ตอนที่ 217 ไม่แต่ง
สตรีในยุคโบราณมีสถานภาพต่ำต้อย โดยเฉพาะสตรีที่มีฐานะยากจน หลังจากแต่งเข้าบ้านสามีแล้ว ส่วนใหญ่ไม่มีสิทธิ์ได้ออกความเห็นอะไร หากสามีดูแลเอาใจใส่ตน นั่นนับว่าโชคดีนัก อย่างน้อยก็มีคนผ่านร้อนผ่านหนาวไปด้วยกัน ลำบากหรือเหน็ดเหนื่อยสักเล็กน้อยย่อมไม่ใช่ปัญหา
แต่หากแต่งให้กับบุรุษที่ไม่รู้จักทะนุถนอมสตรี เช่นนั้นก็นับว่าชีวิตจบสิ้นแล้ว
สภาพการณ์ของนางในตอนนี้เป็นเพียงเด็กสาวชาวบ้านคนหนึ่ง เมื่อมีชื่อเสียเช่นนี้มาเพิ่มเติม จะหาบุรุษแต่งออกไปไม่ถือว่าเป็นการสร้างความเจ็บช้ำให้กับตนเองหรือ อีกอย่าง ร่างกายนี้ของนางยังมีอายุไม่ถึงสิบสามปีเต็ม ยังถือว่าเป็นต้นข้าวอ่อนอยู่เลย พูดเรื่องแต่งงานในตอนนี้ยังเร็วเกินไปหน่อย
หูเฟิงไม่ได้พูดอะไรอีก ทว่าใบหน้าบึ้งตึงของเขาคลายลงมากแล้ว
หลังจากฝังเข็มเสร็จสิ้น หูเฟิงก็ถามว่า “เหตุใดฝังเข็มตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ความทรงจำของข้ายังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นกลับมาเลยเล่า”
ไป๋จื่อกำลังเก็บเข็ม นางไม่มองเขาสักนิด เพียงกล่าวเสียงเรียบว่า “หากรักษาได้ง่ายดายเช่นบาดแผลภายนอกก็คงดี”
เมื่อเก็บเข็มเสร็จ นางก็เงยหน้าขึ้น แล้วหันไปมองหูเฟิง “สามปีก่อน สมองของเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส มีชีวิตอยู่ต่อได้โดยที่ไม่กลายเป็นคนโง่ก็ถือว่าเป็นโชคดีของเจ้าแล้ว เลือดคั่งในสมองของเจ้าสะสมมานานถึงสามปี แต่ไม่ได้สร้างความเจ็บปวดอื่นใดให้กับเจ้า นั่นยิ่งถือเป็นโชคดีของเจ้า การรักษาที่ข้าทำให้เจ้าในตอนนี้ เป็นการรักษาที่ปลอดภัยที่สุด เห็นผลช้า ระยะเวลานาน ทว่าข้ารับรองว่าปลอดภัยที่สุดอย่างแน่นอน”
หูเฟิงไม่ได้พูดอะไร เพียงจ้องมองนางด้วยแววตาเป็นประกาย
ไป๋จื่อกล่าวอีกว่า “เจ้าไม่รู้วิชาแพทย์ เรื่องบางเรื่องข้าพูดไปแล้วเจ้าคงไม่เข้าใจ แต่ข้าขอใช้ความรับผิดชอบของข้าบอกกับเจ้า ว่าโรคความจำเสื่อมของเจ้าจะต้องหายดีอย่างแน่นอน แต่จำเป็นต้องใช้เวลา และแท้จริงแล้วต้องใช้เวลามากน้อยเท่าใด ข้าเองก็พูดไม่ได้ ต้องดูจากสภาพการฟื้นฟูของเจ้าเอง แม้ตอนนี้เจ้าจะยังไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง ทว่านั่นไม่ได้หมายความว่าไม่มีความแตกต่างเลยจริงๆ เสียหน่อย”
เด็กสาวตรงหน้ายังมีอายุไม่ถึงสิบสามปีเต็ม ทว่าบนกายนางกลับมีความมั่นใจในตนเอง ที่แม้แต่หมอมากประสบการณ์อายุหลายสิบปีบางคนไม่มี บนใบหน้าจิ้มลิ้มนี้มีดวงตาที่เฉียบคมและทอประกาย ท่าทางของนางดูเชื่อถือได้ เจอเรื่องใดย่อมไม่หวาดหวั่น
เรื่องที่นางทำ สิ่งที่นางพูด สร้างความสุขและทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวได้เสมอ
ไป๋จื่อเห็นเขาไม่ยอมพูดจา ในใจจึงรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง “เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ หากเจ้าไม่เชื่อข้า เช่นนั้นก็ไปหา…”
“ข้าเชื่อ!”
จู่ๆ เขาก็พูดขัดจังหวะนาง ก่อนจะพยักหน้าให้นางอย่างหนักแน่น
ดวงตาสองคู่ประสานกัน ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกบางอย่างค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในมุมหนึ่งของหัวใจ ราวกับว่าเมล็ดพันธุ์หนึ่งที่ปลูกไว้นานแล้ว หลังจากงอกเงยพ้นจากดินโดยพลัน ก็เริ่มแตกหน่ออ่อนขึ้นมาแล้ว
ไป๋จื่อรีบหลบตา ก่อนจะกระแอมสองครั้ง พวงแก้มขาวละเอียดเจือสีแดงระเรื่อ “แค่ก…ข้าควรจะกลับไปแล้ว เจ้าก็พักเถอะ”
หูเฟิงมองเงาหลังของนางจากไปอย่างรีบร้อน มุมปากของเขาค่อยๆ ยกยิ้มจาง ในดวงตาสาดประกายไปทั่ว
เช้าวันต่อมา ไป๋จื่อกับหูเฟิงออกเดินทางจากหมู่บ้านตั้งแต่เช้าตรู่ บังคับรถม้าไปยังที่ว่าการอำเภอในเมืองชิงหยวน
เมิ่งหนานและองครักษ์จินออกรอพวกเขาอยู่ที่หน้าประตูเรือนเช่นครั้งก่อน ทั้งสองคนมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ราวกับว่าซูบผอมลงไปมากทีเดียว
เมื่อเห็นเงาร่างของไป๋จื่อและหูเฟิงอยู่ไกลลิบๆ องครักษ์จินก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “มาแล้วๆ” เขาวิ่งไปข้างหน้าด้วยความดีใจ ขณะเดียวกันก็เห็นไป๋จื่อถือกล่องอาหารในมือมาแต่ไกล “มาหาพวกข้าทั้งที เหตุใดต้องนำของติดไม้ติดมือมาด้วย ข้าเกรงใจจริงๆ” ปากบอกว่าเกรงใจ แต่กลับยื่นมือออกไปเร็วอย่างยิ่ง
หูเฟิงชำเลืองมองเขาอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง ใบหน้าของเขาบัดนี้มีแต่แววถากถาง “ในเมื่อเกรงใจ เช่นนั้นก็อย่ากิน”
……….
ตอนที่ 218 ราคาข้าวขึ้นราวกับน้ำขึ้น
องครักษ์จินถลึงตามองเขา “เกี่ยวอะไรกับเจ้า นี่เป็นสิ่งที่แม่นางไป๋มอบให้ข้า”
เมิ่งหนานก็เดินเข้ามาเช่นกัน มือหนึ่งคว้ากล่องอาหารไปจากในมือขององครักษ์จิน “นางมอบให้ข้าแท้ๆ เจ้านั่นแหละเกี่ยวอะไรด้วย”
จินเสี่ยวอันมีแววตาร้อนรน “นางมอบให้พวกเราทั้งสองคน ท่านเก็บไว้กินคนเดียวไม่ได้นะขอรับ”
“เก็บไว้กินคนเดียวแล้วอย่างไร ข้าไม่ได้กินข้าวมาสองมื้อแล้ว กินคนเดียวสักมื้อไม่ได้หรือไร” เมิ่งหนานแค่นหัวเราะเสียงเบา
“ข้าก็ไม่ได้กินข้าวหนึ่งมื้อ หิวเป็นอย่างยิ่งแล้ว ท่านอย่าเห็นแก่ตัวเกินไปสิ” จินเสี่ยวอันกระเง้ากระงอด
ไป๋จื่อหมดคำพูดกับความหวงของกินของทั้งสองคน ตรงนี้ยังมีเจ้าพนักงานของที่ว่าการอำเภออยู่ด้วย พวกเขาแย่งอาหารกันเหมือนเด็กๆ เช่นนี้ ภาพลักษณ์ย่อมไม่เหลือแม้สักนิด
“เอาล่ะๆ ข้านำมามากทีเดียว เพียงพอให้พวกท่านสองคนกิน เข้าไปข้างในเถอะเจ้าค่ะ” ไป๋จื่อดันเมิ่งหนานและองครักษ์จินให้เข้าไป ขณะเดียวกันก็รู้สึกร้องไห้ไม่ได้ หัวเราะไม่ออก
เดิมทีนางมาดูอาการบาดเจ็บของเมิ่งหนาน แต่สุดท้ายยังต้องรอพวกเขากินข้างเสร็จก่อนถึงจะเริ่มได้…
กล่องอาหารไม่ใหญ่มากนัก แต่กลับบรรจุอาหารไว้แน่นขนัด จานหนึ่งเป็นเกี๊ยวทอด จานหนึ่งเป็นผัดผัก และม้วนจีตั้นปิ่งหกชิ้น
หลังจากเมิ่งหนานแลองครักษ์จินชิมเกี๊ยวทอดแล้ว พวกเขาก็หยุดไม่ได้โดยสิ้นเชิง แม้จะอยากถามว่าแท้จริงแล้วนี่คือสิ่งใด ทว่าก็ไม่อยากหยุดกิน เพราะเมื่อหยุดแล้ว อีกฝ่ายจะได้กินมากกว่าตนเองหนึ่งชิ้น ไม่มีผู้ใดอยากเสียเปรียบเช่นนี้ จึงเปิดฉากเจ้าแย่ง ข้าฉวยอย่างเป็นทางการ
เมิ่งหนานเรอออกมาด้วยความพึงพอใจ แต่ในมือกลับยังคงคว้าจีตั้นปิ่งสองชิ้นไว้ “นี่เป็นของข้า ตอนนี้กินไม่ลงแล้ว จะเก็บไว้กินตอนกลางวัน เจ้าอย่าได้มาแย่งกับข้าเชียว”
สองมือขององครักษ์จินว่างเปล่า เหตุใดเมื่อครู่เขาถึงไม่คิดจะแย่งมาเก็บไว้เป็นมื้อกลางวันสักชิ้น วางกลยุทธ์ผิดพลาดจริงๆ!
ไป๋จื่อกล่าว “พวกท่านอดมื้อกินมือเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องดีนัก ไม่ดีกับสุขภาพเสียเลย”
องครักษ์จินกลืนผัดผักคำสุดท้ายลง แล้วถอนใจเสียงหนึ่ง “แม้นางไป๋ หลังจากกินข้าวที่เจ้าทำมื้อนั้นเมื่อห้าวันก่อน พวกข้าก็กินอาหารที่ในครัวทำมาให้ไม่ลงจริงๆ ทุกวันพวกข้าเอาแต่จ้องดวงดาว มองดวงจันทร์ รอคอยเจ้านำอาหารมาให้”
เด็กสาวยิ่งหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก “ข้าพูดแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ หากพวกท่านอยากกินอาหารที่ข้าทำ ก็ไปหาข้าที่หมู่บ้านหวงถัว เหตุใดต้องปล่อยให้ท้องหิวตลอดทั้งวันอยู่ที่นี่ด้วย”
จินเสี่ยวอันกล่าว “แม่นางไป๋ เจ้าไม่รู้ว่าพวกข้าอยากไปทุกวัน แต่ก็จนใจเพราะช่วงนี้มีผู้ประสบภัยหลั่งไหลเข้ามาในเมืองเป็นจำนวนมาก มีเรื่องวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน คุณชายเองก็ยุ่งอยู่ตลอด มีวันนี้ที่พอจะว่างอยู่บ้าง เพราะคุณชายแกล้งป่วยขึ้นมา ไม่เช่นนั้นตอนนี้ใต้เท้ากู้คงจะลากเขาไปจัดการคดีที่ศาลาว่าการข้างหน้าแล้ว”
หูเฟิงส่ายหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยแววดูถูก “ในเมื่อพวกเจ้าได้รับเงินเดือนของที่ว่าการอำเภอ รับคดีมาตัดสินนับว่าเป็นหน้าที่ของพวกเจ้า แต่กลับแกล้งป่วยเช่นนี้เพื่อให้ได้กินอิ่มสมใจอยาก พวกเจ้าไม่อายหรือไร”
เมิ่งหนานวางจอกชาลง แล้วโบกมือให้หูเฟิง “เจ้าพูดเช่นนั้นไม่ได้ ข้าเป็นผู้ตัดสินคดี ไม่ใช่นายอำเภอ คดีที่เข้ามาในที่ว่าการอำเภอไม่ใช่หน้าที่ของข้าทั้งหมด ที่ข้าช่วยเขาก่อนหน้านี้ นั่นเป็นเพราะว่าเขามีธุระต้องออกจากเมืองชิงหยวน บัดนี้เขากลับมาแล้ว เรื่องนี้ย่อมต้องมอบให้เขาไปจัดการ อีกอย่าง เรื่องผู้ประสบภัยนี้มีความซับซ้อนอย่างมาก ข้าที่เป็นใต้เท้าตัดสินคดีเล็กๆ คนหนึ่งจัดการไม่ได้หรอก อย่างไรก็ต้องให้นายอำเภอจัดการ”
ไป๋จื่อกล่าว “เรื่องอื่นข้าไม่เข้าใจหรอก แต่ข้าคิดเหมือนกับหูเฟิง ข้าว่าข้าราชการอย่างพวกท่านก็ควรจัดการด้วยเช่นกัน”
“จัดการอะไรหรือ” เมิ่งหน้ามีสีหน้าอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา
เด็กสาวรีบพูดในทันที “ตอนที่ผู้ประสบภัยยังไม่เข้าเมือง ร้านขายข้าวในเมืองก็เริ่มขึ้นราคา ตอนนี้มีผู้ประสบภัยจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในเมืองไม่หยุดหย่อน ราคาข้าวยิ่งเพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง ได้ยินว่าตอนนี้หนึ่งหรือสองเฉียนซื้อข้าวได้เพียงหนึ่งโต่วเท่านั้น นี่เป็นการขูดเลือดขูดเนื้ออย่างเห็นได้ชัด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ก็ไม่รู้ว่าจะมีชาวบ้านที่ยากลำบากต้องอดตายมากเพียงใด”