ปลายสายเงียบไปนานแล้วถึงพูดขึ้นอย่างลังเล “พี่ เกิดเรื่องแล้ว”
“อืม” น้ำเสียงของฟู่อวิ๋นเซินเรียบเฉย “ฉันบอกให้พูด”
คำพูดนิ่งๆ แต่กลับสร้างความกดดันให้อีกฝ่ายเป็นทวีคูณ
“พี่…” คนที่อยู่ปลายสายของโทรศัพท์มือถือรุ่นโบราณเงียบไปนานอีกครั้ง “สมุนไพรที่ประกาศตามหาในเอ็นโอเคหามาได้หมดแล้ว พวกลูกน้องกำลังจะส่งไปให้พี่ แต่ว่า…”
หยุดไปเล็กน้อย พูดอย่างลำบากใจ “ตอนผ่านด่าน สมุนไพรของพวกเราถูกปล้นไป”
พอได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาของฟู่อวิ๋นเซินก็ขยับ น้ำเสียงเรียบเฉย “เข้าใจแล้ว”
ปลายสายอดอึ้งไปไม่ได้ “พี่ ไม่แปลกใจเลยเหรอ”
“ไม่แปลกใจ” ฟู่อวิ๋นเซินเสียบกุญแจรถ มือข้างหนึ่งหมุนพวงมาลัย “ดูเหมือนนายจะลืมไปนะว่า นายใช้แอคเคาท์ของใครโพสต์ประกาศ”
ปลายสายเงียบไปทันที “…”
ถึงแม้การสมัครแอคเคาท์ของเอ็นโอเคจะเป็นเรื่องง่าย แค่มีโปรแกรมล็อกอินก็ได้แล้ว
พื้นที่ปิดเป็นโซนของบรรดานักล่าจากทั่วทุกสารทิศ พวกเขาเองก็มักโพสต์อะไรไร้สาระอยู่บ่อยๆ
แต่ถ้าอยากให้พวกนักล่าเก่งๆ รับงาน ก็ต้องดูด้วยว่าเป็นไอดีของใคร
ไอดีทั่วไปพวกนักล่าไม่มีทางกดเข้าไปดู
ต่อให้เว็บบอร์ดเอ็นโอเคจะมีการปกปิดข้อมูลของผู้ใช้งานอย่างมิดชิด แต่ยังไงซะไอดีก็ไม่มีทางเปลี่ยน
โดยเฉพาะไอดีนี้ของฟู่อวิ๋นเซินที่ตอนนี้ยังถูกแขวนอยู่ในประกาศตามล่า
เงินค่าหัวพันล้านดอลลาร์ นักล่าหลายคนถึงกับตาลุกวาว
แต่อันดับบนประกาศล่าค่าหัวก็เป็นเครื่องพิสูจน์ความสามารถของคนที่ถูกตั้งค่าหัว อันดับยิ่งสูง ฝีมือก็ยิ่งดี
นักล่าจำนวนไม่น้อยก็ติดอันดับบนนั้นเช่นกัน
ค่าหัวอันดับหนึ่งที่ลึกลับที่สุดคนนั้นมีฉายาที่โดดเด่นว่า ‘เทพพยากรณ์’
ไอดีของผู้ที่ถูกตั้งค่าหัวจะถูกคาดแดงในเว็บบอร์ดเอ็นโอเค มองปราดเดียวก็รู้
สมุนไพรถูกปล้น ก็แสดงว่ามีนักล่าลงมือแล้ว
“พี่ก็รีบบอกสิ” ในที่สุดปลายสายก็พูดอีกครั้ง รู้สึกกลุ้มมาก “พวกเราควรเปลี่ยนแอคเคาท์”
“ไม่ต้อง” ฟู่อวิ๋นเซินแสยะยิ้ม “เปลี่ยนแอคเคาท์ไม่มีคนรับงานแน่นอน”
ท้องทะเลลึกกับทะเลทราย มีแค่นักล่าที่อยู่สิบอันดับแรกเท่านั้นถึงจะไป
เวลาพวกเขารับงาน นอกจากเรื่องเงินทองแล้ว ยังคำนึงถึงว่าจะนำประโยชน์มาให้พวกเขาได้หรือไม่
ไอดีทั่วไปโพสต์ประกาศ ต่อให้เงินรางวัลสูงมากก็ดึงดูดความสนใจของพวกเขาไม่ได้
“ก็จริง” ปลายสายเงียบไปอีกสักพัก “พี่ วางใจได้ พวกน้องๆ ไล่ตามไปจนเจอแล้ว รับรองว่าจะเอาสมุนไพรส่งถึงประเทศจีนอย่างปลอดภัยแน่นอน”
อันที่จริงแม้แต่พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าฟู่อวิ๋นเซินอยู่ที่ไหนกันแน่
ทุกครั้งที่ส่งของไปก็ส่งถึงแค่ด่านของประเทศจีนที่อยู่ใกล้ยุโรปที่สุด
“ไม่ต้อง พวกนายจับตาดูไว้ให้ดีก็พอ” นิ้วของฟู่อวิ๋นเซินเคาะพวงมาลัยรถ “ฉันจะไปด้วยตัวเอง”
…
ภายในห้องทำงาน
ฟู่หมิงเฉิงยังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ คิ้วขมวดแน่น
คุณนายฟู่เคาะประตูแล้วเปิดเดินเข้ามา “หมิงเฉิง ฉันเพิ่งหั่นผลไม้เสร็จ กินหน่อยสิคะ”
ฟู่หมิงเฉิงเงยหน้า ความสนใจไม่ได้อยู่ที่จานผลไม้ “เขาไปแล้วเหรอ”
“ไปแล้วค่ะ” คุณนายฟู่ชะงักเล็กน้อย ไม่มีท่าทางแม่ผู้ใจดีของฟู่อวิ๋นเซินเวลาอยู่ต่อหน้าคนนอก สีหน้าเย็นชาลง “พอท่านผู้เฒ่าเข้านอนก็ออกไปเลยค่ะ”
“ท่านผู้เฒ่าเลอะเลือนเกินไปจริงๆ!” ฟู่หมิงเฉิงเหวี่ยงเอกสารในมือลงอย่างแรง “พวกอีเฉินไม่รู้ แต่ท่านผู้เฒ่ายังจะไม่รู้อีกเหรอ ถึงจะยกอวี้เซียงฟังให้ไป”
อวี้เซียงฟังเป็นกิจการใหญ่อันดับหนึ่งของฟู่ซื่อกรุ๊ป และยังเป็นแบรนด์น้ำหอมที่ติดสิบอันดับแรกของประเทศจีน
ถึงแม้จะยังเทียบกับแบรนด์หรูของเมืองนอกไม่ได้ แต่ก็สามารถเบียดขึ้นไปติดห้าสิบอันดับแรกกิจการที่แข็งแกร่งของประเทศได้แล้ว
ถ้ายกอวี้เซียงฟังให้ไปแบบนี้ เจียงซื่อกรุ๊ปก็เท่ากับไม่มีที่พึ่งพิงอีกแล้ว
คุณชายเสเพล ทำอะไรก็ไม่เป็น มีสิทธิ์อะไรมารับช่วงต่ออวี้เซียงฟัง
ผู้เฒ่าฟู่ทำแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่คำนึงถึงลูกหลานคนอื่นๆ
“เอาล่ะๆ หมิงเฉิง เลิกโมโหเถอะนะคะ” คุณนายฟู่นวดบ่าให้เขา พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“สุดท้ายเขาก็ไม่ได้รับไว้ไม่ใช่เหรอคะ ท่านผู้เฒ่ายังแข็งแรงอยู่ สุดท้ายก็ต้องคำนึงถึงทั้งบริษัท ไม่มีทางหุนหันพลันแล่นแบบนั้น”
“ไม่หรอก” คำพูดของฟู่หมิงเฉิงแฝงไว้ด้วยความประชดประชันอย่างรุนแรง “พอเป็นเรื่องของเขา ท่านผู้เฒ่าก็มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เหมือนตาบอด”
คุณนายฟู่ถอนหายใจ “ท่านผู้เฒ่าก็คงเพราะรู้สึกผิด”
“ชดเชยมาให้ยี่สิบปี มันมากพอแล้ว” ฟู่หมิงเฉิงแสยะยิ้ม “ไม่รู้ว่าวันๆ ท่านผู้เฒ่าคิดอะไรอยู่”
“หมิงเฉิง พูดถึงเรื่องนี้ ฉันว่าช่วงนี้ท่านผู้เฒ่าดูแปลกๆ ไป” คุณนายฟู่ขมวดคิ้ว “สามปีก่อน คุณหมอก็แจ้งแล้วว่าอาการวิกฤติ แต่ตอนนี้สุขภาพของท่านผู้เฒ่ากลับดีขึ้น”
เรื่องนี้ฟู่หมิงเฉิงกลับไม่ได้คิดมาก แต่โมโหยิ่งกว่าเดิม “คุณคิดว่าท่านผู้เฒ่าอดทนอยู่ต่อเพื่อใครล่ะ ถ้าไม่ใช่เพื่อฟู่อวิ๋นเซิน”
นิ่งไปชั่วครู่ เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “แต่ร่างกายท่านผู้เฒ่าเสื่อมโทรมมานานแล้ว อยู่ได้อีกไม่นานหรอก พวกเราต้องทำให้ท่านเบนความสนใจมาที่อี้หันตอนที่ท่านยังแข็งแรงอยู่”
คุณนายฟู่พยักหน้าแล้วออกจากห้องทำงาน
…
ตอนเที่ยงของวันต่อมา
หลังจากที่อิ๋งจื่อจินอ่านข้อความที่ฟู่อวิ๋นเซินส่งมา แววตาก็ขรึมลง
นับตั้งแต่เธอสนิทกับพวกเด็กทึ่มห้องสิบเก้า เขาก็มากินข้าวกลางวันกับเธอน้อยลงเรื่อยๆ แล้ว
ราวกับว่าขอแค่มีคนอยู่เป็นเพื่อนเธอ เขาก็วางใจแล้ว
ซิวอวี่ทาเปลือกตาให้ตัวเองพลางถาม “พ่ออิ๋ง วันนี้ยังไปโรงอาหารอีกไหม”
“ไม่ละ” อิ๋งจื่อจินถือโทรศัพท์มือถือแล้วลุกขึ้น “มีนัดแล้ว ฉันจะออกไปกินข้างนอก”
ซิวอวี่พยักหน้า ไม่ได้ถามมาก
อิ๋งจื่อจินเดินออกจากห้องเรียน
สามนาทีต่อมาเธอก็เดินออกจากประตูโรงเรียน
ครั้งนี้ฟู่อวิ๋นเซินไม่ได้ขับรถมา เขายืนพิงต้นไม้รอเธอ
แสงแดดทะลุผ่านใบไม้กระทบใบหน้าที่ชวนหลงใหลของเขา เป็นประกายสีทองอ่อนๆ ยิ่งช่วยขับให้ดูดีมากกว่าเดิม
ราวกับเทพบุตรที่ตกมาอยู่ในโลกมนุษย์
หลังจากได้ยินเสียงฝีเท้า ฟู่อวิ๋นเซินก็ยืดตัวขึ้น
เขาหันตัวมา มองเด็กสาวแล้วยิ้มให้ “เยาเยา พี่ชายเห็นประกาศบนบอร์ดของโรงเรียน จะมีดารามาบรรยายเหรอ”
“ปลายเดือน” อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “ได้ยินว่าเป็นราชาภาพยนตร์”
เธอไม่สนใจวงการบันเทิง ซิวอวี่เอามาล้างสมองเธอทั้งนั้น
อย่างเช่น ตอนนี้ดาราวัยรุ่นส่วนใหญ่อาศัยกระแส มีแค่ซังเย่าจือที่หน้าตาดี และยังมีความสามารถ เป็นดาราที่ไม่ต้องสร้างกระแสในบรรดาดาราทั้งหมด
“หืม?” ฟู่อวิ๋นเซินขมวดคิ้ว “เด็กน้อย เธอดูละครแต่ไม่ตามดาราเหรอ”
“เหนื่อยเกิน” อิ๋งจื่อจินเงียบไปชั่วครู่ “อีกอย่าง ฉันน่าจะชอบดาราหญิงสวยๆ มากกว่า”
ฟู่อวิ๋นเซินหันหน้าไปทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา “ดาราหญิงเหรอ”
“เด็กสาวหน้าตาดี ไม่มีใครไม่ชอบ”
“…”
ดูเหมือนจะมีเหตุผล แต่เหมือนเพศจะไม่ถูก
“เอาล่ะ เข้าเรื่องดีกว่า” ฟู่อวิ๋นเซินนิ่งไปเล็กน้อยแล้วยิ้มพลางพูด “เกิดเรื่องนิดหน่อย พี่ชาย จำเป็นไปต้องไปเมืองนอก น่าจะสี่ห้าวัน”
อิ๋งจื่อจินเงยหน้า
เขาก้มตัวเล็กน้อย สายตาเสมอกันกับเธอ “ดังนั้นในช่วงไม่กี่วันนี้ เด็กน้อยต้องดูแลตัวเองให้ดี อย่าฉวยโอกาสตอนที่พี่ชายไม่อยู่ ตอนกลางวันกินแค่มะเขือเทศทุกวัน”
อิ๋งจื่อจินไม่ตอบ ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ความสามารถของเธอยังไม่ฟื้นคืน ไม่เพียงแต่จะถูกจำกัดเวลาในการมองเห็นเหตุการณ์ แม้แต่ขอบเขตก็ได้รับผลกระทบไปด้วย
ภาพเหตุการณ์ที่เธอมองเห็นได้มีแค่เรื่องที่เกิดในฮู่เฉิง
ถ้าไกลกว่านี้ เธอจำเป็นต้องไปที่นั่นถึงจะสามารถมองเห็นได้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าครั้งนี้สถานที่ที่ฟู่อวิ๋นเซินไปคือเมืองนอก
ครั้งก่อนมีคนต้องการฆ่าเขาที่หน้าบ้านของเธอ
เธออยากรู้จริงๆ ว่าเขาออกไปครั้งนี้จะมีกี่คนที่รอเขาอยู่
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” ราวกับฟู่อวิ๋นเซินอ่านความคิดของเธอออก “ เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว แต่ว่านะเด็กน้อย ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”
“ตั้งใจเรียนด้วยล่ะ” เขาลูบหัวเธอ “สอบกลางภาคครั้งนี้ ถ้าผ่านสักหนึ่งวิชา พี่ชายจะพาไปหาดาราสาวหน้าตาดีที่เธอชอบถึงที่เลย”
“…”
…
แยกกับฟู่อวิ๋นเซิน พอกลับถึงห้องเรียน อิ๋งจื่อจินยังคงครุ่นคิดอยู่ว่าเธอจะตั้งใจเรียนดีไหม
แต่ว่าสอบผ่านวิชาเดียว ก็แสดงว่าเธอแค่เข้าร่วมการสอบวิชาเดียวก็พอ
ก็ได้นะ ไม่เหนื่อยดี
ผ่านวิชาเดียวได้ไปหาดาราถึงที่
งั้นเธอเรียนก็ได้
หลังจากตัดสินใจได้แล้วอิ๋งจื่อจินก็เอามือเท้าศีรษะข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างเปิดโทรศัพท์
หลังจากที่หาละครอินเทอร์เน็ตที่วันนั้นดูเจอแล้ว เธอก็กดเข้าเวยปั๋วของนางเอก
“น่าเบื่อจัง” ซิวอวี่ที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจ “ทำไมฉันต้องมานั่งฟังวิชาเรียนรวมนี่ด้วยนะ ปกติฉันไปซิ่งรถข้างนอกแล้ว”
บ่ายวันนี้เป็นวิชาเรียนรวมที่ทั้งระดับชั้นมอห้าต้องเข้าร่วม
หากว่ากันตามเหตุผล แต่ไหนแต่ไรมาห้องสิบเก้าไม่เคยเข้าร่วม ทว่าแม้แต่เจียงหรานยังมา
และที่ทรมานสุดก็คือ วิชาเรียนรวมนี้คนสอนเป็นศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยที่เข้มงวดมาก ห้ามสมาธิวอกแวกขณะเรียน
ซิวอวี่ฟังไม่เข้าใจ แถมยังอยากนอน ทำได้เพียงถ่างตาจ้องกระดานดำเขม็ง
พวกนักเรียนของคลาสเด็กอัจฉริยะก็ไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไร อย่างไรเสียวิชาเรียนรวมก็แค่นั่งฟังพอเป็นพิธี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักเรียนของคลาสทั่วไป มีหลายคนที่ก้มหน้าเล่น
“นักเรียนคนนั้น!” ทันใดนั้นชอล์กแท่งหนึ่งก็ลอยมา “เธอขึ้นมาทำโจทย์ข้อนี้!”
ซิวอวี่สะดุ้ง จากนั้นถึงได้พบว่าคนที่ศาสตราจารย์เรียกคือพ่ออิ๋งของพวกเขา
พวกนักเรียนที่อยู่ในห้องเรียนแบบขั้นบันไดต่างมองมา
ลู่ฟั่งยิ้มออกมาทันที พูดเสียดสี “อาจารย์ครับ อย่าให้เธอทำโจทย์เลยครับ เธอคงไม่รู้หรอกครับว่าหลักการปฏิกิริยาเคมีคืออะไร”
พอคำพูดนี้ออกมาก็เรียกเสียงหัวเราะยกใหญ่
“ฮ่าๆ เป็นตัวถ่วงอยู่คนเดียวในคลาสเด็กอัจฉริยะ พอไปอยู่ห้องสิบเก้าผลการเรียนก็น่าจะแย่กว่าเดิมอีกหรือเปล่า”
“อาจารย์ครับ อย่าเสียเวลาเลยครับ สอนต่อดีกว่า”
จงจือหว่านไม่ได้แสดงความคิดเห็น เธอเม้มริมฝีปาก ใบหน้ามีรอยยิ้มที่ปกปิดไม่มิด
ศาสตราจารย์โมโหยิ่งกว่าเดิม “เรียนไม่ดีแล้วยังไม่ฟังอีก ไปยืนทำโทษที่แถวหลัง”