พลังของสายเลือดตระกูลจาง
จางเซวียนคว้าหนังสือที่ประมวลได้และรีบพลิกดู
เนื้อหาที่อยู่ในนั้นลอยเข้าสู่สมองของเขาและกลายเป็นความรู้ที่ฝังแน่น
มันเข้าถึงระดับของเคล็ดวิชาเทียบฟ้าจริงๆด้วย! จางเซวียนแทบกระโดดด้วยความดีใจ
เขาอยากฝึกฝนเทคนิคการทะลุมิติของจิตวิญญาณมานานแล้ว และพยายามหาหนังสือที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณเพื่อจะปรับปรุงเทคนิคนั้นให้สมบูรณ์ แต่ใครจะไปคิดว่าสิ่งที่เขายังขาดอยู่ไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับจิตวิญญาณ แต่เป็นหนังสือเกี่ยวกับมิติ!
เราจะบ่มเพาะจิตวิญญาณก่อนแล้วค่อยฝึกฝนเทคนิคการทะลุมิติของจิตวิญญาณ จางเซวียนตัดสินใจ
ดังนั้น เขาจึงทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิแล้วถอดจิตวิญญาณออกจากหว่างคิ้ว
เมื่อปราศจากกายเนื้อคอยคุ้มกัน แรงกดดันที่ถาโถมเข้าใส่จิตวิญญาณของจางเซวียนก็เข้มข้นขึ้นทันที ในตอนนั้น เขารู้สึกเหมือนตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางพายุเฮอริเคนอันบ้าคลั่งที่พยายามจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ
แข็งแกร่งราวหินผา หนักแน่นราวขุนเขา!
รู้ดีว่าคงต้องเสียชีวิตแน่หากผ่านการทดสอบไปไม่ได้ จางเซวียนจึงเพ่งสมาธิและจินตนาการถึงภาพขุนเขาอันยิ่งใหญ่, ภูเขาห้วยขาว
มีการฝึกฝนจิตวิญญาณรูปแบบหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อการฝึกฝนแนวคิด ด้วยการเพ่งสมาธิให้อยู่กับแนวคิดใดแนวคิดหนึ่ง การกระทำนั้นก็จะช่วยขัดเกลาพลังจิตวิญญาณของผู้นั้นให้อยู่ในรูปของแนวคิดที่กำลังเพ่งสมาธิอยู่ ยกตัวอย่าง หากใครคนหนึ่งเพ่งสมาธิโดยจินตนาการถึงเปลวไฟ พลังจิตวิญญาณของผู้นั้นก็จะมีฤทธิ์แผดเผาราวกับภูเขาไฟที่กำลังระเบิด และหากเพ่งสมาธิโดยจินตนาการถึงน้ำแข็ง พลังจิตวิญญาณของผู้นั้นก็จะเย็นเยือกราวกับฤดูหนาวอันไร้หัวใจ
จางเซวียนรู้จักเทคนิคการฝึกฝนแนวคิดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาเริ่มฝึกวรยุทธ แต่ด้วยการใช้ศาสตร์แห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้าเพื่อยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณ เขาพบว่าไม่มีความจำเป็นมากนักที่จะต้องทำแบบนั้น จึงไม่ค่อยใส่ใจ แต่ตอนนี้ เขารู้ตัวว่าจะต้องใช้การฝึกฝนแนวคิดด้วยวิธีดังกล่าวเพื่อไม่ให้เสี่ยงกับการที่จิตวิญญาณต้องถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ
ฟึ่บ!
จางเซวียนเพ่งสมาธิอยู่กับแนวคิดภาพภูเขา จากนั้นจิตวิญญาณที่สั่นไหวก็ค่อยๆมั่นคงขึ้น ราวกับภูเขาที่ตั้งตระหง่านและโดดเด่นอยู่ท่ามกลางพายุ ไม่ว่าจะถูกลมพายุปะทะสักแค่ไหนก็มั่นคงอยู่ได้ ไม่มีวันพังทลาย
หลังจากทำให้จิตวิญญาณมั่นคงได้แล้ว จางเซวียนก็สูดหายใจลึกและดึงเอาแรงกดดันมหาศาลนั้นเข้าสู่จิตวิญญาณของเขา เพื่อบ่มเพาะจิตวิญญาณส่วนที่ยังอ่อนแอ
ภายใต้การบ่มเพาะจากแรงกดดันหนักหน่วงนั้น จิตวิญญาณที่มีขนาดใหญ่โตของจางเซวียนก็แข็งแกร่งและทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้แรงกดดันที่ว่าก็ไม่ถึงกับจะทำให้เราทนไม่ไหวอีกแล้ว ลุย!
2-3 นาทีต่อมา เมื่อจางเซวียนเริ่มคุ้นเคยกับแรงกดดันนั้น เขาก็เดินไปข้างหน้าอีก 2-3 ก้าว ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอีกครั้งเพื่อดำเนินกระบวนการบ่มเพาะจิตวิญญาณต่อไป
…..
ในห้องรูปทรงกลม รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงลืมตาขึ้นอีกครั้ง
“จะดูซิว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นจะเป็นอย่างไร ต่อให้เจ้าหมอนั่นที่อยู่ข้างในไม่เปิดการโจมตี ลำพังแค่แรงกดดันที่มันแผ่ออกมาก็เกินพอที่จะยับยั้งอีกฝ่ายไม่ให้เดินหน้าไปไหน หรือแม้แต่ทำลายจิตวิญญาณของเขาได้แล้ว!”
รูปปั้นเด็กชายพึมพำขณะยกนิ้วขึ้นและเคาะพื้นที่ตรงหน้า
จอภาพเรืองแสงปรากฏขึ้นกลางอากาศ เผยให้เห็นภาพของจางเซวียนที่อยู่หลังประตู
“ฮ่าาาา เจ้าหนุ่มนั่นคงจะ…ฮะ? มะ-มันเกิดอะไรขึ้น?”
รูปปั้นเด็กชายยังคงเยาะหยันอยู่ตอนที่พลันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับภาพในจอที่อยู่ตรงหน้า นัยน์ตาของเขาเบิกโพลงขึ้นทันทีจนแทบปะทุออกจากเบ้า
ในจอภาพนั้น ชายหนุ่มยืนเอาสองมือเท้าสะเอวและประกาศด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความหงุดหงิด “ไอ้แรงกดดันบ้าบอนี่มันมาจากไหน? แก…ไอ้ขี้ขลาด ออกมาเผชิญหน้ากับฉันตรงๆดีกว่า! ฉันยังซึมซับมันไม่พอเลย ถ้าทั้งหมดที่แกมีอยู่คือเท่านี้ล่ะก็ แกยังกล้าเรียกตัวเองว่าการทดสอบหรือ? ถ้าไม่ออกมาตอนนี้ ก็อย่ามาต่อว่าฉันนะถ้าฉันทำลายที่นี่จนราบคาบ!”
“เขากำลังยั่วยุมันจริงๆหรือนี่?” รูปปั้นเด็กชายแทบเป็นลม
เขาเคยคิดว่าหากเจ้าหมอนั่นที่อยู่หลังประตูเปิดการโจมตี ลำพังแค่รังสีที่แผ่ออกมาก็เกินพอที่จะเล่นงานชายหนุ่มแล้ว ใครจะไปคิดว่าไม่เพียงแต่ชายหนุ่มจะยังไม่เป็นอะไร ยังถึงขนาดเยาะเย้ยอีกฝ่ายว่าอ่อนแอด้วย!
ปีศาจตนนี้มาจากไหน?
มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
“ช่างมันเถอะ ถ้าไม่มีแรงกดดันแล้ว เราก็จะเข้าไปข้างใน…” หลังจากเอ่ยปากยั่วยุครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่มีแรงกดดันตอบกลับมา จางเซวียนได้แต่ส่ายหน้า
พูดกันตามตรง ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะคุยโม้ แต่จู่ๆแรงกดดันก็หายไปอย่างกะทันหัน
เขากำลังอยู่ในอารมณ์ที่เริ่มคุ้นชินกับการฝึกฝน และผลที่ได้ก็ทำให้จิตวิญญาณของเขาเริ่มแข็งแกร่งขึ้น แต่แล้วแรงกดดันนั้นก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย เป็นใครก็ต้องหงุดหงิด!
อีกอย่าง ถ้าเขาได้ฝึกฝนวรยุทธมากกว่านี้ ก็มีโอกาสที่เขาจะเข้าถึงเงื่อนไขของการทะลุมิติของจิตวิญญาณ ซึ่งนั่นจะทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาสูงขึ้นอีกมาก
ขอดูก่อนเถอะว่าแรงกดดันมีต้นตอมาจากไหน บางทีเราอาจทำอะไรบางอย่างได้…จางเซวียนคิดขณะรุดหน้าไป
หลังจากเดินไปได้เพียง 2-3 ก้าว ก็มาถึงทางเลี้ยว จางเซวียนรู้สึกถึงความเย็นเยือกในร่างกายของเขา จากนั้นก็รับรู้ได้ถึงพละกำลังมหาศาลที่พุ่งตรงมา
เขารีบแนบตัวเข้ากับกำแพง
ฉึก!
รูขนาดเล็กปรากฏขึ้นบนกำแพงของทางเดินนั้น
“นี่มันอะไร…” จางเซวียนเลิกคิ้วด้วยความระแวง
สิ่งที่พุ่งตรงมาไม่ใช่อาวุธที่ถูกซุกซ่อนไว้ ไม่ใช่กระแสดาบฉีหรืออะไรทำนองนั้น แต่เป็นเพียงหยดน้ำธรรมดา!
น้ำเพียงหยดเดียวสามารถสลายการป้องกันตัวของเขาและทำให้กำแพงของทางเดินนั้นเป็นรูได้ แน่นอนว่าคนที่เล่นงานเขาจะต้องมีวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เป็นอย่างน้อย!
เราจะรอดูก่อนว่าเขาเป็นใคร ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะใช้พลังจากหยดเลือดของปรมาจารย์ขงหรือไม่
จางเซวียนงอนิ้วไว้เหนือหยดเลือดในมือของเขา พร้อมที่จะแตะมันเพื่อเรียกพลังจากหยดเลือดนั้นได้ทุกขณะ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะออกเดินต่อไปอย่างหวาดระแวง
เขายังเหลือหยดเลือดของปรมาจารย์ขงแค่ 2 หยด จึงไม่อาจใช้มันอย่างบุ่มบ่ามได้
ฟิ้วววว!
เมื่อถึงทางเลี้ยวอีกครั้ง ก็เห็นหยดน้ำขนาดต่างๆกันหลายสิบหยดพุ่งเข้าใส่เขาอย่างรวดเร็ว ปิดกั้นหนทางหลบหนีไว้หมด
หยดน้ำเหล่านี้ไม่ได้ถูกถ่ายทอดพลังปราณไว้ แต่ความเร็วในการเคลื่อนไหวของมันจัดว่าน่าสะพรึงมาก ด้วยระดับวรยุทธของจางเซวียนในตอนนี้ หากมันปะทะกับเขาจังๆ เขาจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือแม้แต่เสียชีวิตเลยทีเดียว!
“เปิดใช้งานสายเลือด!” รู้ดีว่าไม่มีเวลาให้หนี จางเซวียนปลุกสายเลือดตระกูลจางขึ้นทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่เซียนดาบชิงได้มอบให้เขาไว้ก่อนหน้านี้
ฟึ่บ!
ในชั่วพริบตา กาลเวลาก็ดูเหมือนจะเชื่องช้าลง หยดน้ำที่พุ่งเข้าใส่เขาอย่างเกรี้ยวกราดอยู่เมื่อครู่ปรากฏชัดเจนต่อหน้าต่อตา
โพละ!
จางเซวียนยกนิ้วขึ้นและแตะหยดน้ำที่อยู่ใกล้ตัวเขาที่สุดเบาๆ หยดน้ำนั้นแตกสลายไปทันที ทำให้นิ้วของเขาเปียกชื้น
จางเซวียนเดินหน้าต่อไปเพื่อจะแตะหยดน้ำอีกหลายสิบหยดที่เหลือ พวกมันแตกสลายและกระจายออกไปโดยรอบ
รู้ดีว่าตัวเองรอดพ้นจากอันตรายแล้ว จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกขณะพยักหน้าด้วยความยำเกรง
สมกับที่เป็นสายเลือดตระกูลจาง อานุภาพของมันน่าสะพรึงยิ่งกว่าสายเลือดตระกูลหลัวเสียอีก มันแสดงออกถึงพละกำลังอันน่าทึ่งเมื่อถูกเปิดใช้งาน
หากเขาไม่ใช้ความสามารถนี้ แน่นอนว่าจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสจากหยดน้ำที่พุ่งเข้าใส่ราวกับห่าฝน แต่ด้วยการหน่วงเวลา ความเร็วของหยดน้ำก็ลดลงจนแทบจะกลายเป็นหอยทากคลาน ไม่อาจทำอันตรายเขาได้อีก
โชคไม่ดีเลยที่ต้องใช้หยดเลือดปริมาณมาก…
ถึงจางเซวียนจะตื่นเต้น แต่ก็อดส่ายหน้าอย่างจนปัญญาไม่ได้เมื่อเห็นว่าตัวเองต้องเสียพลังไปมากแค่ไหนจากการใช้หยดเลือดของตระกูลจาง
เพียงแค่ทำลายหยดน้ำไม่กี่หยด เขาต้องใช้หยดเลือดของตระกูลจางไปมากกว่าครึ่งหยด พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ด้วยปริมาณหยดเลือดที่เขามีอยู่ตอนนี้ เขาสามารถเปิดใช้งานสายเลือดตระกูลจางได้อีกแค่ 6 ครั้ง
ช่างสิ้นเปลืองเหลือเกิน!
ฟึ่บ!
ด้วยการเพ่งสมาธิอีกครั้ง จางเซวียนก็กลับสู่สภาพเดิมของกาลเวลา ภาพตรงหน้าเขากลับคืนสู่ความเร็วปกติ
ในตอนนั้นเองที่จางเซวียนเพิ่งรู้ตัวว่าเขามายืนอยู่ใจกลางห้องโถงขนาดใหญ่
ที่ใจกลางห้องโถงนั้นคือทะเลสาบที่มีรัศมีหลายร้อยเมตร น้ำในทะเลสาบมีฟองฟอดขึ้นมาไม่หยุด ราวกับมันกำลังเดือดพล่าน
ขณะที่จางเซวียนกำลังสงสัยว่าทะเลสาบนี้ปล่อยกระสุนหยดน้ำออกไปได้อย่างไร ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นมาจากใต้ผืนน้ำ จากนั้นร่างประหลาดร่างหนึ่งก็โผล่พรวดขึ้นมาจากทะเลสาบ
ซู่!
หยดน้ำมากมายกระเด็นออกไปโดยรอบ