ผมคันไม้คันมืออยากวาดภาพ
การทดสอบที่อยู่ด้านหลังประตูทั้ง 99 บานนั้นแตกต่างกัน ซึ่งก็แน่นอนว่าระดับของความอันตรายจะต้องไม่เท่ากันด้วย คงจะมีความแตกต่างไม่น้อยระหว่างการเลือกประตูบานที่ถูกกับบานที่ผิด
ไม่อย่างนั้น รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นคงจะไม่ให้เวลาพวกเขาตัดสินใจนานถึง 1ก้านธูป
ในเมื่อเป็นการทดสอบที่นักปราชญ์โบราณหรันชิวทิ้งไว้ ด้วยระดับวรยุทธที่จำกัดของเขา จางเซวียนก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมดวงตาหยั่งรู้ถึงมองอะไรไม่เห็น แต่กับหอสมุดเทียบฟ้าล่ะ?
ความสามารถของมันคือการมองทะลุทุกสิ่งที่อยู่ภายใต้สวรรค์
ในเมื่อเป็นอย่างนั้น จะมีเครื่องมืออะไรที่ดีไปกว่าหอสมุดเทียบฟ้าให้เขาเลือกใช้? เขาคงจะตัดสินใจได้ง่ายว่าประตูบานไหนควรเลือกและบานไหนไม่ควรเลือก!
เมื่อคิดได้ จางเซวียนก็เริ่มดำเนินการ
เขาสะบัดข้อมือ นำกระดาษขาวออกมาหนึ่งแผ่นพร้อมกับพู่กัน แล้วลงมือวาดภาพ
ในฐานะจิตรกรระดับ 8 ดาว ความเร็วและคุณภาพในการวาดภาพของเขาถือว่าเหนือชั้น ภายในเวลาไม่ถึง 3 นาที เขาก็วาดภาพภายในห้องรูปกลมนั้นได้ทั้งหมด
หลังจากวาดเสร็จ จางเซวียนก็เขียนคำว่า ‘ถูกต้อง’ ไว้บนประตูทุกบานในภาพวาด
ในเมื่อที่นี่มีประตูมากมาย ก็จะต้องมีประตูที่เหมาะสมกว่าบานอื่นๆ หอสมุดเทียบฟ้าสามารถวิเคราะห์ข้อบกพร่องและความผิดพลาดของวัตถุได้ ดังนั้น ด้วยการพิจารณาข้อบกพร่อง เขาก็คงจะตัดสินใจได้ว่าควรเข้าประตูบานไหน
ขณะที่จางเซวียนกำลังง่วนกับการวาดภาพ รูปปั้นเด็กชายก็เฝ้ามองด้วยสีหน้างุนงง
เขาคิดว่าชายหนุ่มน่าจะเลือกประตูสักบานแล้วเข้าไปข้างใน ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายจะนำพู่กันกับกระดาษออกมาและเริ่มต้นวาดภาพ รวมทั้งเขียนตัวหนังสือด้วย
ทั้งหมดที่คุณต้องทำก็คือเลือกประตูสักบาน! แค่เลือกมาบานหนึ่ง คงไม่ยากเย็นไม่ใช่หรือ?
คุณมีปัญหากับการตัดสินใจหรือไง?
“เวลาใกล้หมดแล้วนะ ถ้าคุณไม่เข้าไปเร็วๆนี้ คุณสมบัติในการเข้าท้าทายการทดสอบจะกลายเป็นโมฆะ” รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นส่งเสียงเตือน
“รู้แล้ว ผมจะรีบตัดสินใจเร็วๆนี้แหละ…” จางเซวียนตอบขณะที่เขียนคำว่า ‘ถูกต้อง’ ลงบนประตูบานสุดท้าย
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาก็ใช้นิ้วแตะภาพวาด
วิ้ง!
ภาพวาดแบบเดียวกันปรากฏในสมองของเขา
ไม่ช้า จางเซวียนก็พบประตูบานที่ถูกต้องซึ่งควรจะเข้าไป เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก
เขาลืมตาขึ้นและพูดยิ้มๆ “เอาล่ะ ผมตัดสินใจได้แล้ว…”
เห็นสีหน้างุนงงของรูปปั้นเด็กชาย จางเซวียนอธิบายพร้อมกับหัวเราะหึๆ “อันที่จริงผมเป็นจิตรกรด้วย เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมเห็นทิวทัศน์ที่น่าสนใจ ผมก็จะเกิดคันไม้คันมืออยากวาดมันขึ้นมาทันที…นิสัยที่ไม่ค่อยจะดีนี้เกิดกำเริบขึ้นมาเมื่อผมเห็นห้องที่สวยงามแห่งนี้ ขอให้คุณเข้าใจด้วย!”
“ทิวทัศน์ที่น่าสนใจ? ห้องที่สวยงาม?” รูปปั้นเด็กชายถึงกับพูดไม่ออก
ทั้งหมดที่มีอยู่ในห้องรูปกลมนี้คือประตูที่ทำจากหินแกรนิต… ถ้าสภาพแบบนี้ยังถือว่าน่าสนใจกับคุณล่ะก็ มือขวาของคุณคงจะคันมากจริงๆ!
“เอาเถอะ ผมไม่ว่าคุณหรอกที่คุณไม่เข้าใจ เพราะคุณเป็นแค่รูปปั้น ก็พอเข้าใจได้ว่าคงไม่อาจสัมผัสสุนทรียภาพได้เหมือนมนุษย์อย่างเราๆ!” จางเซวียนหัวเราะก่อนจะตบไหล่รูปปั้นเด็กชายอย่างเห็นใจและมุ่งหน้าไปยังประตูบานหนึ่ง
“คุณ…” เมื่อรู้ตัวว่าถูกเยาะเย้ย รูปปั้นเด็กชายได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
นักปราชญ์โบราณชิวอู๋เป็นคนเข้มงวดและเถรตรง มันเรื่องอะไรเขาถึงรับชายหนุ่มปากร้ายแบบนี้เป็นลูกศิษย์?
ตัวเจ้าปัญหาอย่างคุณคงต้องเป็นโสดไปตลอดชีวิต! ไม่น่าเชื่อว่ากะอีแค่เลือกประตูสักบานก็ยังตัดสินใจไม่ได้…ฮึ? รอดูเถอะ!
เมื่อมองตามทิศทางที่ชายหนุ่มมุ่งหน้าไป นัยน์ตาของรูปปั้นเด็กชายเบิกโพลงขึ้นมาทันทีด้วยความประหลาดใจ
แอ๊ดดด!
เขาจ้องเขม็งและอ้าปากค้างขณะที่ชายหนุ่มเปิดประตูและหายวับเข้าไปในนั้น
หมอนั่นเลือกประตูบานนั้น? แต่ว่า…เขารู้ได้อย่างไร? รูปปั้นเด็กชายได้แต่กระพริบตาปริบๆด้วยความไม่อยากเชื่อ
ในจำนวนประตูทั้ง 99 บาน โอกาสที่ชายหนุ่มจะเลือกประตูบานนั้นถือว่ามีน้อยมาก เขาจึงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเลือก ใครจะรู้ว่าหมอนั่นโชคดีถึงขนาดที่เลือกสุ่มๆก็ได้ประตูบานนั้นมา
ราวกับเทพธิดาแห่งโชคชะตาฉายแสงนำทางให้เขา
ไม่ช้ารูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นก็หายตกตะลึงและคำรามในใจ ถึงเขาจะโชคดี แต่ก็ต้องมีพละกำลังพอตัวถึงจะจัดการได้ เจ้าหมอนั่นที่อยู่หลังประตูทั้งโหดร้ายและไร้ความปรานียิ่งกว่าเราเสียอีก ต่อให้เขาเลือกประตูบานที่ถูกต้อง แต่ก็มีโอกาสที่จะเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่น!
…..
ตึ้ง!
ทันทีที่ประตูแกรนิตปิดลง จางเซวียนก็พบว่าตัวเองยืนอยู่บนทางเดิน เขาเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ตั้งใจจะสำรวจโดยรอบว่ามีอะไรอยู่บ้าง แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร แรงกดดันมหาศาลก็โถมทับเข้าใส่ ทำให้ร่างของเขาซวนเซไปเล็กน้อย
แรงกดดันนั้นดูจะพุ่งตรงเข้าสู่จิตวิญญาณ แทบจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆในช่วงเวลาที่เขาไม่ทันระวังตัว
มันคือการโจมตีจิตวิญญาณ…จางเซวียนมีสีหน้าไม่สู้ดี
เขาเคยเผชิญหน้ากับการโจมตีจิตวิญญาณมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบการโจมตีที่ทรงพลังขนาดนี้ ดูเหมือนมันจะทะลุกายเนื้อของเขาไป ทำให้รู้สึกเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรที่กำลังบ้าคลั่ง ไร้เรี่ยวแรงจะต่อสู้กับพละกำลังมหาศาลที่อยู่ตรงหน้า
ศาสตร์แห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้า!
รู้ดีว่าจะต้องแย่แน่หากปล่อยให้การโจมตีดำเนินต่อไป จางเซวียนสูดหายใจลึกและเริ่มขับเคลื่อนพลังจิตวิญญาณอย่างดุเดือดเพื่อปัดป้องการโจมตีนั้น
แม้จิตวิญญาณของเขาจะมีวรยุทธแค่ระดับเซียนขั้น 9 แต่ก็ได้รับการบ่มเพาะจากสายฟ้า ทำให้มีขนาดใหญ่และแข็งแกร่งทนทานกว่าจิตวิญญาณดวงอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ แม้การโจมตีจิตวิญญาณที่พุ่งตรงเข้ามาจะมีอานุภาพรุนแรง แต่จางเซวียนก็ต้านทานมันไว้ได้
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่และรุดหน้าต่อไปอย่างรวดเร็ว
จางเซวียนอยากเห็นว่าสิ่งมีชีวิตชนิดไหนที่สำแดงการโจมตีจิตวิญญาณอันทรงพลังขนาดนั้นได้
แต่ยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่ แรงกดดันที่โถมทับจิตวิญญาณของเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากเดินไปได้ราว 12 ก้าว จางเซวียนก็ต้องหยุด
ลงท้าย ก็ดูเหมือนว่าระดับวรยุทธของเขาจะอ่อนด้อยเกินไปสำหรับการทดสอบ ในเวลานี้ ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณของเขาใกล้แตกสลายเต็มที
ดูเหมือนเรามาถึงขีดจำกัดของตัวเองแล้ว…เราควรเรียกพลังจากหยดเลือดของปรมาจารย์ขงหรือเปล่า? จางเซวียนครุ่นคิดอย่างหนัก
หากได้รับพลังจากหยดเลือดของปรมาจารย์ขง แน่นอนว่าเขาย่อมปัดป้องการโจมตีจิตวิญญาณออกไปได้อย่างง่ายดาย แต่ปัญหาก็คือมีหยดเลือดเพียง 3 หยดเท่านั้น ซึ่งเขาก็ใช้ไป 1 หยดแล้ว และที่แน่ๆก็คือเขาต้องใช้อีก 1 หยดตอนที่ปะทะกับเผ่าพันธุ์ปีศาจกลุ่มที่ลักพาตัวจ้าวหย่ากับพรรคพวกไป
ดังนั้น เขาจึงออกจะลังเลเล็กน้อยหากต้องใช้อีกหยดในตอนนี้
ถึงอย่างไร หยดเลือดก็เป็นไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของจางเซวียน เขาไม่อาจนำมันมาใช้ง่ายๆ!
ครั้งแรกที่เราเผชิญหน้ากับการทดสอบสายฟ้า เราก็จนปัญญา คิดว่าคงจะถูกช็อตตายเสียแล้ว แต่หลังจากนั้นก็กลับพบว่าสามารถซึมซับพลังงานของมันได้! แม้แรงกดดันนี้จะต้านทานได้ยาก แต่เราก็น่าจะใช้มันเป็นสื่อกลางในการบ่มเพาะจิตวิญญาณของเราและทำให้มันบริสุทธิ์ขึ้น บางที…มันอาจจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราเชี่ยวชาญการทะลุมิติและการข้ามสิ่งกีดขวางก็ได้!
ครั้งล่าสุดที่จางเซวียนพบลู่ชง อีกฝ่ายได้ถ่ายทอดศาสตร์ลับการทะลุมิติของจิตวิญญาณให้เขา จางเซวียนพยายามศึกษามัน แต่ด้วยข้อบกพร่องมากมายที่มีอยู่ในศาสตร์ลับนั้น ลงท้ายเขาก็หมดแรงบันดาลใจ อีกอย่าง จิตวิญญาณของเขาก็ยังอ่อนด้อยไปสักหน่อยด้วย…แต่ตอนนี้ เมื่อมีแรงกดดันมหาศาลบีบบังคับเขาอยู่ ก็น่าจะเป็นโอกาสดีที่จะได้ทดลองบ่มเพาะจิตวิญญาณของตัวเอง
บางที อาจจะได้ผลดีอย่างที่คาดไม่ถึงก็ได้
เอาล่ะ เริ่มเลยดีกว่า…จางเซวียนคิดขณะเพ่งสมาธิเข้าสู่ศาสตร์ลับแห่งการทะลุมิติของจิตวิญญาณที่อยู่ในสมองของเขา
ขณะที่กำลังศึกษาศาสตร์ลับนั้นอีกครั้ง ก็พลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้น
การทะลุมิติของจิตวิญญาณคือการนำจิตวิญญาณผ่านเข้าไปในโครงสร้างของมิติ ทำให้ทะลุผ่านขีดจำกัดของมิติได้…ก่อนหน้านี้ เป็นเพราะความเข้าใจของเราที่ยังอ่อนด้อยว่าอะไรคือ ‘โครงสร้างของมิติ’ เราจึงรู้สึกว่ามันมีข้อบกพร่องมากมาย แต่ในเมื่อตอนนี้ศาสตร์แห่งการปลดปล่อยมิติเทียบฟ้าของเราเข้าถึงขั้น 4 แล้ว เราจะสามารถปรับปรุงการทะลุมิติให้สมบูรณ์แบบได้หรือไม่หากประมวลเอาทั้งสองศาสตร์นี้เข้าด้วยกัน?
แม้การทะลุมิติของจิตวิญญาณจะเป็นศาสตร์ลับของจิตวิญญาณ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการควบคุมคุณสมบัติของมิติชนิดหนึ่งเช่นกัน
เมื่อนึกถึงหนังสือจำนวนมากเกี่ยวกับมิติที่เขาเพิ่งถ่ายโอนไปก่อนหน้านี้ หากประมวลมันเข้ากับศาสตร์ลับแห่งการทะลุมิติของจิตวิญญาณ บางทีเขาอาจจะแก้ไขข้อบกพร่องของมันได้?
ประมวล!
จางเซวียนลงมือทันที เขารวบรวมเอาหนังสือเกี่ยวกับการทะลุมิติของจิตวิญญาณเข้ากับหนังสือศาสตร์ลับอื่นๆที่เกี่ยวกับมิติ
ไม่ช้า หนังสือเล่มใหม่เอี่ยมก็ปรากฏ