เงียบและเงียบ
อิ๋งจื่อจินมองด้านหลังกระดาษคำตอบ เงียบไปห้านาทีเต็มๆ
นักเรียนที่อยู่ข้างๆ ระแวงว่าอิ๋งจื่อจินจะลอกอยู่ตลอด พอเหลือบมองก็ต้องสังเกตเห็นแล้ว
ดูท่าอิ๋งจื่อจินจะยอมแพ้แล้ว แม้แต่ลอกยังไม่อยากลอก เริ่มนั่งเหม่อ
แล้วยังจะกล้าเดิมพันกับลู่ฟั่งอีกเหรอ
มีปัญญาแค่นี้
เขาแสยะยิ้ม สีหน้าดูถูก จากนั้นก็ก้มหน้าทำข้อสอบต่อ
ทางด้านอิ๋งจื่อจินสีหน้าเรียบเฉย วางปากกาลง
เธอจำเป็นต้องดึงความคิดเมื่อครู่กลับมา
หัวข้อเรียงความหัวข้อนี้ตั้งมาเพื่อขัดต่อการมีตัวตนของเธอ
แปดร้อยอักษร อยากฆ่าเธอชัดๆ
เธอไม่เขียนแล้ว
อิ๋งจื่อจินเงยหน้า มองนาฬิกาที่อยู่บนกระดานดำ ยังเหลือเวลาสอบอีกสองชั่วโมงกว่า พอให้นอน
เธอหยิบที่อุดหูออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วใส่เข้าไปในหู เอาหน้าซุกแขน
พฤติกรรมของเธอไม่ได้ดึงดูดความสนใจของนักเรียนคลาสเด็กอัจฉริยะ อย่างไรเสียการที่เธอนอนแบบนี้ก็ไม่แปลกสำหรับพวกเขาแล้ว
ถึงอย่างไรกติกาการสอบก็ไม่ได้ห้ามนอน อาจารย์คุมสอบไม่ได้เตือน
เมื่อก่อนคลาสอัจฉริยะมีเด็กเทพ ทุกครั้งที่สอบจะนอนก่อนหนึ่งชั่วโมง จากนั้นค่อยตื่นขึ้นมาทำข้อสอบ
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ที่หนึ่งทุกวิชา
แต่อิ๋งจื่อจินเทียบเด็กเทพคนนั้นได้เหรอ
เธอนอนก็คือการสิ้นเปลืองเวลา
ตอนเหลืออีกสามสิบนาทีจะหมดเวลาสอบ อาจารย์คุมสอบได้เดินผ่านอิ๋งจื่อจิน จึงเหลือบมองดู
ตอนที่พบว่าตรงส่วนที่ให้เขียนเรียงความอิ๋งจื่อจินไม่แม้แต่จะเขียนหัวข้อ เขาก็หยุดลง
เขาดูหัวข้อแล้ว หัวข้อเรียงความครั้งนี้ยากมากทีเดียว
มีความเป็นไปได้ว่าไม่เข้าใจแม้แต่หัวข้อ ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องเขียนออกนอกประเด็น
แต่การที่ไม่เขียนแม้แต่อักษรเดียวก็เท่ากับทิ้งโอกาส ต่อให้เขียนมาแค่ชื่อเรื่องก็ยังได้สองคะแนน
เนื่องจากกระดาษคำตอบถูกอิ๋งจื่อจินทับไว้ใต้แขน อาจารย์คุมสอบจึงไม่รู้ว่าด้านหน้าเธอทำข้อสอบได้เป็นอย่างไร
แต่เขาสังเกตได้อีกว่าบนกระดาษข้อสอบไม่มีร่องรอยการทำข้อสอบแม้แต่น้อย สะอาดเหมือนตอนเพิ่งแกะออกจากซอง
โจทย์อื่นไม่พูดถึง แต่ส่วนแรกที่เป็นการอ่านบทความก็น่าจะทำสัญลักษณ์อะไรบ้างหรือเปล่า
โจทย์ใหญ่ส่วนนี้มีแค่เก้าคะแนน แต่นักเรียนส่วนใหญ่ได้มากสุดก็สามคะแนน
อาจารย์คุมสอบถอนหายใจ ส่ายหน้าแล้วเดินจากไป
อิ๋งจื่อจินหลับไปครั้งนี้หลับยาวจนกระทั่งหมดเวลาสอบ
ตอนออกจากสนามสอบ จงจือหว่านที่อดทนมาสองชั่วโมงครึ่งในที่สุดก็พูดขึ้น “น้องจื่อจิน เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ ทำไมถึงหลับตอนสอบนานขนาดนั้น”
อิ๋งจื่อจินเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองและไม่ได้ฟังว่าจงจือหว่านพูดอะไร
เธอไม่อยากอยู่กับพวกเด็กคลาสอัจฉริยะนานเกินแม้แต่วินาทีเดียว
รอยยิ้มของจงจือหว่านชะงัก
“จือหว่าน อย่าไปทำดีกับคนแบบนี้เลย” นักเรียนหญิงที่อยู่ข้างๆ คล้องแขนจงจือหว่าน “ปล่อยยัยนั่นนอนไปเถอะ พอถึงเวลาแพ้ขึ้นมาก็ต้องขอโทษเธอต่อหน้าคนทั้งโรงเรียนไม่ใช่เหรอ เธอยังจะไปหวังดีถามทำไมอีก”
จงจือหว่านเม้มริมฝีปาก ไม่พูดอะไร “ไปเถอะ ตอนบ่ายยังต้องสอบคณิตศาสตร์อีก”
วิชาคณิตศาสตร์ต่างหากที่สำคัญมากสำหรับคลาสเด็กอัจฉริยะ
ก็ไม่รู้ว่าไปเชิญอาจารย์ที่ออกข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ของคลาสเด็กอัจฉริยะมาจากไหน แต่ละครั้งยากจนวิปริตถึงขั้นที่พวกเขาไม่อยากทำโจทย์คณิตศาสตร์อีกแล้วชีวิตนี้
สอบปลายภาคเทอมก่อนจงจือหว่านสอบวิชาคณิตศาสตร์ได้คะแนนแค่หนึ่งร้อยสิบสองคะแนน
ครั้งนี้เธอตั้งใจไปขอโจทย์เลขของมหาวิทยาลัยตี้ตูมาจากพี่ชายโดยเฉพาะ เพื่อทำคะแนนให้ดีขึ้น
จงจือหว่านมองตามหลังอิ๋งจื่อจินที่เดินออกไปแล้วยิ้ม
ข้อสอบเลขยากขนาดนั้น อิ๋งจื่อจินจะเข้าใจโจทย์ได้เหรอ
เธอนี่ก็จริงจังเกินไปจริงๆ
ตามคาด การสอบคณิตศาสตร์ตอนบ่ายสามครึ่ง อิ๋งจื่อจินก็ยังคงหลับยาวมาก
ออดหมดเวลาสอบดังขึ้น เธอหยิบปากกาสองด้ามแล้วเดินตรงออกจากห้องสอบ ไม่อยู่นานแม้แต่นาทีเดียว
พอเธอออกไปแล้ว พวกนักเรียนคลาสเด็กอัจฉริยะก็จับกลุ่มคุยขึ้นมาทันที
“น่าขำเป็นบ้า พวกเธอไม่เห็น อิ๋งจื่อจินทำข้อสอบเลขเสร็จในเวลาสามสิบนาที ฉันว่านะ ยัยนั่นคงวาดยันต์ลงบนกระดาษคำตอบมากกว่า”
“คิดว่าจะลอกเสียอีก ปรากฏว่าไม่แม้แต่จะทำโจทย์ โจทย์เลขครั้งนี้ยากขนาดไหน ฉันไม่พูดดีกว่า”
“ยากจริง สองข้อใหญ่สุดท้าย ฉันอ่านไม่เข้าใจจริงๆ ว่าต้องการให้ฉันทำอะไร ก็เลยหน้าด้านเขียนสูตรลงไปสองสามสูตร หวังว่าอาจารย์ที่ตรวจจะให้คะแนนมาบ้าง”
“จือหว่าน!” ลู่ฟั่งตะโกนแล้วเข้ามาหา “เธอว่าโจทย์เลขยากไหม”
สอบติดกันสองวิชา ทำให้จงจือหว่านอารมณ์ดีทั้งคู่ เธอจึงหันมาสนใจลู่ฟั่งบ้างแล้ว “น่าจะได้ถึงร้อยยี่สิบห้าคะแนน”
ทำข้อสอบคณิตศาสตร์ของคลาสเด็กอัจฉริยะได้คะแนนเท่านี้ก็ถือว่าสูงแล้ว
“จือหว่าน เธอจะสุดยอดเกินไปแล้ว” มีนักเรียนหญิงพูดด้วยความอิจฉา “ฐานะทางบ้านเธอดีขนาดนี้ แถมเธอยังขยัน ฉันล่ะนับถือเธอจริงๆ”
ถ้าเธอเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลเศรษฐี มีเหรอจะมุ่งมั่นด้านการเรียนได้ขนาดนี้
“ฐานะดีไม่ได้มาจากความขยันของฉัน” จงจือหว่านยิ้ม “ฉันเรียนเก่งต่างหาก คุณปู่ถึงจะมีความสุข”
“จือหว่าน หลังวันแรงงานพอคะแนนออก เธอก็เอาคะแนนของเธอกับของอิ๋งจื่อจินไปให้คุณปู่เธอดูพร้อมกันเลยสิ” นักเรียนหญิงอีกคนพูด “ถ้าไม่มีการเปรียบเทียบก็ไม่มีคนเจ็บ”
จงจือหว่านไม่พูดอะไร เริ่มเก็บของ
ยังไงซะคะแนนรวมของอิ๋งจื่อจินก็ไม่มีทางสู้เธอได้
…
ทางด้านอิ๋งจื่อจินได้ออกจากโรงเรียนไปแล้ว
ฟู่อวิ๋นเซินรู้ว่าช่วงนี้เธอเหนื่อยมาก แถมยังต้องสอบ จึงขับรถมารับเธอตลอด
เขาหันมามองเธอรัดเข็มขัดนิรภัย “สอบวันนี้เป็นไงบ้าง”
“อืม” อิ๋งจื่อจินนั่งพิงเบาะ “เหนื่อยอยู่”
ตอนที่เธอทำข้อสอบคณิตศาสตร์ยังได้แก้ไปหนึ่งรอบ
เพราะเธอเคยชินกับการใช้สูตรที่แม้แต่ในมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้เรียน ถึงได้ใช้เวลาทำโจทย์แค่สามสิบนาที
พรุ่งนี้วิชาวิทยาศาสตร์เธอต้องควบคุมตัวเองหน่อย
“งั้นวันนี้รีบนอน ไม่ต้องเล่นเน็ตแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซินขมวดคิ้ว “เยาเยา มั่นใจไหมว่าจะผ่าน”
อิ๋งจื่อจินได้ฟังสีหน้าก็ชะงักไปชั่วขณะ “มั่นใจวิชาภาษาจีน”
“ผ่านวิชาภาษาจีนก็แสดงว่าเธอก้าวหน้าเร็ว” ฟู่อวิ๋นเซินลูบหัวเธอ “พี่ชายรู้ว่าเด็กน้อยของพี่ชายถ้าจริงจังทำเรื่องอะไรแล้วต้องเก่งทั้งนั้น”
อิ๋งจื่อจินครุ่นคิด “ฉันก็จริงจังอยู่นะ”
จริงจังถึงขั้นที่เธอแสดงวิธีทำในข้อสอบเลขให้ด้วย
“เยาเยา ไม่ต้องเก็บเดิมพันนั่นมาใส่ใจ” ฟู่อวิ๋นเซินหมุนพวงมาลัยรถ
“ต่อให้ไม่ผ่านก็ยังมีพี่ชายอยู่ทั้งคน”
มือของอิ๋งจื่อจินยันศีรษะ หันหน้ามา ดวงตาหงส์เหลือบขึ้นเล็กน้อย “รับปากคุณไว้แล้ว ก็แค่เล่นๆ ดู”
ที่เธอรับคำท้าของลู่ฟั่งก็เพราะเคยตกลงกับฟู่อวิ๋นเซินไว้ก่อนแล้ว
“หืม?” ฟู่อวิ๋นเซินเสียงสูง “พี่ชายมีเสน่ห์ขนาดนั้นแล้วเหรอ”
“ไม่ใช่” อิ๋งจื่อจินเอาหลอดเจาะแก้วชานมอย่างใจเย็น “ดาราสาวสวยต่างหาก”
“…”
เอาเถอะ เด็กน้อยยังคงไร้เยื่อใยเช่นเคย
ฟู่อวิ๋นเซินยิ้ม สีหน้าเรื่อยเปื่อย “เด็กน้อย ผ่านหนึ่งวิชา ดาราสาวสวยหนึ่งคน”
อิ๋งจื่อจินเหลือบตาขึ้น เหมือนเกิดความสนใจ “ถ้าได้เต็มล่ะ”
“เต็มเหรอ” ถึงแม้ฟู่อวิ๋นเซินไม่คิดว่าเธอจะสามารถทำคะแนนได้สูงขนาดนั้น แต่ก็ตอบ “ถ้าได้เต็ม พี่ชายจะให้บริษัทสังกัดดารา”
เขาหันหน้ามาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พยายามให้เต็มที่ก็พอ อย่าเครียดมากเกินไป”
…
วันต่อมา
อิ๋งจื่อจินยังได้มาถึงห้องสอบก่อนสิบนาทีเพราะคำสัญญานั้นของฟู่อวิ๋นเซิน
นี่ทำให้พวกนักเรียนคลาสเด็กอัจฉริยะแปลกใจอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ
พวกเขาคิดว่าคะแนนภาษาจีนกับคณิตศาสตร์ของอิ๋งจื่อจินให้ตายก็ไม่น่าเกินสิบกว่าคะแนน ต่อให้เธอจริงจังทำข้อสอบวิทยาศาสตร์ก็แล้วไงล่ะ
ลู่ฟั่งดีใจมาก พยายามกลั้นยิ้ม
อีกไม่นานเขาก็สามารถทำให้อิ๋งจื่อจินขอโทษจงจือหว่านต่อหน้าคนทั้งโรงเรียนได้แล้ว
อาจารย์คุมสอบแต่ละสนามสอบมีสองคน อีกทั้งยังเปลี่ยนทุกสนาม สุ่มจับฉลาก
พอเฮ่อสวินเข้ามาก็เห็นเด็กสาวที่นั่งอยู่กลางห้องทันที เขาอดหน้านิ่วไม่ได้
เขาก็รู้เรื่องเดิมพัน
พูดได้เพียงว่าอิ๋งจื่อจินไม่รู้จักประเมินตัวเอง คิดจะเทียบผลสอบกับนักเรียนคลาสเด็กอัจฉริยะ
ผลลัพธ์ยังต้องคิดอีกเหรอ
เฮ่อสวินไม่ได้มองอะไรมาก เริ่มแจกข้อสอบพร้อมกับอาจารย์คุมสอบอีกคน
เพียงแต่ตอนที่แจกไปถึงอิ๋งจื่อจิน เขาทำอย่างรวดเร็วมาก เห็นได้ชัดว่าไม่อยากอยู่ตรงนั้นนาน
ข้อสอบวิทยาศาสตร์ให้เวลาทำแค่สองชั่วโมงครึ่ง โจทย์ยากมาก เวลาไม่เคยพอ
สัญญาณเริ่มทำข้อสอบดังขึ้น นักเรียนเริ่มทำข้อสอบ รวมทั้งจงจือหว่าน
อิ๋งจื่อจินดูข้อสอบทั้งชุดก่อนหนึ่งรอบ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีข้อไหนที่ต้องเปลืองแรงมากเธอถึงได้เริ่มลงมือ
เธอทำข้อสอบเร็วมาก ข้อสอบแบบตัวเลือกข้อละสิบวินาที
ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็ทำถึงโจทย์การทดลองทางฟิสิกส์
ขณะที่เฮ่อสวินกำลังตรวจเช็คว่านักเรียนเขียนชื่อนามสกุลกับเลขประจำตัวเรียบร้อยหรือไม่ ตอนที่เดินผ่านอิ๋งจื่อจิน เดิมทีเขาแค่อยากเหลือบดูแล้วเดินผ่านไป
แต่ตอนที่เขาเห็นเธอเหลือบมองโจทย์แวบเดียว ปากกาในมือก็เขียนภาพลงในกระดาษคำตอบ เขาก็ทนไม่ไหว
“ถ้าเขียนเรื่อยเปื่อยสู้ไม่ต้องสอบแล้ว”
ขณะพูดเฮ่อสวินก็จะดึงข้อสอบในมืออิ๋งจื่อจิน