนี้ไม่ได้พูดออกมา
รอบตัวเกิดเสียงหัวเราะ
“ไป! ไสหัวไปให้หมด!” ฟู่อีเฉินโมโหแทบตาย เขาถอดเสื้อตัวนอกออกมาเช็ดหน้า
โยนลงถังขยะแล้วเดินกระฟัดกระเฟียดออกไป
ฟู่อวิ๋นเซินมองเด็กสาวที่กำลังกินเนื้ออยู่ สายตาจับจ้อง
จากนั้นดวงตาดอกท้อก็โค้งมน เรียกเธอด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
“เยาเยา”
อิ๋งจื่อจินเงยหน้า “หืม?”
“ลืมขอบคุณเธอน่ะ” เขาหยิบลูกอมออกมาหนึ่งเม็ดวางใส่มือเธอ ท่าทางอ่อนโยน “ขอบคุณที่ช่วยพี่ชาย”
…
เวลาหนึ่งทุ่ม
การสัมภาษณ์ของโรงพยาบาลเซ่าเหรินยังคงดำเนินไป
ลู่จื่อหยิบได้ลำดับที่หนึ่ง เธอมองผู้เข้าสัมภาษณ์คนอื่นด้วยท่าทางเชิดหยิ่งแล้วเดินเข้าไป
ตราบใดที่เธอแสดงความสามารถไปตามปกติ คนอื่นๆ ก็คงหมดโอกาสแล้ว
ภายในห้องสัมภาษณ์มีกรรมการสัมภาษณ์สามคนคือหัวหน้าฝ่ายบุคคลกับหมอเฉพาะทางสองคน
ลู่จื่อไม่ได้แสดงความหวาดกลัว เธอพูดอย่างมั่นใจ “ฉันพร้อมแล้วค่ะ”
“คุณลู่รอสักครู่นะครับ” หัวหน้าฝ่ายบุคคลยกมือดูเวลาแล้วพูดอย่างสุภาพ “ยังมีกรรมการสัมภาษณ์อีกคนที่ยังไม่มาครับ ต้องรบกวนรออีกสักสองสามนาที คุณดื่มน้ำก่อนได้ครับ”
ลู่จื่ออึ้ง “ยังมีกรรมการสัมภาษณ์อีกคนเหรอคะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเหรอคะ”
“ไม่ใช่ครับ” หัวหน้าฝ่ายบุคคลยิ้ม ไม่ได้ปิดบัง “เป็นคุณหมอเทวดาที่ช่วยพลิกฟื้นโรงพยาบาลเซ่าเหริน ไม่ทราบว่าคุณลู่เคยได้ยินมาบ้างไหมครับ”
ลู่จื่อตกใจ “ก็คือคุณหมอเทวดาที่ช่วยชีวิตคนไข้ที่แม้แต่โรงพยาบาลอันดับหนึ่งก็ยังจนปัญญาคนนั้นเหรอคะ”
หัวหน้าฝ่ายบุคคลพยักหน้าท่าทางภูมิใจสุดๆ
ลู่จื่อย่อมเคยได้ยินมา ขนาดอาจารย์ที่ปรึกษาของเธอยังเคยตั้งใจพูดเรื่องนี้ให้ฟัง
บอกว่าหมอเทวดาคนนี้ของโรงพยาบาลเซ่าเหรินเก่งมาก ก็ไม่รู้ว่ามาจากที่ไหน
ด้วยฝีมือการรักษาของหมอเทวดาคนนี้ ถ้าไปที่ตี้ตู พวกโรงพยาบาลใหญ่ๆ คงแย่งกันรับไว้
ไม่แน่อาจเข้าตระกูลเมิ่งได้ นี่เป็นเรื่องที่หมอจำนวนไม่น้อยใฝ่ฝัน
ลู่จื่อเริ่มตื่นเต้น
ขอเพียงแต่เธอแสดงออกต่อหน้าหมอเทวดาคนนี้ให้ดี เธอจะต้องได้เข้าทำงานในโรงพยาบาลเซ่าเหรินแน่นอน
สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือ เธอจะได้เรียนการรักษาจากคุณหมอเทวดาท่านนี้
พอเป็นแบบนี้ อีกหน่อยเธอไปตี้ตูก็จะสะดวกขึ้นมาก
หนึ่งทุ่มห้านาที เสียงฝีเท้าดังขึ้น ประตูห้องสัมภาษณ์ถูกเปิดออก
ลู่จื่อยืดตัวตรง นั่งให้ดีแล้วเงยหน้าขึ้น
[1] ดูฟังถามสัมผัส ในทางแพทย์แผนจีนหมายถึงการสังเกตผู้ป่วย ฟังเสียงลมหายใจ ถามอาการ และจับชีพจร