“มู่เอ๋อ ให้ข้าดูดวงตาเจ้าสักหน่อย”
ยายเฒ่าซีจ้องไปที่ดวงตาเขาสักพักหนึ่ง และนางมองไม่เห็นฟู่ยื่อลัวในดวงตาของเขา นางใช้กระจกส่องดู แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของฟู่ยื่อลัว เมื่อเห็นเช่นนี้ นางก็สบายใจในที่สุดและสั่งความ “เจ้าใช้ดวงตานี้ได้ แต่อย่าใช้พลังวัตรของเจ้า ข้าจะรับมือกับสถานการณ์อันตรายทั้งหลายที่พวกเราพบเจอเอง หลังจากที่พวกเราพบกับนักบุญคนตัดไม้ เจ้าก็จะต้องใช้ใบหลิวทองคำนี้ปิดมันเอาไว้อย่างเรียบๆ ร้อยๆ”
ฉินมู่ผงกหัวและเก็บใบหลิวทองคำเอาไว้
นี่ก็ยังเป็นครั้งแรกที่เขาใช้ดวงตาที่สามตรงหว่างคิ้วเพื่อมองสำรวจโลก เขามองไปรอบๆ อย่างสงสัยใคร่รู้ โลกที่เห็นในดวงตานี้ค่อนข้างแตกต่างจากที่เขามองเห็นผ่านดวงตาธรรมดาสองดวง
เมื่อดวงตาธรรมดาของเขามองไปยังผู้ฝึกวิชาเทวะ ก็จะมองเห็นรูปลักษณ์ภายนอกของคนเหล่านั้น แต่ในทางกลับกัน ทุกอย่างกลายเป็นประหลาดพิลึกในดวงตาที่สามของเขา
เมื่อเขามองไปยังท่านยายซี นอกจากจะมองเห็นรูปลักษณ์ภายนอกของนางแล้ว เขายังเห็นสมบัติเทวะและจิตวิญญาณดั้งเดิมของนางได้อย่างชัดเจนอีกด้วย
ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดก็คือเมื่อฉินมู่มองเห็นจิตวิญญาณดั้งเดิมของท่านยายซี เขากลับรู้สึกว่ามันน่าอร่อย มันเป็นความหิวที่มาอย่างกะทันหัน–เขาอยากกินจิตวิญญาณดั้งเดิมของนาง!
เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มาจากที่ไหน แต่ท้องเขาร้องครืนๆ ด้วยความหิวโหย เขามีความปรารถนาอันน่าสะพรึงกลัวนี้ที่หมายจะคว้าจับจิตวิญญาณดั้งเดิมออกมาจากร่างของท่านยายซีและกลืนกินมันเข้าไป!
ความหิวโหยนี้ชัดเจนจริงแท้เป็นอย่างยิ่ง ทำให้เขามีความอย่างที่จะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง!
เมื่อพวกเขาอยู่ในซากเมืองไร้โอหัง เขาได้เปิดดวงตาที่สามเป็นครั้งแรก และภูติบดีก็ปรากฏตัวออกมาเพื่อฟาดจี้หยกของเขากลับเข้าไปในดวงตาที่สาม เฒ่าใบ้ เฒ่าบอดและคนอื่นๆ ก็ได้หลอมสร้างใบหลิวทองคำออกมาปิดผนึกดวงตาของเขาเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกแตกต่าง
บัดนี้เมื่อเขาเปิดดวงตาที่สาม เขาจึงเพิ่งสังเกตเห็นความแตกต่างและความพิลึกประหลาด
ดวงตานี้มันมีปัญหาหรือ หรือว่าเป็นสวรรค์หลัวฝูที่ทำให้ข้ารู้สึกประหลาดแบบนี้
เขาข่มระงับความอยากกินจิตวิญญาณดั้งเดิมของท่านยายซีเอาไว้พลางจมลงในภวังค์คิด
สวรรค์หลัวฝูไม่น่าจะเป็นสาเหตุของเรื่องนี้ สวรรค์หลัวฝูเป็นโลกของพวกมาร ต่อให้มันมีปัญหา ก็น่าจะเป็นแค่กับปราณมาร ปราณมารไม่ได้ทำให้ข้าหิวโหย ดังนั้นปัญหาก็น่าจะยังอยู่ในดวงตานี้ แปลกจริง ทำไมข้าถึงรู้สึกหิวเมื่อเปิดดวงตา
เขาพิศวงงงวย และได้ละปริศนานี้เอาไว้ก่อน เขาตามท่านยายซีเดินตรงไปยังแท่นสังเวยที่ใกล้ที่สุด
นักบุญคนตัดไม้และเทพเจ้ายี่สิบสี่ตนได้ก่อสร้างแท่นสังเวยทรงพีระมิดสูงจำนวนมากเพื่อบูชายัญสวรรค์หลัวฝู บีบให้ฟู่ยื่อลัวหยุดการรบพุ่ง และเพื่อป้องกันไม่ให้แท่นสังเวยพวกนี้ถูกทำลาย นักบุญคนตัดไม้ก็ย่อมจะคอยปกป้องแท่นสังเวยเหล่านี้ หากว่าแท่นสังเวยพวกนี้ไม่ถูกทำลาย ฟู่ยื่อลัวและพวกพ้องก็จะไม่ลงมือเข้าไปปะทะกับสวรรค์ไท่หวง
มุ่งหน้าไปยังแท่นสังเวยเพื่อตามหานักบุญคนตัดไม้จึงเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด
ฉินมู่มองไปรอบๆ ตัวเขา สิ่งที่เขาเห็นนั้นไม่ต่างอะไรกับสวรรค์หลัวฝูที่ฟู่ยื่อลัวแสดงให้เขาดู มันยิ่งอันตรายร้ายกาจกว่าด้วยซ้ำ!
ดาวเคราะห์ใหญ่หลายดวงเคลื่อนคล้อยอยู่เหนือสวรรค์หลัวฝู และพลังแม่เหล็กของดาวเคราะห์เหล่านั้นก็เข้ามาขัดจังหวะสวรรค์หลัวฝู ทำให้พื้นดินสะเทือนเลื่อนลั่นอย่างรุนแรง ความร้ายกาจของแผ่นดินไหวนั่นน่าสะพรึงกลัวถึงขนาดที่ว่าทำให้ภูเขาไฟระเบิดปะทุ ยิ่งไปกว่านั้น ความเร็วของพายุก็ยังเร็วยิ่งกว่าปกติไปหลายสิบเท่า!
ลมร้ายแรงเหล่านั้นราวกับคมมีดและดูราวกับอาวุธวิญญาณที่มีอานุภาพร้ายกาจ พวกมันเป่าผ่านทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ภูเขาไฟที่เพิ่งผุดขึ้นมาก็ถูกบดขยี้เป็นธุลีละอองจากลมเพชรหึง!
ที่สะท้านขวัญที่สุดก็ยังคงเป็นมหาสมุทร คลื่นนั้นอันโถมทะลวงสู่ท้องฟ้าเคลื่อนที่ด้วยความเร็วอันน่าสะพรึงกลัว ยิ่งไปกว่านั้น ความเร็วของคลื่นก็ยังเหนือกว่าความเร็วเสียง ทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางมัน!
แผ่นดินไหว ลมเพชรหึง คลื่น และภูเขาไฟ–ดิน น้ำ ลม และไฟ ธาตุเหล่านี้ได้ทำให้สวรรค์หลัวฝูไม่เหมาะแก่การดำรงชีวิตของชีวิตใดๆ
ผลที่ตามมาก็คือ ห้วงอวกาศเองก็ไม่เสถียร สถานที่นี้น่าสะพรึงกลัวเหลือเกิน ห้วงอวกาศแตกทำลายได้สร้างเป็นรอยแยกอันแคบและยาวระหว่างฟ้าและดิน ราวกับกระจกอันไม่มีสสารตัวตน พวกมันสะท้อนภาพทั้งใกล้และไกล
รอยแยกอวกาศเหล่านี้มีทั้งที่ยาวเหยียดจนสุดลูกหูลูกตา และทั้งที่สั้นมากๆ เพียงแค่สองสามคืบ เพราะว่าพวกมันไม่มีสสาร และพวกมันก็ปรากฏขึ้นมาแม้กระทั่งบนพื้น จึงยากที่จะสังเกตเห็น ดังนั้นทุกๆ ย่างก้าวจึงต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง
หากว่าใครพลั้งเผลอผ่านรอยแยกอวกาศนี้ไปโดยอุบัติเหตุ พวกเขาก็คงจะถูกผ่าออกเป็นสองแล่ง!
ห้วงอวกาศนี้คมกริบจนเกินไป ผู้ที่ถูกผ่าอาจจะไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายไปแล้วหลังจากที่โดนเฉือน
ฉินมู่และยายเฒ่าซีป้องกันตนเองจากคลื่นยักษ์ที่โถมซัดเข้ามา พวกเขาเห็นคลื่นมหึมาที่สูงกว่าหมื่นคืบถูกเฉือนตัดออกจากกันด้วยรอยแยกอวกาศอันน่าแตกตื่น–มันผ่าแยกคลื่นใหญ่ออกเป็นสองเสี่ยง!
ดวงดาวมากมายระยิบระยับทั้งหน้าและหลายยายเฒ่าซี ก่อขึ้นมาเป็นเขตพลังหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภา นางใช้เขตพลังนั้นเพื่อหยั่งสัมผัสอันตรายในบริเวณรอบๆ ในเวลาเดียวกันนั้น เขตพลังก็จะสามารถป้องกันภยันตรายต่างๆ แห่งสวรรค์หลัวฝูได้
ยายเฒ่าซีเป็นตัวตนระดับเขตขั้นเทวะเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าสวรรค์หลัวฝูจะอันตราย แต่มันก็ยังไม่อาจทำอะไรนางได้
ฉินมู่มองไปรอบๆ เขามองไปยังสถานที่อันน่าสะพรึงกลัวราวกับนรกแห่งนี้ มีดวงวิญญาณมากมายไร้ประมาณล่องลอยไปมารอบๆ และพวกเขาก็คือดวงวิญญาณของเหล่ามารแห่งสวรรค์หลัวฝูที่ตายจากไป เมื่อเห็นพวกเขา ฉินมู่ก็ยิ่งหิวโหยเข้าไปใหญ่ ความอยากอาหารของเขายิ่งใหญ่หลวง
เขารีบควบคุมความปรารถนาที่จะกลืนกินดวงวิญญาณพวกนี้โดยไม่รีรอ รู้สึกหวาดกลัว ดวงตานี้ทำให้ข้าได้กลายเป็นสัตว์ประหลาดแบบไหนไปแล้ว…
ในตอนนั้นเอง บนท้องทุ่งรกร้างตรงหน้าพวกเขา พวกเขาก็เห็นศพมหึมาของมารเทวะตนหนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่ท่ามกลางพายุ ไม่ว่าพายุจะดุเดือดรุนแรงมากแค่ไหน มันก็ไม่อาจทำให้ศพนี้กระดิกกระเดี้ยได้
พวกเขามายังหน้าศพนี้และเห็นว่าแม้ซากสังขารจะนอนราบอยู่กับพื้น แต่ก็ยังสูงกว่าห้าสิบวา มันมีปีกอันได้กลายเป็นโครงกระดูกไปแล้ว และกีบเท้าทั้งสี่ของเขาก็เหมือนกับกีบเท้าวัว มันเป็นสีทองสุกปลั่ง
ไม่เพียงแค่นั้น ฉินมู่ยังเห็นสมบัติเทวะที่ส่องแสงวาววามอยู่ในร่างของมารเทวะตนนี้ มันมีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว และแม้กระทั่งผืนปฐพีอยู่ในนั้น
น่าเสียดาย สมบัติเทวะเหล่านี้พังภินท์ไปแล้ว และแผ่นดินก็จมอยู่ใต้น้ำ
ฉินมู่และยายเฒ่าซีเข้าไปข้างในร่างศพจากรูในสมบัติเทวะ เมื่อพวกเขาเข้าไปข้างใน ก็เห็นว่าน้ำได้ท่วมจมแผ่นปฐพีทั้งหมดในสมบัติเทวะ แม้กระทั่งดวงตะวัน ดวงจันทร์ และดวงดาวบนท้องฟ้าก็แตกหักและกระจัดกระจายไปรอบๆ
ที่ประหลาดยิ่งกว่านั้นก็คือบนผืนปฐพียังมีบ้านเรือนมากมาย บ้านเรือนเหล่านั้นจมอยู่ใต้น้ำ
“ครั้งหนึ่งนี่เคยเป็นค่ายหลบภัยของเผ่ามาร ดูเหมือนว่ามันจะถูกทำลายล้างไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน”
ยายเฒ่าซีตกตะลึงและใคร่ครวญ “หรือว่าหลังจากภัยพิบัติในสวรรค์หลัวฝู มารเทวะบางตนยินดีที่จะพลีร่างเนื้อของตนให้สิ่งมีชีวิตมารทั้งหลายเข้ามาอาศัยในสมบัติเทวะของตน?”
ฉินมู่ใช้ดวงตาที่สามของเขามองไปรอบๆ ในสถานที่ห่างไกลออกไป เหนือดาราจักรอันแตกหัก มันมีปราสาทสวรรค์ของมารเทวะที่ปรักหักพัง
เขามองเห็นอยู่ลางๆ ว่ามีดวงวิญญาณหนึ่งอยู่ในปราสาทสวรรค์มาร มันยืนอยู่ที่นั่นอย่างเดียวดายและดูเหมือนกำลังจมจ่อมในความเศร้า
เขามีความอยากพลุ่งพล่านที่จะเหาะขึ้นไปและกินดวงวิญญาณอันเศร้าโศกนี้ แต่หัวใจลึกๆ ของเขาไม่อาจรู้สึกหิวโหย ในทางกลับกัน มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความนับถือ
มารเทวะตนนี้เหลือเพียงแค่ดวงวิญญาณ
เขาได้ปล่อยสมบัติเทวะของตนให้สหายร่วมเผ่าพันธุ์มาอาศัย เพื่อปกป้องชีวิตสหายร่วมเผ่า แต่ร่างเนื้อของเขาไม่อาจป้องกันต่อต้านภัยพิบัติได้ กายเนื้อเขาจึงตายไปด้วยเช่นกัน
สหายร่วมเผ่าทั้งหลายน่าจะได้อาศัยอยู่ในสมบัติเทวะของเขาเป็นเวลานาน แต่ในท้ายที่สุดแล้ว สมบัติเทวะของเขาก็ยังถูกบุกทำลายด้วยภัยธรรมชาติ
“เขาได้เผาผลาญจิตวิญญาณดั้งเดิมของตนจนหมดสิ้น เหลือเพียงแต่ดวงวิญญาณ แต่กระนั้น สหายร่วมเผ่าพันธุ์ก็ยังคงสิ้นสูญไปอยู่ดี ดวงวิญญาณของเขาคงจะยืนอยู่ที่นี่มาหลายร้อยปีแล้ว…”
ฉินมู่มองไปรอบๆ และดวงตาที่สามของเขาสามารถมองเห็นดวงวิญญาณเร่ร่อนมากมายได้ พวกเขาล้วนแต่คนธรรมดาเผ่ามารที่ได้ตายไปในสมบัติเทวะของเทพตนนี้ ผู้นำทางความตายไม่ได้มาที่นี่
ฉินมู่มองไปยังสมบัติเทวะเป็นตายของมารเทวะ มันได้ถูกทำลายไปด้วยมือของมารเทวะตนนี้เอง ดังนั้น นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ดวงวิญญาณของคนธรรมดาเผ่ามารถูกกักเอาไว้ที่นี่
“ทุกเผ่าพันธุ์ล้วนมีตัวตนอันชวนดลใจและน่าเศร้า”
ฉินมู่ปิดดวงตาที่หว่างคิ้วของเขา เขารู้สึกสะอิดสะเอียนต่อความคิดที่อยากจะกินดวงวิญญาณเหล่านี้
นั่นมันไม่ใช่ความคิดของเขาอย่างแน่นอน!
นั่นมันไม่ใช่จิตใต้สำนึกของเขาอย่างแน่นอน!
เขาไม่มีทางมีจิตใต้สำนึกที่ชั่วร้ายเช่นนี้!
ไม่ว่าสิ่งที่กำลังส่งอิทธิพลต่อความคิดของข้ามันจะเป็นอะไร เจ้าทำให้ข้าสะอิดสะเอียน!
ฉินมู่ลืมตาและหันกลับไป ภาษาแดนใต้พิภพออกมาจากปากของเขา และประตูน้อมสวรรค์ก็ผุดขึ้นมาตั้งตระหง่านข้างหลังเขา บานประตูเปิดอ้ากว้าง และในตอนนี้ เขาไม่ได้ร่ายนำทางวิญญาณ เขาเปลี่ยนสมบัติเทวะอื่นแทน
เขาหมายที่จะส่งดวงวิญญาณของเผ่ามารพวกนี้ไปยังแดนใต้พิภพ
ในสมบัติเทวะของมารเทวะ คลื่นของลมเย็นเฉียบพัดมาและเป่าเข้าไปในประตูน้อมสวรรค์ ลอยลิ่วไปสู่ความมืดมิด
ที่อีกฟากของประตูน้อมสวรรค์ เรือเล็กมากมายแล่นลอยมาและรับดวงวิญญาณพวกนั้นไป ไม่นานนัก ลมเย็นเยียบก็หยุดพัด และแสงตะเกียงก็ส่องมายังใบหน้าของฉินมู่
“เป็นเจ้านี่เอง คราวนี้เจ้าถึงกับไม่ได้ก่อเรื่องจริงๆ เชียวหรือ” ในประตู เสียงของผู้เฒ่านำทางความตายดังมา เขาดูจะแตกตื่น
ฉินมู่โบกมือและปิดประตูน้อมสวรรค์ “ท่านยาย ไปกันเถอะ”
ยายเฒ่าซีผงกหัวอย่างนุ่มนวลและมองไปที่เขา นางกล่าวด้วยสีหน้าอันปลื้มใจ “มู่เอ๋อโตแล้วจริงๆ”
ขณะที่พวกเขากำลังจะออกไปนั้น เสียงอันอ่อนระโหยพลันดังมาจากสถานที่ห่างไกล “ขอบคุณ…”
ฉินมู่ได้ยินมันและตกตะลึงเล็กน้อย เขาเหลียวกลับไปและเห็นดวงวิญญาณของมารเทวะนี้กำลังพังทลายและกระจัดกระจายไปในปราสาทสวรรค์มาร ปราสาทราชวังอันยิ่งใหญ่ตระการก็กำลังพังทลายลงอย่างรวดเร็ว และดวงดาวก็ดับแสงไปทีละดวงสองดวง
“มู่เอ๋อ ไม่ต้องมองดูแล้ว ดวงวิญญาณของเขาแหลกสลายไปแล้ว”
ยายเฒ่าซีจับมือของเขาและจูงออกมาจากสมบัติเทวะอย่างรวดเร็ว “เดิมทีความปรารถนาของมารเทวะตนนี้ไม่ได้รับการตอบสนอง ดังนั้นดวงวิญญาณของเขาจึงยังไม่แหลกสลาย มิเช่นนั้นดวงวิญญาณของเขาคงป่นเป็นจุณนานแล้ว เมื่อดวงวิญญาณของเขาแหลกสลาย สมบัติเทวะของเขาก็จะพังทลายไปด้วย!”
ขณะที่พวกเขารีบเร่งออกมาอยู่นั่นเอง คลื่นสะเทือนสะท้านขวัญก็ตามมาจากข้างหลัง สมบัติเทวะทั้งหลายถูกทำลายล้างในการพังพินาศและการระเบิดอันกวาดซัดไปทั่วทิศทาง!
ยายเฒ่าซีรีบนำฉินมู่หลบหนีออกไปห่างไกล คลื่นกระเพื่อมที่มาจากการระเบิดโถมซัดเข้าใส่ เขย่าพวกเขาให้กระเด็นสูงขึ้นไป!
ยายเฒ่าซีพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะแผ่ขยายเขตพลังหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภาเพื่อปกป้องฉินมู่ ในจังหวะนี้เอง ลำแสงสีดำก็พวยพุ่งออกมาจากข้างในการทำลายล้างและทะลุทะลวงเขตพลังหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภา เคลื่อนที่ไปราวกับมังกรไร้เขา!
“มู่เอ๋อช่วยเจ้าและส่งดวงวิญญาณของผู้คนของเจ้าไปยังแดนใต้พิภพ แต่เจ้าก็ยังกล้าจะทำร้ายเขา?”
ยายเฒ่าซีเดือดดาลและกำลังจะลงมือ แต่ทันใดนั้นลำแสงสีดำก็พุ่งวนไปรอบๆ ศีรษะของฉินมู่ มันแปรเปลี่ยนเป็นวงรัศมีสีดำ และใจกลางของวงรัศมีนั้น ก็มีเส้นของแสงสีแดงเข้มข้นอันก่อขึ้นมาเป็นวงกลมสีแดง ราวกับว่ามันคือดวงจันทร์สีโลหิต
ฉินมู่หันไปมองข้างหลังเขา แต่เขาไม่อาจมองเห็นดวงจันทร์มารนี้ได้
เขารีบนำกระจกออกมาส่องดูข้างหลัง เขาเห็นว่าดวงจันทร์มารลอยเลื่อนอยู่หลังศีรษะของเขาอย่างแช่มช้า ในรัศมีแสงดำนั้น มีอักขระมารจำนวนมากแปรเปลี่ยนและไหลเลื่อนไปมาตลอดเวลา
ความพิโรธของยายเฒ่าซีเปลี่ยนเป็นความยินดีและกล่าว “อย่างน้อยก็นับว่าเจ้ายังมีจิตสำนึกอยู่บ้าง มู่เอ๋อ ดวงจันทร์มารนี้แปรเปลี่ยนมาจากพลังงานที่หลงเหลืออยู่ในสมบัติเทวะของมารเทวะ เขาใช้มันเพื่อตอบแทนเจ้า ของสิ่งนี้ไม่เลวเลย มันสามารถช่วยเจ้าเพิ่มพูนวรยุทธในมรรคามารได้”
ฉินมู่พลันรู้สึกถึงการปรากฏตัวของดวงจันทร์มารนี้ พลังมารชีวาของเขาเพิ่มพูนขึ้นมาอย่างเร็วรี่ มันทำให้เขาเหมือนกับว่าจะทลายขั้นวรยุทธสู่ขั้นเจ็ดดาวในรวดเดียว!
“ท่านยาย มารเทวะนั้นน่าจะเห็นว่าข้าเป็นมนุษย์ แล้วทำไมเขาถึงยังช่วยข้า” ฉินมู่ถามด้วยความฉงน
ท่านยายซีเดินตรงไปยังแท่นสังเวยที่อยู่ในทิศไกลๆ นางโยนคำถามกลับไปให้เขา “เจ้าก็เป็นมนุษย์อยู่ชัดๆ แล้วทำไมเจ้าถึงไปช่วยดวงวิญญาณของเผ่ามาร ส่งพวกเขาไปยังแดนใต้พิภพ”
ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย
ท่านายซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามีหัวใจของทารกแรกกำเนิด และเขาก็รู้จักที่จะตอบแทนความกรุณา ในเผ่ามารเองก็มีวีรชน เช่นเดียวกัน ก็มีผู้คนที่ควรแก่การยกย่องนับถือ”