พอได้ยินแบบนี้ อิ๋งจื่อจินก็เปิดตาขึ้นเล็กน้อย สองตาอยู่ในสภาพเปิดกึ่งหนึ่ง
ในขณะที่กึ่งหลับกึ่งตื่นก็ไม่ได้สนใจความงดงามตรงหน้า
ดูเหมือนเธอจะตั้งใจพิจารณาถึงความเป็นไปได้ของคำพูดนี้ของเขา จากนั้นก็รู้สึกว่างั้นเธอไม่ขยับดีกว่า
ครั้นแล้วอิ๋งจื่อจินจึงฝืนทำมือยื่นออกไป
น้ำเสียงงัวเงียพูดแบบขอไปที โทนเสียงไม่เปลี่ยน ราวกับพูดว่าวันนี้สภาพอากาศเป็นอย่างไร
“อือ งั้นก็อุ้มสิ”
“…”
สีหน้าของฟู่อวิ๋นเซินชะงัก ค่อยๆ ก้มหน้าลง
คำตอบนี้เขานึกไม่ถึง
หากว่ากันตามเหตุผล เขาพูดออกไปแบบนี้ เด็กน้อยจะต้องรีบลุกพรวดขึ้นมาแน่นอน จากนั้นก็ขึ้นไปนอนต่อข้างบน
อย่างไรเสียเขาก็แค่ล้อเล่น
ถึงแม้เด็กสาวตรงหน้าจะเป็นเด็กน้อยในสายตาของเขา แต่ก็ใกล้เป็นผู้ใหญ่แล้ว ชายหญิงควรรักษาระยะห่าง
แต่ใครจะรู้ว่าเธอเลือกตอบตกลงเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเดิน
อืม ก็มีความเป็นไปได้ว่าเด็กน้อยไม่เห็นเขาเป็นผู้ชาย
ก็เลยวางใจให้เขาอุ้ม
ฟู่อวิ๋นเซินมองเด็กสาวที่นอนขดตัวอยู่บนเบาะข้างคนขับ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกทั้งขำทั้งโมโห
“เยาเยา อย่าดื้อ” เขาก้มตัวดึงเธอ “ลุกขึ้น ขึ้นไปนอน เดินแค่ไม่กี่ก้าว จะนอนในรถได้ยังไง”
“ฉันว่าก็ดีออก”
“…”
การสื่อสารล้มเหลวอีกครั้ง
ฟู่อวิ๋นเซินพูดเสียงเบาลง โทนเสียงผ่อนคลาย “จะนอนตรงนี้จริงเหรอ ถ้าไม่สบายจะทำยังไง”
อิ๋งจื่อจินไม่ตอบ
ทำสีหน้าประมาณว่า ‘อย่ามากวนคนจะนอน’
“…”
ได้ ครั้งนี้แม้แต่สิทธิ์ที่จะสื่อสารกันก็ยังไม่มี
ฟู่อวิ๋นเซินไม่พูดอะไรอีก เขาจำต้องก้มตัวอุ้มเด็กสาวออกมาจากรถ จากนั้นก็แบกไว้บนหลัง
เพื่อชื่อเสียงของเด็กน้อย อุ้มไม่ได้ แต่แบกยังพอไหว
ช่วยไม่ได้ เป็นเพราะเขาตามใจจนเคยตัว ก็ต้องรับกรรมไปเอง
น่าเหนื่อยจริงๆ
ยังดีที่มีเด็กน้อยแค่คนเดียว
ฟู่อวิ๋นเซินเอาแขนคล้องขาของเธอเอาไว้เพื่อไม่ให้ตก สายตามองต่ำ
ก็เบาอยู่
ไม่รู้ว่าของกินพวกนั้นที่เขาคอยป้อนเธอไปขยายเนื้อหนังส่วนไหนบ้าง
หลังจากที่ฟู่อวิ๋นเซินล็อครถเรียบร้อยก็แบกอิ๋งจื่อจินขึ้นคอนโด
ที่นี่เป็นคอนโดตึกหกชั้น เนื่องจากสร้างมานานแล้วจึงไม่มีลิฟต์
แต่อิ๋งจื่อจินซื้อแค่ชั้นสาม เพื่อให้เวินเฟิงเหมียนสะดวกขึ้นลง
ภายในอาคารเงียบสงบมาก เงียบเสียจนสามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้นอย่างสม่ำเสมอ
ฟู่อวิ๋นเซินหันหน้าไปเล็กน้อย
คางของเด็กสาววางอยู่บนบ่าของเขา ศีรษะเอียงซบมาบ้างเป็นครั้งคราว แก้มเสียดสีผ่านคอของเขา
อ่อนละมุนแบบเฉพาะของเด็กสาว
ฟู่อวิ๋นเซินละสายตาออก เขาปล่อยมือข้างหนึ่งที่ประคองตัวเธอไว้แล้วจับศีรษะของเธอตั้งตรงให้ดี
แต่สักพักหัวก็เอียงลงมาอีก
มีลมหายใจเอื่อยๆ พ่นออกมา ราวกับกลิ่นหอมอันอบอวล
แค่ไม่กี่ชั้นฟู่อวิ๋นเซินกลับรู้สึกได้อย่างถ่องแท้ว่า ลำบากยิ่งกว่าตอนเขาเดินฝ่ากระสุนในเขตไร้ผู้คนเสียอีก
โชคดีที่ขึ้นแค่สามชั้นความลำบากแบบนี้ก็สิ้นสุดลงแล้ว
ฟู่อวิ๋นเซินวางอิ๋งจื่อจินที่อยู่บนหลังลง มือข้างหนึ่งประคองเธอไม่ให้ล้มลงไป
ส่วนมืออีกข้างก็เคาะประตู
เวินทิงหลานที่มาเปิดประตูพอเห็นสภาพนี้ “…”
เขาลังเลเล็กน้อย “พี่สาวผมคือ…”
“เหนื่อยจนหลับไปน่ะ” ฟู่อวิ๋นเซินพยักหน้า “ฉันจะพาเธอไปที่ห้องนอน”
…
ถึงแม้สัญญาเดิมพันครั้งนี้จงซื่อกรุ๊ปจะเป็นฝ่ายชนะ ทั้งยังได้โลกสิบทิศกลับคืนมา แต่เรื่องยังไม่จบ
ผู้เฒ่าจงอาศัยเหตุการณ์ในครั้งนี้จัดการกวาดล้างภายในจงซื่อกรุ๊ปขั้นเด็ดขาด
ใครก็ตามที่คิดร้าย หรือแม้กระทั่งพวกผู้ถือหุ้นที่เตรียมร่วมมือกับคนนอกหวังฮุบหุ้นของจงซื่อกรุ๊ป ทุกคนจะต้องลงจากตำแหน่งไป
อันที่จริงเดิมทีไม่มีทางเร็วขนาดนี้ อย่างไรเสียปกติผู้ถือหุ้นพวกนี้ก็ปกปิดกันได้ดี
เพียงแต่ครั้งนี้ดีเคกรุ๊ปมาแบบเอาจริง พวกเขาต่างคิดว่าจงซื่อกรุ๊ปแพ้แน่นอนแล้ว ถึงได้เผยธาตุแท้ออกมา
แต่สุดท้ายนึกไม่ถึงว่า จงซื่อกรุ๊ปกลับผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้อย่างสบายๆ ถึงขนาดที่ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น
พวกผู้ถือหุ้นโกรธแค้นขั้นสุด ต่างพากันไปคุกเข่าขอร้องผู้เฒ่าจง แต่ก็ไม่ช่วยให้อะไรกลับคืนมา
หลังจากสร้างแรงสั่นสะเทือนให้จงซื่อกรุ๊ปเสร็จ ผู้เฒ่าจงก็ไปยังสถานที่ที่หน่วยอีจื้อใช้คุมขังจงเทียนอวิ๋นด้วยตัวเอง
เพิ่งเข้าไปไม่ถึงสิบวันจงเทียนอวิ๋นก็ไม่เหลือสภาพยโสอวดดีแบบเมื่อก่อนแล้ว
สีหน้าของเขาอิดโรย ดวงตาเหม่อลอย
หน่วยอีจื้อย่อมไม่ได้ดูแลเขาไม่ดี อาหารวันละสามมื้อ แถมยังมีน่องไก่กับสเต็กปลา
เพียงแต่จงเทียนอวิ๋นอึดอัดใจจนกินไม่ลง ดื่มแค่น้ำ
หลังจากที่เห็นผู้เฒ่าจงสีหน้าของจงเทียนอวิ๋นก็เปลี่ยนไป
เขายืนขึ้นด้วยความตื่นเต้น อยากพุ่งเข้าไปหา แต่ถูกเจ้าหน้าที่สองคนของหน่วยอีจื้อคุมตัวไว้อย่างแน่นหนา
ผู้เฒ่าจงมองเขา “เทียนอวิ๋น ฉันนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าแกจะร่วมมือกับดีเคกรุ๊ป”
ดีเคกรุ๊ปคิดแผนแบบนี้ออกมาได้ แสดงว่าต้องมีผู้บริหารระดับสูงของจงซื่อกรุ๊ปรู้เห็นด้วย
ผู้เฒ่าจงถามตัวเอง เขาไม่เคยดูแลจงเทียนอวิ๋นอย่างขาดตกบกพร่อง ตอนแรกสุดถึงไม่เคยสงสัยลูกชายเพียงคนเดียวของน้องชายคนรองของเขา
เรื่องมาถึงขั้นนี้จงเทียนอวิ๋นก็รู้แล้วว่าตัวเองหนีไม่พ้น เขาแสยะยิ้ม “ลุงใหญ่ เรื่องที่ลุงคาดไม่ถึงมีเยอะแยะไป ก็เหมือนตอนนั้น ลุงเคยคิดเหรอว่าจะทำให้พ่อของผมต้องตาย!”
ถ้าไม่ใช่เพราะผู้เฒ่าจง พ่อของเขาไม่มีทางตายเร็วแบบนั้น
จงซื่อกรุ๊ปในตอนนี้ อย่างน้อยๆ เขาก็ต้องได้ถือหุ้นหนึ่งในสาม
“แม่แกบอกแกแบบนั้นเรอะ” สีหน้าของผู้เฒ่าจงเรียบเฉย “งั้นแม่แกได้บอกหรือเปล่าว่า เขาเป็นคนมาแทงพ่อของแก”
“ตอนนั้นฉันอยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น ขยับตัวไม่ได้ ห้ามไม่ทัน นี่ก็เป็นความผิดของฉันเหมือนกัน”
จงเทียนอวิ๋นสีหน้าเปลี่ยนไปมาก “ลุงว่าไงนะ!”
“ฉันจะพูดอะไรมันไม่สำคัญแล้ว” เหมือนผู้เฒ่าจงจะเหนื่อยแล้ว เขาส่ายมือเบาๆ “เรื่องวันนั้น ฉันไม่อยากถือสาหาความแล้ว ยังไงซะบทลงโทษที่แกจะต้องได้รับก็มากพอแล้ว”
จงเทียนอวิ๋นแอบโยกเงินบริษัทเกือบสิบล้าน ทั้งยังเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน นี่เป็นความผิดรุนแรง
หน่วยอีจื้อย่อมเข้าไปจัดการ
ผู้เฒ่าจงไม่ได้สนใจเสียงร้องโวยวายของจงเทียนอวิ๋นอีก เขาถอนหายใจ เอามือไพล่หลังเดินจากไป
…
ณ โรงเรียนมัธยมชิงจื้อ
ห้องสิบเก้า
คาบทบทวนบทเรียนด้วยตัวเอง พวกลูกน้องมุงเล่นเกมกันอย่างสนุกสนาน
ซิวอวี่ซื้อเครื่องสำอางชิ้นใหม่จากเว็บสตาร์ วันนี้เพิ่งได้รับพัสดุ กำลังทยอยทดลองใช้ทีละชิ้น
เธอเปิดตลับอายแชโดว์พลางพูด “พ่ออิ๋ง เจอตัวคนที่ส่งรองเท้าให้เจียงหรานแล้วนะ เป็นคนของทางตี้ตู พี่ฮว่าผิงไปจัดการแล้ว ฉันแค่เล่าให้เธอฟังน่ะ”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “อืม” ไม่ได้ถามอะไรอีก
ราวกับไม่ได้สนใจตี้ตูแม้แต่น้อย
“พ่ออิ๋ง เธอคิดอะไรอยู่น่ะ” ซิวอวี่สงสัย “เห็นคิดมาตั้งครึ่งคาบแล้ว”
“ฉันกำลังคิดว่า…” อิ๋งจื่อจินตอบ “สอบกลางภาควิชาไหนดีที่เหนื่อยน้อยหน่อย”
ซิวอวี่ “?”
เดี๋ยวนะ นี่ต้องคิดด้วยเหรอ
การสอบเป็นเรื่องกล้วยๆ สำหรับพ่ออิ๋งเลยไม่ใช่เหรอ
“พ่ออิ๋งไม่สอบทั้งหมดเหรอ”
อิ๋งจื่อจินเงียบไปชั่วครู่ “ดูเหมือนจะไม่ต่างกัน”
ดูเหมือนกฎของโรงเรียนก็ไม่ได้บอกไว้ว่าตอนสอบห้ามหลับ
งั้นสอบวิชาเดียวกับเจ็ดวิชาก็เหมือนกัน
ซิวอวี่ “…”
เธอไม่เข้าใจโลกของพวกเทพ
ไม่สิ พ่ออิ๋งของพวกเขาเกินคำว่าเทพไปแล้ว
เอาแค่ระยะนี้ซิวอวี่ดูอิ๋งจื่อจินไลฟ์สด
เธอดูไม่เข้าใจหรอก แค่อ่านคอมเมนต์ ถึงได้รู้ว่าเรื่องที่อิ๋งจื่อจินพูดตอนไลฟ์ ขนาดนักศึกษามหาวิทยาลัยยังไม่เคยเรียนเลยด้วยซ้ำ ถึงขนาดที่ว่าเกินความสามารถของอาจารย์ที่ปรึกษาในมหาวิทยาลัยแล้ว
นี่ยังใช่คนเหรอ
ซิวอวี่มองอิ๋งจื่อจิน น่าอิจฉาเป็นบ้า
ถ้าพ่ออิ๋งแบ่งพรสวรรค์และไอคิวด้านการเรียนมาให้เธอสักหนึ่งในสิบได้ ไม่สิ หนึ่งในร้อย เธอก็ไม่จำเป็นต้องเห็นโจทย์คณิตศาสตร์แล้วร้องไห้
“ถ้าพ่ออิ๋งสอบหมด อันดับหนึ่งของโรงเรียนก็ต้องเปลี่ยนแล้วหรือเปล่า” ซิวอวี่ทำเสียงจึ๊ “พอถึงตอนนั้นคอยดูจงจือหว่านนะ ยังจะเนื้อหอมอยู่ไหม”
อิ๋งจื่อจินไม่สนใจเรื่องจงจือหว่าน
ขอแค่อย่ามาลอยหน้าลอยตาอยู่ตรงหน้าเธอ
“จริงสิ” ทันใดนั้นซิวอวี่ก็พูดขึ้น “พ่ออิ๋งรู้จักมหาวิทยาลัยนอร์ตันใช่ไหม โรงเรียนเราได้สิทธิ์สอบสัมภาษณ์ภายในของมหาวิทยาลัยนอร์ตันด้วย ตอนเดือนมิถุนายนจะส่งนักเรียนไปยุโรปล่ะ”
“หืม?” อิ๋งจื่อจินเงยหน้า “สิทธิ์สอบสัมภาษณ์แบ่งยังไง”
“หนึ่งสิทธิ์ให้ที่หนึ่งของระดับมอหก ส่วนที่เหลือให้คลาสนานาชาติ”
มือของอิ๋งจื่อจินชะงัก
ที่หนึ่งของระดับมอหกเป็นใครเธอไม่เคยตามข่าว
แต่นับตั้งแต่เวินทิงหลานย้ายเข้ามาอยู่ชิงจื้อ ไม่ว่าจะเป็นการสอบระดับโรงเรียน หรือการสอบระดับเมืองระดับมณฑล เขาก็ไม่เคยตกจากอันดับหนึ่ง
อีกทั้งทุกครั้งก็ทิ้งห่างอันดับสองไปมากถึงสิบห้าคะแนน
สิบห้าคะแนนดูเหมือนไม่เยอะ แต่อันดับสองก็เป็นถึงคนเก่งของคลาสเด็กอัจฉริยะ คะแนนทดลองสอบไม่เคยต่ำกว่าเจ็ดร้อยสามสิบ
ถ้าเวินทิงหลานไม่มา อันดับหนึ่งของการสอบทั้งประเทศก็ต้องเป็นของคนนั้น
ดังนั้นผลสอบของเวินทิงหลานก็ไม่ต่างอะไรกับได้คะแนนเต็ม เพียงแต่เขาเกลียดการเขียนเรียงความเป็นพิเศษ คะแนนที่ถูกหักทั้งหมดอยู่ที่ข้อสอบเขียนเรียงความ
แต่นี่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำคะแนนนำไปไกล
ถ้าอย่างนั้นสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ของมหาวิทยาลัยนอร์ตันก็ต้องเป็นของเวินทิงหลานแน่นอน
อิ๋งจื่อจินครุ่นคิด
ดูท่าเธอจะต้องไปยุโรปตอนเดือนมิถุนายนจริงๆ
เสิร์ชหาในเน็ตสถานการณ์ปัจจุบันของมหาวิทยาลัยนอร์ตันไม่เจอ อยากไปดูด้วยตัวเอง
ขณะที่อิ๋งจื่อจินกำลังคิดว่าจะเลี่ยงเจอพวกบ้าคลั่งเล่นแร่แปรธาตุยังไง ลูกน้องคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้อง
“พ่ออิ๋ง แย่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
ซิวอวี่ตกใจเสียงแหกปากตะโกนนี้จนปัดอายแชโดว์ขึ้นไปถึงบนคิ้ว “…”
เธอเงยหน้ามองลูกน้องด้วยสายตาที่ฆ่าคนได้
อิ๋งจื่อจินออกจากเว็บบอร์ดเอ็นโอเค “ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูด”