เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะพูดอะไรดี
เฮ่อสวินเพิ่งเป็นครูมาได้ไม่นาน แต่เนื่องจากพอได้เป็นก็ได้ดูแลคลาสนานาชาติ ดังนั้นนักเรียนที่เขาเจอมาจึงมีแต่เด็กตั้งใจเรียน
ถ้าไม่ใช่เพราะอาจารย์เติ้งไปอบรมที่ยุโรปแล้วให้เขาช่วยสอนคลาสเด็กอัจฉริยะหนึ่งอาทิตย์กว่า
เขาก็ไม่เคยเจอจริงๆ ว่าจะมีเด็กนักเรียนที่ได้ใช้ทรัพยากรด้านการศึกษาที่ล้ำค่าที่สุดของชิงจื้อ แต่กลับยังคงเรียนได้แย่ขนาดนั้น ตัวเองก็ไม่ขยัน แถมเวลาเรียนก็เอาแต่นอน
ถึงแม้เด็กมีปัญหาของห้องสิบเก้าจะมีอยู่ไม่น้อย แต่เฮ่อสวินไม่เคยไปสอนแทน เด็กมีปัญหาพวกนั้นย่อมไม่ได้ทำให้เขารู้สึกได้โดยตรงแบบอิ๋งจื่อจิน
อาจารย์ฝ่ายวิชาการไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเฮ่อสวิน คำพูดของเขาดูเบาใจขึ้น
“ผู้อำนวยการครับ อย่าบอกนะว่า ช่วงนี้ห้องสิบเก้าทำตัวดีขึ้นมากแล้ว ออกมาทำกายบริหารตอนเช้ากับฟังบรรยายแล้ว ผมล่ะสงสัยว่าพวกเขาทะลุมิติมาเป็นหมู่คณะหรือเปล่า”
ช่วงนี้ผู้อำนวยการมีเรื่องให้ช็อกอยู่หลายครั้ง เขาจึงใจเย็นขึ้นมาก “คุณดูละครทะลุมิติให้น้อยๆ หน่อย ทำตัวเป็นแบบอย่างให้นักเรียน เกิดพวกนักเรียนรู้เข้า คุณจะเป็นอาจารย์ฝ่ายวิชาการต่อไปไม่ได้อีก”
อาจารย์ฝ่ายวิชาการ “…”
เขาถือจดหมายลาป่วยรีบเดินออกไป
“อาจารย์เฮ่อ กลับมาเข้าประเด็นที่เราคุยกันก่อนหน้านี้ น่าจะ…” ผู้อำนวยการพูดๆ อยู่ก็หยุดลง เริ่มขมวดคิ้ว
เขารู้ว่าเฮ่อสวินมีอคติกับอิ๋งจื่อจินมาก และก็ไม่คิดว่าเฮ่อสวินจะมาได้ยินเรื่องนี้
ถึงแม้เฮ่อสวินจะไม่มีทางเข้าไปยุ่งกับห้องสิบเก้า อิ๋งจื่อจินกับเขาก็ไม่ถือเป็นอาจารย์ลูกศิษย์กัน
แต่ผู้อำนวยการรู้สึกว่าการที่เฮ่อสวินพกอคติแบบนี้มาเป็นอาจารย์ก็ออกจะเกินไปหน่อย จำเป็นต้องคุยกันบ้าง
อีกอย่าง เขารู้สึกว่าหมู่นี้อิ๋งจื่อจินก้าวหน้าขึ้นเร็วมาก
ถึงแม้ในด้านการเรียนจะยังคงแย่อยู่ แต่พรสวรรค์ด้านศิลปะไม่อาจละเลยได้
นี่ก็ไม่แน่ว่าสอบกลางภาคเธออาจเป็นม้ามืดหรือเปล่า
ผู้อำนวยการดันแว่นตา “อาจารย์เฮ่อ คือเรื่องเป็นแบบนี้ ทางบ้านของนักเรียนอิ๋ง…”
“ผู้อำนวยการครับ” เฮ่อสวินพูดขัดจังหวะ เริ่มหงุดหงิด “พวกเราคุยธุระสำคัญกันต่อดีกว่าครับ”
เขายังต้องไปสอนคลาสนานาชาติ ว่างฟังเรื่องของเด็กเรียนแย่ที่ไหนกัน
อีกทั้งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย
…
คลาสเด็กอัจฉริยะมอห้า
จงจือหว่านถือปากกา แต่กลับแน่นิ่งไม่ขยับ
เธอเหม่อมองชุดแบบฝึกหัดที่วางอยู่บนโต๊ะ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
จงจือหว่านเป็นหัวหน้าห้อง อีกทั้งยังเป็นนางฟ้าของชิงจื้อ พอเห็นช่วงนี้เธอชอบเหม่อลอย พวกนักเรียนในคลาสเด็กอัจฉริยะจึงเป็นห่วงมาก
“จือหว่าน เธอโอเคนะ” ในฐานะที่ลู่ฟั่งเป็นผู้คลั่งไคล้ที่จงรักภักดีที่สุด ย่อมไม่มีทางปล่อยโอกาสทำคะแนนให้หลุดลอยไป “มีเรื่องอะไรก็พูดออกมา ทุกคนช่วยเธอแก้ปัญหาได้แน่นอน”
“นั่นสิ นางฟ้าจง อย่าเก็บไว้ในใจ เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะ”
มีเพื่อนนักเรียนถามต่อ “จือหว่าน เพราะเรื่องเฝ่ยชุ่ยไจหรือเปล่า เฮ้อ มีอะไรให้น่ากังวล ตอนนี้เธอเป็นนักเรียน หน้าที่ที่สำคัญที่สุดก็คือเรียน ผู้บริหารระดับสูงของจงซื่อกรุ๊ปมีกันตั้งหลายคน ไม่ถึงกับต้องให้เธอมากลุ้มใจหรอกนะ”
คำพูดนี้ไม่มีปัญหา แต่จงจือหว่านฟังแล้วกลับยิ่งรู้สึกแย่
หากเป็นเมื่อก่อน เธอย่อมรู้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ ด้วยความสามารถของเธอก็ยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องของจงซื่อกรุ๊ปไม่ได้อยู่แล้ว
แต่เพราะการปรากฏตัวของอิ๋งจื่อจิน ทำให้สถานะของเธอที่อยู่ภายในใจผู้เฒ่าจงต้องดิ่งลง
หากเป็นแค่เรื่องที่แพ้ในเทศกาลศิลปะ จงจือหว่านยังพอรับได้
เรื่องที่เธอรับไม่ได้คือผู้เฒ่าจงพาอิ๋งจื่อจินไปที่บริษัทได้ แต่กลับไม่ให้เธอแตะต้องเรื่องของบริษัทแม้แต่น้อย
มีสิทธิ์อะไร
จงจือหว่านก้มหน้า ไม่สนใจความเป็นห่วงของพวกเพื่อนๆ จิตใจสับสน
“จือหว่าน ไม่ต้องกังวลไปหรอก” นักเรียนหญิงที่อยู่ข้างๆ รู้ว่าเธอเป็นอะไร จึงพูดปลอบใจ “ไม่ว่ายังไงอิ๋งจื่อจินก็เป็นคนนอก ปู่เธอก็แค่หลงไปชั่วประเดี๋ยวประด๋าว”
“อีกอย่างนะ ปู่เธอไม่ให้เธอยุ่งเรื่องที่บริษัทก็ดีแล้ว ขนาดพวกผู้ใหญ่ยังยุ่งกันหัวหมุน แล้วจะโยนภาระให้เธอได้ยังไง”
จงจือหว่านเม้มริมฝีปาก ในที่สุดสภาพจิตใจก็ฟื้นคืนกลับมาบ้าง
“จือหว่าน เธอแค่ตั้งใจเรียนก็พอแล้ว เอาที่หนึ่งกลับไป” นักเรียนหญิงพูดต่อ “เธอยังไม่รู้ใช่ไหม เดี๋ยวก็ใกล้ถึงสอบกลางภาคปลายเดือนแล้ว วันนี้อิ๋งจื่อจินลาหยุดหนึ่งอาทิตย์”
“เดิมทีผลการเรียนของยัยนั่นก็แย่อยู่แล้ว ตอนเรียนก็ไม่ตั้งใจ ฉันว่าเดี๋ยวยัยนั่นต้องมาขอโทษเธอต่อหน้าทุกคน”
จงจือหว่านได้ฟังก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ไม่พูดอะไร
…
ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน อิ๋งจื่อจินขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ลงไปกินข้าว
ผู้เฒ่าจงมาหาหลายครั้ง แต่ก็ไม่เปิดประตูให้สักครั้ง
ก็ไม่รู้ว่าขลุกตัวทำอะไรอยู่ข้างใน หลานสาวไม่ยอมให้เขาดู
ในขณะที่ผู้เฒ่าจงกำลังกลัวว่าอิ๋งจื่อจินจะเหนื่อยจนล้มป่วย ทันใดนั้นออดบ้านตระกูลจงก็ดังขึ้น
พ่อบ้านจงเดินออกมาจากห้องครัว รีบไปเปิดประตู
พอเปิดออกก็ต้องอึ้ง “คุณชายเจ็ด?”
“สวัสดีครับคุณปู่พ่อบ้าน” ฟู่อวิ๋นเซินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นพูดทักทาย “ฉุกละหุกไปหน่อยเลยไม่ได้เอาของติดไม้ติดมือมาด้วย”
“ไม่ต้องหรอกครับ ที่บ้านมีหมดทุกอย่าง” พ่อบ้านจงเชิญเขาเข้ามาแล้วตะโกนบอก “นายท่าน คุณชายเจ็ดมาครับ”
“ออกไปๆ” ผู้เฒ่าจงได้ฟังก็อารมณ์เสีย “พูดมา นายมาแอบขโมยขนมเค้กไปให้ปู่ใช่ไหม”
ฟู่อวิ๋นเซิน “…”
เขาไม่ได้มีงานอดิเรกแบบปู่เขานะ
ก็ไม่รู้ว่าเมื่อก่อนผู้เฒ่าฟู่หน้าด้านทำลงไปได้ยังไง
แอบขโมยขนมจนสร้างเงามืดในจิตใจผู้เฒ่าจงได้
ฟู่อวิ๋นเซินมองไปทางชั้นสอง “ปู่จงครับ ผมมาดูเยาเยา”
สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ ผู้เฒ่าจงตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “เอาสิ ขึ้นไปสิ ชั้นสองห้องที่สี่ทางขวามือ”
มองตามฟู่อวิ๋นเซินที่เดินขึ้นไป ผู้เฒ่าจงทำเสียงฮึดฮัด
ขนาดเขา หลานสาวยังไม่ให้เข้าไปดู ยังจะให้ไอ้หนุ่มหน้าเหม็นนี่เข้าไปเรอะ
เดี๋ยวก็ต้องลงมาเพราะเข้าไปไม่ได้
ฟู่อวิ๋นเซินไม่รู้ว่าผู้เฒ่าจงมีความคิดแบบนี้ เขาเดินไปถึงหน้าห้องแล้วเคาะประตู “เยาเยา”
ไม่มีการตอบรับจากภายในห้อง
เขาเงี่ยหูเล็กน้อย ได้ยินเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอภายในห้อง
หลับไปแล้วอย่างเห็นได้ชัด
มือของฟู่อวิ๋นเซินจับที่ลูกบิด ออกแรงนิดหน่อย
มีเสียงดัง “คลิก” จากนั้นประตูก็แง้มออก
ภายในห้อง อิ๋งจื่อจินฟุบอยู่ที่โต๊ะ กำลังหลับอยู่
แสงแดดสาดส่องเข้ามาจากทางหน้าต่าง กระทบที่ตัวเธอ ทำให้มีประกายสีทองอ่อนๆ
ส่วนข้างตัวเธอเป็นหยกที่แกะสลักไปแล้วครึ่งหนึ่ง
ฟู่อวิ๋นเซินมองหยกแกะสลัก แววตาวูบไหวเล็กน้อย
เด็กน้อยหัวรั้นไม่เบา
ฟู่อวิ๋นเซินเดินเข้าไป ก้มตัว อุ้มอิ๋งจื่อจินขึ้นมาแล้วเอาไปส่งในห้องนอนด้านข้าง
จากนั้นก็กลับมาที่นี่อีกครั้ง
ฟู่อวิ๋นเซินมองหยกแกะสลักที่เสร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าเรื่อยเปื่อย
นิ้วเรียวยาวของเขาเอื้อมไปหยิบมีดแกะสลักบนโต๊ะขึ้นมาแล้วเริ่มลงมือ
อืม
เด็กน้อยของเขา เขาก็ต้องเอาใจหน่อย
เหนื่อยจนล้มป่วยเดี๋ยวต้องมาบำรุงใหม่อีก
…
เวลาไม่กี่วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาก็ถึงวันนัดตามสัญญาเดิมพันของจงซื่อกรุ๊ปกับดีเคกรุ๊ป
ยังคงเป็นห้องรับรองแขกที่เซ็นสัญญาห้องนั้น ครั้งนี้คนที่มาไม่ใช่แค่ยูจีนคนเดียวแล้ว ยังมีซีอีโอของดีเคกรุ๊ปด้วย
ยูจีนยืนขึ้น ยิ้มพลางพูด “ครบห้าวันแล้ว ไม่ทราบว่าจงซื่อกรุ๊ปหาโลกสิบทิศเจอหรือยังครับ พวกเราจะได้จ่ายเงินส่วนที่เหลือ”
พอได้ยินคำพูดนี้สีหน้าของพวกผู้ถือหุ้นก็แย่ลง
อย่าว่าแต่หาโลกสิบทิศเลย พวกเขาไม่มีเบาะแสแม้แต่น้อย
การยื้อเวลาห้าวันนี้ไม่สู้ไม่ยื้อดีกว่า
ผู้เฒ่าจงนั่งที่หัวโต๊ะ ไม่พูดอะไร สายตาเคร่งขรึม
พอเห็นพวกเขาทำท่าทางแบบนี้ยูจีนก็เข้าใจแล้ว “ดูท่าจงซื่อกรุ๊ปก็ยังคงทำลายความเชื่อใจของพวกเราอยู่ดี”
“น่าเสียดายนะครับที่สัญญาเดิมพันมีผล ดีเคกรุ๊ปจะรับช่วงต่อเฝ่ยชุ่ยไจ”
นับตั้งแต่วินาทีที่ได้ลงนามในสัญญาเดิมพันก็มีผลทางกฎหมายทันที
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่า มีคนจำนวนมากในเวยปั๋วที่รอมาหลายวัน อยากรู้ว่าสองบริษัทนี้ใครแพ้ใครชนะ
เมื่อสองวันก่อนมีชาวเน็ตแสดงความคิดเห็นว่า
[ถ้าจงซื่อกรุ๊ปแพ้ จะขายหน้าประเทศจีนของพวกเราจริงๆ นะ สู้บริษัทต่างชาติไม่ได้]
พอยูจีนพูดแบบนี้พวกผู้ถือหุ้นก็สีหน้าเปลี่ยน
ซีอีโอของดีเคกรุ๊ปนั่งอยู่ตรงข้ามผู้เฒ่าจง พยักหน้าพลางยิ้ม เขาเองก็ไม่พูดอะไร
ราวกับว่าชัยชนะอยู่ในกำมือ
“ก่อนหน้านี้ประธานจงบอกว่าถ้าแพ้จะขอลงจากตำแหน่ง” เวลานี้มีผู้ถือหุ้นคนหนึ่งยืนขึ้น ยิ้มพลางพูด
“อีกเดี๋ยวรบกวนประธานจงเซ็นหนังสือโอนย้ายด้วยนะครับ”
ผู้ถือหุ้นคนนี้ก็คือพวกเดียวกับจงเทียนอวิ๋น เฝ้ารอวันที่ผู้เฒ่าจงจะลงจากตำแหน่ง
ผู้ถือหุ้นวัยกลางคนโมโห “ต่อให้อาจงลงจากตำแหน่ง คุณจะพยุงจงซื่อกรุ๊ปไหวเหรอ”
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะต้องมากลุ้มใจ” ผู้ถือหุ้นอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น พูดเสียดสี “ประธานจง นี่จะโทษพวกเราไม่ได้นะครับ ใครใช้ให้ประธานจงเอาชะตาของตัวเองกับความเป็นความตายของเฝ่ยชุ่ยไจไปยกให้ลูกเลี้ยงตระกูลอิ๋งที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยล่ะครับ”
ทำตัวเองแท้ๆ
ในเมื่อผู้เฒ่าจงเลอะเลือนแล้ว งั้นก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะบริหารจงซื่อกรุ๊ปได้อีก
“อ้อจริงสิครับ ผมจำได้ว่าคนที่เซ็นสัญญาฉบับนี้คือหลานสาวของประธานจงใช่ไหมครับ” ยูจีนแสร้งทำเป็นมองเหมือนไม่ตั้งใจ “ยังไงครับ เธอเป็นคนเซ็นสัญญา แต่ตัวเองกลับไม่มาอย่างนั้นเหรอครับ”
เด็กเกินไปจริงๆ นั่นแหละ ไม่รู้หนักเบา ทำตัวอวดดี
ยังทำมาพูดว่าจะเอาออเดอร์ใหญ่สามร้อยล้านดอลล่าร์ของดีเคกรุ๊ป ตอนนี้กลับกลัวจนไม่กล้ามา
ยูจีนส่ายหน้า ทำเหมือนเสียดาย “น่าเสียดายนะครับ ถ้าเธอไม่มี…”
“ปัง!”
ประตูถูกถีบเปิด