“นายแน่ใจนะว่างเป็นแถวนี้?” ซูจือจึงถาม
พวกเขาคลาดกับอีกฝ่ายในคืนก่อน หวังเย้าจึงทําหน้าที่นําทางอยู่ด้านหน้า
“ผมทําได้แค่คาดเดาว่าพวกเขาอยู่แถวนี้เท่านั้น” หวังเย้าพูด
การตัดสินใจของเขาขึ้นอยู่กับกลิ่นในอากาศเท่านั้น มันเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของคนกลุ่มนั้นมันคือกลิ่นยาสมุนไพร คนกลุ่มนั้นทายาชนิดนี้ลงบนร่างกายของพวกเขาเพื่อหลีกเลี่ยงแมลงกัดต่อยและแมลงพิษ
“ถ้าพวกเราค้นหาร่องรอยของพวกเขาไม่พบก่อนค่ํา เราคงต้องถอนตัว”ซูจือจึงพูด
มันไม่ใช่การตัดสินใจของเขา แต่เป็นคําสั่งจากเบื้องบน
“เข้าใจครับ!”
หลังจากพักมาได้หนึ่งชั่วโมง พวกเขาก็ออกเดินทางต่อไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมงหวังเย้าก็หยุดเดินและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“มีอะไร?” ซูจือจึงถาม
“เราหยุดตามเถอะครับ” หวังเย้าพูด “ยังไงเราก็คงตามไม่ทันแล้ว”
“ทําไมล่ะ?” ซูจือจึงถาม
“ฝนก่าลังจะตกลงมาแล้ว!” หวังเย้าชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า
ยี่สิบนาทีต่อมา ฝนก็เริ่มตกลงมา สายฝนหล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่ง แต่มันก็ยังชะล้างและทําลายอย่างสิ่งด้วยเช่นกลิ่นที่หลงเหลืออยู่และรอยเท้า
หลังจากนั้นไม่นาน กลิ่นที่คงอยู่ในอากาศก็ถูกชะล้างหายไป พวกเขาสูญเสียร่องรอยสุดท้ายไปแล้วพวกเขาไม่สามารถค้นหาโดยไร้ทิศทางภายในป่าใหญ่แบบนี้จริงไหม?
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ฝนยังไม่ยอมซาลง และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่
“เราคงหาพวกเขาไม่พบ” หวังเย้าพูด
ซูจือฉิงพิจารณาอยู่พักหนึ่งและติดต่อไปหาศูนย์บัญชาการ
“ระหว่างที่รอคําตอบ พวกเราก็พักกันสักหน่อยเถอะ” เขาพูด
ถึงจะมีต้นไม้หนาทึบคอยปกป้องพวกเขาจากสายฝนแต่พวกเขาก็ยังเปียกอยู่ดีตามตัวของพวกเขาแทบไม่มีจุดไหนที่แห้งอยู่เมื่อตัวเปียกพวกเขาก็รู้สึกไม่สบายตัวแน่นอนว่ามีคนที่เป็นข้อยกเว้นอยู่ ร่างกายของหวังเย้าแห้งสนิทและสบายตัวเมื่อปล่อยพลังฉีออกมา มันก็กลายเป็นแผ่นฟิมล์บางๆที่มองไม่เห็นครอบตัวเขาและแยกเขาออกจากสายฝน
เพิ่งหวชวงเดินเข้าไปหาหวังเย้า เขาพูดว่า “ไฮ ขอโทษที่มารบกวนนะครับ”
“มีอะไรเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ทําไมเสื้อผ้าของหมอถึงไม่เปียกเลยล่ะ?” เมื่งหวูชวงถามด้วยความสงสัย
“อ่อ เสื้อผ้าของผมเป็นแบบสั่งทําพิเศษน่ะ” หวังเย้าพูดเล่น “พวกมันเป็นแบบกันน้ำ”
“อะไรนะ?” เมิ่งหวชวงหันไปมองซูจืองที่อยู่ไม่ไกล “หัวหน้า ทําไมหัวหน้าไม่ให้พวกเราใส่เสื้อผ้าแบบนี้บ้างล่ะ?”
“เขากําลังหลอกนายอยู่ต่างหาก” ซูจือฉิงพูด “เขาใส่เสื้อผ้าเหมือนอย่างของพวกเรานั่นแหละ”
“แล้วทําไมหมอถึงไม่เปียกล่ะ?” เมิ่งหรูชวงถาม
“ปลดปล่อยพลังฉออกมาภายนอกยังไงล่ะครับ” หวังเย้าพูด
“อะไรนะ? ปลดปล่อยพลังฉีและเชื่อมต่อกับฟ้าดินแบบนั้นน่ะเหรอ?” เมิ่งหวชวงถาม
“นับว่าคล้ายกับที่ผมต้องการสื่อมาก” หวังเย้าพูด
“แบบนั้นจะเป็นไปได้ยังไงกัน?” เพิ่งหรูชวงถาม
“ทําไมถึงเป็นไปไม่ได้ล่ะครับ?” หวังเย้ายิ้มถาม
“กําลังภายในเป็นเรื่องที่อยู่ในตํานานน่ะสิ” เพิ่งหรูชวงพูด
“กําลังภายในก็ไม่ได้วิเศษวิโสอย่างที่คุณคิดขนาดนั้นหรอกครับ” หวังเย้าพูด
“ฉันได้ยินมาจากอาจารย์ว่า ไม่มีใครไปถึงระดับนั้นมากว่า 50 ปีแล้ว” เพิ่งหรูชวงพูด
หวังเย้าคิด มากกว่า 50 ปี? แล้วใครกันที่เป็นคนสุดท้ายที่มาถึงระดับนี้เมื่อ 50 ปีก่อน?
“ขอโทษที ที่พวกนายคุยกันเป็นเรื่องจริงเหรอ?” ทหารนายหนึ่งถาม
“ทําไม? คุณมีคําถามเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“เรื่องอย่างในนิยายกับหนังก่าลังภายในมีอยู่จริงๆเหรอ?” ทหารนายนั้นถาม
“แล้ววัดเส้าหลินกับสานักบู๊ตึงมีอยู่รึเปล่าล่ะ?” เพิ่งหรูชวงถาม
ในตอนที่พวกเขากําลังคุยกันอยู่นั้น ก็มีข้อความจากศูนย์บัญชาการส่งมา
“เอาล่ะ ตอนนี้เราถอนกําลังได้แล้ว” ซูจือฉิงพูด
พวกเขาเข้ามาในป่าแต่กลับไม่พบเจอศัตรูที่มีชีวิตอยู่แม้แต่คนเดียวพวกเขาพบเจอเพียงร่างไร้ชีวิตเท่านั้นถึงพวกเขาจะพบเจอกับกับดักนับสิบและทหารได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยภารกิจนี้ก็นับได้ว่าเสี่ยงชีวิตแต่ก็ไม่ถึงกับอันตรายร้ายแรง
“เราจะถอนกําลังเหรอ?” เมิ่งหรูชวงถาม
“ใช่ พอเราไปถึงจุดที่กําหนดเอาไว้ เฮลิคอปเตอร์ก็จะมารับพวกเราที่นั่น”ซูจือจึงพูด
พวกเขารีบตรงไปยังจุดที่เฮลิคอปเตอร์จะลงจอด
อยู่ๆหวังเย้าก็หยุดฝีเท้าของเขา “รอเดี๋ยว”
“มีอะไร?” ซูจือจึงถาม
“มีคนอยู่ข้างหลังพวกเรา” หวังเย้าพูดโดยไม่หันกลับไปมอง
ทีมรีบหาที่ซ่อนตัวและรอคอยอยู่เงียบๆ
“นายแน่ใจนะ?” ซูจือจึงถาม
“มีกลิ่นเฉพาะลอยมาตามลมจากด้านหลังของพวกเรา?” หวังเข้าตอบ
“กลิ่นเหรอ?” ซูจือจึงอึ้ง “นายรู้ได้จากกลิ่นงั้นเหรอ?”
“ครับ” หวังเย้าพูด “ทําไมเหรอครับ?”
“นายคิดว่าเขาอยู่ห่างจากพวกเราไปเท่าไหร่?” ซูจือจึงถาม
“ประมาณ 4เมตร หรือ 30 เมตรครับ” หวังเย้าพูด “ผมไม่แน่ใจ”
“นายดมกลิ่นได้ไกลขนาดนั้นเลยเหรอ?” ซูจือฉงถาม
“ต้องขอบคุณสายลมครับ” หวังเฝ้าพูด “รอเดี๋ยวนะ ผมจะออกไปดูสักหน่อย”
ในพริบตาเดียว เขาก็หายตัวไป เมื่อซูจือจึงมองหาเขา หวังเย้าก็ไปไกลว่า 10 เมตรแล้ว
“เชี่ย เขาโคตรไว!” ถ้าซูจือจึงไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง เขาคงไม่มีทางเชื่อว่าจะมีคนที่เร็วได้ขนาดนี้
หวังเข้าไม่ได้ตรงไปตามเส้นทางที่เขาได้กลิ่น แต่เขาเดินอ้อมเป็นวงกลมและหยุดอีกฝ่ายจากทางด้านหลัง
ชายคนนั้นคิด เขาหยุด หรือฉันจะถูกจับได้?
ฝนยังคงตกอยู่ เขาหมอบตัวอยู่ใต้ลําต้นของต้นไม้ เขารู้ว่าเพื่อนร่วมทีมของเขาตายหมดแล้วแต่เขาก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทํา แน่นอนว่าไม่ใช่ทีมที่นําอยู่ด้านหน้าเขาในตอนนี้เขาเพียงต้องการตามหาคนอีกกลุ่มหนึ่งเขาจึงติดตามทีมของทหารเพื่อดูว่าคนอีกกลุ่มเป็นใครแล้วเขาก็จะสามารถกลับไปรายงานเรื่องนี้ได้
อยู่ๆเขาก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา เขาจึงเลือกถอยออกมา เขาลงจากต้นไม้และถอยกลับไปยังทางที่เขาจากมา
ฉันเจอนายแล้ว! หวังเย่าคิด
ถ้าเขาไม่ขยับก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อเขาขยับ มันจึงเกิดเสียงขึ้นแม้เสียงจะเบามากแต่มันก็ถูกใครบางคนที่ประสาทการฟังที่ยอดเยี่ยมได้ยินเข้า
ชายที่ลงมาจากต้นไม่ได้ยินเสียงบางอย่างและทําการเล็งปืนในมือเขามองไม่เห็นใครเขาหมอบตัวอยู่ในพงหญ้าคอยฟังเสียงฝีเท้า
หวังเย้าก็หยุดเดิน เขาคิด ทําไมเขาถึงหยุดเคลื่อนไหว? มันมาจากทางนั้น
เขาหมอบตัวลง แล้วหยิบหินก้อนหนึ่งจากพื้นและโยนไปทางที่เขาได้ยินเสียงก่อนหน้านี้
วูช!วช! เกิดเสียงดังผ่านอากาศ
ปัก!
เป็นเรื่องบังเอิญ ที่หินก้อนนั้นชนเข้ากับต้นไม้และกระเด้งไปโดนชายที่หมอบอยู่ในพงหญ้าเขาอดทนที่จะไม่ร้องออกมา
หวังเย้าเคลื่อนไหวในทันที
ปัง!ปัง!ปังปัง! เกิดเสียงปืนดังไม่หยุด
หวังเข้าไม่โดนยิงแม้แต่นัดเดียว
เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังของชายคนนั้นราวกับภูตผี “อยู่ตรงนี้นี่เอง!”
เขากระโดดหลบไปอีกด้านและหันกลับมายิง การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วและคล่องแคล่วมันทั้งไหลลื่นและเบาหวิวราวกับกําลังวิ่งอยู่บนก้อนเมฆและผิวน้ำแต่เขากลับไม่พบใครอยู่ที่ด้าน หลังของเขาอยู่ๆเขาก็รู้สึกปวดแปลบที่ท้องเขาปลิวออกไปชนกระแทกเข้ากับต้นไม้เขาอยากจะลุกขึ้นแต่การมองเห็นของเขากลับมืดลงและเขาก็หมดสติไป
ซูจือฉิงและทหารสองนายตามเสียงปืนมา
“น้องเขยของฉันคนนี้ทั้งหัวแข็งและชอบตามอําเภอใจจริงๆ” ซูจือฉิงพูด
ทหารนายหนึ่งชี้นิ้วออกไป “หัวหน้า เขากําลังมา!”
พวกเขามองไปทางที่เขาชี้ และเห็นหวังเย้าที่กําลังมุ่งหน้ามาหาอย่างรวดเร็วดูเหมือนว่าเขาจะแบกชายคนหนึ่งมาด้วย
ในเวลาเพียงหนึ่งลมหายใจ หวังเย้าก็มาถึงจุดที่พวกเขายืนอยู่ มีชายหมดสติอยู่ในอ้อมแขนของเขาเขาแบกชายคนนี้ง่ายดายราวกับกําลังแบกไก่ตัวหนึ่ง
“เชี่ย เขาแบกคนมาจริงๆด้วย!” ซูจือจึงประหลาดใจกับสิ่งที่เขาได้เห็น
“เราจะเอาคนคนนี้กลับไปด้วยไหม?” ทหารนายหนึ่งถาม
“รอเดี๋ยว ขอฉันดูหน้าของเขาก่อน” ซูจือจึงมองดูชายที่ยังไม่รู้สึกตัวเขามีรอยสักที่คอมันเป็นรูปงกําลังขดตัว“มันเป็นทีมต่างถิ่นพวกเขามีรอยสักแบบนี้อยู่รอยสักจะเป็นรูปงูหรือไม่ก็สัตว์มีพิษอย่างตะขาบ”
ซูจือฉิงตบไหล่หวังเย้าและพูดว่า “นายทําผลงานใหญ่ให้กับทีมแล้ว!”
ถึงแม้พวกเขาจะเคยสู้กับกองกําลังต่างถิ่นมาหลายครั้งแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่เคยจับเป็นได้เลยสักคนอีกฝ่ายโหดเหี้ยมมากเมื่อพวกเขารู้ตัวว่าอาจถูกจับพวกเขาก็จะจบชีวิตตัวเองทันที
ทีมของซูจือจึงมาถึงจุดนัดพบได้อย่างราบรื่น หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงเฮลิคอปเตอร์ดังขึ้นจากที่ไกลๆไม่นานเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและตรงมาที่พวกเขา
“ภารกิจราบรื่นไหม?” นักบินถาม
“ก็ดี” ซูจือจึงพูด
ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังและพวกเขายังพาตัวเชลยกลับมาได้ด้วยภารกิจในครั้งนี้ถือว่าจบลงอย่างราบรื่นเกินกว่าที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้มาก