หลิวหยางชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพลันนึกได้ถึงสถานภาพของตัวเอง
ตอนนี้เขาไม่ใช่หลิวหยางอีกแล้ว แต่เป็นอำมาตย์คนใหม่ของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น ส่วนบรรดาศิษย์น้องกับศิษย์พี่ของเขาก็เป็นกองกำลังชั้นนำของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เป็นเรื่องเข้าใจได้ที่คนเหล่านี้บุกเข้ามาในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจและพยายามจะคร่าชีวิตเขา
สัญชาตญาณแรกของหลิวหยางบอกให้เขาส่งโทรจิตหาคนเหล่านั้นเพื่อยืนยันตัวตนที่แท้จริง แต่เมื่อนึกได้ว่าตอนนี้คือช่วงเวลาสำคัญของพิธีสถาปนา คงไม่ดีแน่หากเขาละทิ้งทุกอย่างโดยยอมเสี่ยงที่จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกไป มันอาจทำลายสิ่งที่ท่านอาจารย์ของเขาตั้งใจจัดเตรียมไว้ ดังนั้น หลิวหยางจึงยับยั้งตัวเอง
แต่แล้วความงุนงงของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความอยากรู้
เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน! พูดกันตามตรง เราก็อยากรู้ว่าพวกนั้นพัฒนาไปได้ไกลแค่ไหน!
บึ้มมมม!
หลิวหยางหันกลับมาและปล่อยหมัดเข้าใส่ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่พุ่งเข้าหาเขา พละกำลังมหาศาลจากหมัดนั้นเกือบทำให้โลกพังทลาย ราวกับมีโลกสองใบปะทะกัน ในชั่วพริบตา จิตวิญญาณของลู่ชงก็ถูกสอยร่วงลงไปกองกับพื้น
ช่างเป็นเทคนิคเพลงหมัดที่ทรงพลังอะไรอย่างนี้ ลู่ชงคิดพร้อมกับหรี่ตา
คนไม่กี่คนที่เขารู้ว่ามีเทคนิคเพลงหมัดอันทรงพลังก็คือท่านอาจารย์ของเขากับศิษย์พี่หลิวหยาง ใครจะไปคิดว่าอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่จะมีความสามารถแบบนั้นด้วย?
ไม่น่าแปลกใจแล้วที่อีกฝ่ายรวบรวมเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งเผ่าให้เป็นหนึ่งเดียวได้ พละกำลังของเขาน่าสะพรึงจริงๆ!
หลังจากสอยลู่ชงร่วงด้วยหมัดเดียว หลิวหยางก็ง้างหมัดอีกครั้งเพื่อรับมือกับหอกของเจิ้งหยางและดาบของจ้าวหย่า
แม้จะเป็นการสู้รบแบบหนึ่งต่อสอง แต่หลิวหยางก็ดูจะไม่ตกเป็นเบี้ยล่าง
หลังจากได้ซึมซับอำนาจที่อำมาตย์เฉินหย่งคนเก่าถ่ายทอดให้ ระดับวรยุทธของหลิวหยางก็เข้าถึงระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 3 การฟื้นคืนชีพของสายเลือดขั้นสูง อีกไม่ไกลก็จะสำเร็จขั้นโลกจารึก ถึงบรรดาศิษย์พี่ศิษย์กับศิษย์น้องของเขาจะพัฒนาได้มากตลอด 2-3 เดือนที่ผ่านมา แต่ก็ยังอ่อนด้อยอยู่เล็กน้อยหากเปรียบเทียบกับเขา
พลั่ก! พลั่ก!
เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น 2 ครั้ง แล้วทั้งเจิ้งหยางกับจ้าวหย่าก็กระเด็นไป
ในเวลาเดียวกัน กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจก็รีบเข้ามาอารักขาอำมาตย์คนใหม่ของพวกเขา
“อย่าเคลื่อนไหวจนกว่าผมจะออกคำสั่ง!” หลิวหยางคำรามและยับยั้งเหล่าทหารไว้ ระหว่างที่กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจกำลังจัดเตรียมค่ายกลผนึกกำลัง เขาก็หันไปหาจ้าวหย่า
ด้วยพละกำลังมหาศาล จ้าวหย่ารู้สึกราวกับว่าดาบของเธอพร้อมจะหลุดจากมือได้ทุกขณะ
รอยย่นปรากฏบนหน้าผากของจ้าวหย่าขณะที่หรี่ตา เธอคิดไม่ถึงว่าอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่จะทรงพลังถึงขนาดมองเห็นข้อบกพร่องในศิลปะเพลงดาบของเธอได้ทันที ทั้งยังพยายามจะผลักดาบออกจากมือของเธอด้วย
รู้ดีว่าความพยายามลอบสังหารของพวกเขาจะล้มเหลวถ้าอีกฝ่ายผลักดาบให้กระเด็นหลุดจากมือของเธอได้ จ้าวหย่าคำราม “เปิดใช้งาน!”
บึ้มมมม!
จ้าวหย่าขับเคลื่อนสภาวะปราณหยินบริสุทธิ์จนเต็มพิกัด ในชั่วพริบตา พื้นที่ภายในรัศมี 100 ลี้จากตัวเธอก็กลายเป็นน้ำแข็งและเริ่มมีหิมะตก ราวกับฤดูหนาวมาเยือน
ภายใต้แรงกดดันหนักหน่วงนั้น วรยุทธของจ้าวหย่าก็ก้าวข้ามด่านคอขวดเข้าสู่ขั้นใหม่
นักปราชญ์โบราณขั้น 2-บรมครูนักปราชญ์!
เมื่อตอนอยู่ที่วิหารแห่งขงจื๊อ จ้าวหย่าสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกแล้ว ด้วยผลโพธิ์และคริสตัลเยือกแข็งที่ท่านอาจารย์มอบให้ ระดับวรยุทธของเธอก็พุ่งพรวด แม้จะไม่มีหอฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงให้ใช้ แต่ก็ตามเจิ้งหยางทัน
ถ้าไม่อย่างนั้น หยวนเทาคงไม่หวาดกลัวจ้าวหย่า
พร้อมกันกับการฝ่าด่านวรยุทธ ดาบของจ้าวหย่าก็คมกริบและแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ในชั่วพริบตา ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเธอก็เพิ่มสูงขึ้นหลายเท่า กระแสดาบฉีมากมายนับไม่ถ้วนพุ่งออกไปพร้อมกับการเคลื่อนไหวของดาบ ราวกับน้ำตกที่พลุ่งพล่านไม่มีที่สิ้นสุด
พร้อมกันนั้น เจิ้งหยางก็พุ่งเข้ามาแล้วจ้วงแทงหอกอย่างดุเดือด เกิดเป็นลำแสงสว่างวาบ เขาเคลื่อนไหวอย่างหนักหน่วงจนดูเหมือนจะทำลายทุกอย่างที่ขวางทางได้
“เฮ้ย…”
จางเซวียนเฝ้าดูเหตุการณ์วุ่นวายอย่างสงบจากระยะไกล แต่เมื่อเห็นภาพนั้นก็ขมวดคิ้ว ความโกรธกริ้วเดือดพล่านอยู่ในหัวใจ
จากกันไปเพียง 2 เดือน เจ้าพวกนี้เละเทะขนาดนี้ได้อย่างไร?
ไม่เพียงแต่จะละเลยคำสอนทั้งหมดของเขา ยังบิดเบือนเทคนิคที่เขาถ่ายทอดให้จนกลายเป็นบางอย่างที่สุดแสนจะน่าขยะแขยง ช่างน่าอับอายเสียจริง!
ขณะที่จางเซวียนกำลังโมโหลูกศิษย์ของเขา การโจมตีของทั้งจ้าวหย่าและเจิ้งหยางก็มาถึงตัวหลิวหยาง หลิวหยางเงื้อฝ่ามือขึ้นตอบโต้ด้วยพละกำลังหนักหน่วง
พลั่ก! พลั่ก!
เจิ้งหยางกับจ้าวหย่าถูกสอยกระเด็นไปอีกครั้ง
“ศิษย์พี่!”
เมื่อทนดูไม่ไหวอีกต่อไป หวังหยิ่ง เว่ยหรูเหยียน และหยวนเทารีบเข้ามาช่วย
หยวนเทาใช้ร่างกายของเขาพุ่งเข้าใส่เพื่อเล่นงานหลิวหยาง แม้เขาจะยังไม่ได้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ แต่ก็ได้กลืนกินร่างอวตารของปรมาจารย์ขงและผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณแล้ว ทำให้กายเนื้อมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณ ด้วยเหตุนี้ พละกำลังที่เขาแผ่ออกมาจึงหนักหน่วงอย่างน่าทึ่ง
ในเวลาเดียวกัน เว่ยหรูเหยียนก็ใช้สภาวะกายพิษแต่กำเนิดของเธอปล่อยยาพิษให้แผ่ซ่านไปทั่วทั้งพื้นที่ ป้องกันไม่ให้ใครเข้าใกล้ มิติที่อยู่โดยรอบดูจะบิดเบี้ยวไปเล็กน้อยด้วยยาพิษที่มีปริมาณและความเข้มข้นมากเกินขนาด
แม้หวังหยิ่งจะยังไม่ได้ขับเคลื่อนวัตถุที่เธอร่ายมนต์ใส่เอาไว้ แต่วรยุทธของเธอก็เข้าถึงระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 1 การสืบทอดสายเลือดแล้ว ด้วยความช่างสังเกต เธอจึงสามารถผนึกกำลังกับคนอื่นๆได้อย่างไร้ที่ติเพื่อโจมตีจุดอ่อนที่พอจะมองเห็น ทำให้หลิวหยางรับมือได้ยาก
การเคลื่อนไหวของนักรบทั้ง 6 รวมตัวกันเป็นหนึ่ง หลิวหยางพบว่าตัวเขาไม่อาจต้านทานไหวอีกต่อไป ต้องถอยกรูดครั้งแล้วครั้งเล่า
แม้ระดับวรยุทธของเขาจะเหนือชั้นกว่าคู่ต่อสู้ แต่ทั้ง 6 คนที่เขาเผชิญหน้าด้วยเป็นศิษย์สายตรงของท่านอาจารย์ของเขา ทุกคนได้ฝึกฝนเทคนิควรยุทธและเทคนิคการต่อสู้ที่ล้ำลึกที่สุด ขนาดหลิวหยางใช้มรดกตกทอดของอำมาตย์เฉินหย่ง ก็ยังเทียบชั้นกับพวกนั้นไม่ได้
แต่ถ้าเขาเลือกใช้มรดกตกทอดของท่านอาจารย์เมื่อไหร่ พวกนั้นก็จะรู้ทันทีว่าเป็นเขา และการต่อสู้จะต้องสิ้นสุด
พลั่ก! พลั่ก!
เพราะครุ่นคิดมากไป ปฏิกิริยาโต้ตอบของหลิวหยางจึงช้าลงเล็กน้อย เขาเจอการปล่อยพลังเข้าใส่อย่างหนักหน่วงถึง 2 ครั้งจนต้องถอยกรูดไปหลายก้าว หลิวหยางรู้สึกได้ถึงรสปร่าที่เอ่อขึ้นมาอยู่ในลำคอ เลือดซึมออกจากมุมปากของเขา
เขาเคยคิดว่าตัวเองน่าจะเอาชนะคนอื่นๆได้อย่างง่ายดายหลังจากได้รับพละกำลังและมรดกตกทอดของอำมาตย์เฉินหย่ง แต่ใครจะไปรู้ว่าพวกนั้นจะทรงพลังขนาดนี้?
“เจ้าอำมาตย์เฉินหย่งนี่ออกจะแปลกๆนะ…”
หลังจากปะทะกันไปหลายครั้ง จ้าวหย่ากับคนอื่นๆก็เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
แน่นอนว่าประสิทธิภาพการต่อสู้ของอำมาตย์เฉินหย่งเหนือชั้นกว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก บางทีเธออาจคิดไปเอง แต่รู้สึกราวกับว่าอีกฝ่ายคุ้นเคยกับกระบวนท่าและการผนึกกำลังกันของพวกเธอเป็นอย่างดี
“ไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะแปลกประหลาดหรือไม่ แต่เราต้องรีบปราบเขาให้ได้เดี๋ยวนี้ ถ้านักปราชญ์โบราณคนอื่นๆเข้ามาช่วยล่ะก็ พวกเราตายกันหมดแน่!” เจิ้งหยางร้องออกมาอย่างร้อนใจ
ไม่น่าแปลกใจแล้วที่อีกฝ่ายรวบรวมเผ่าพันธุ์ปีศาจให้เป็นหนึ่งเดียวได้ แม้จะอายุยังน้อย แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่จะประมาทได้เลย พวกเขาเคยคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดแล้วในบรรดานักรบรุ่นเดียวกัน แต่ใครจะไปรู้ว่าทั้งๆที่อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่จะอายุเพียงเท่านี้ แต่ก็รับมือกับพวกเขาทั้ง 6 คนได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ?
หรือว่า…เขาเป็นศิษย์สายตรงของเทพเจ้าจริงๆ?
ไม่อย่างนั้น จะแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร?
ขณะที่ทั้ง 7 ต่อสู้กันอยู่ ท้องฟ้าโดยรอบก็ส่งเสียงกึกก้อง ได้ยินเสียงสายฟ้าฟาดเป็นระยะ ใบหน้าของเผ่าพันธุ์ปีศาจทุกตัวที่กำลังเฝ้ามองการต่อสู้อยู่ต่างแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นการต่อสู้อย่างเข้มข้นระหว่างนักปราชญ์โบราณด้วยตาตัวเอง!
ที่สำคัญกว่านั้น อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ยังสามารถรับมือกับคู่ต่อสู้ได้ถึง 6 คนพร้อมๆกัน…พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะทรงพลังขนาดนี้ทั้งที่อายุยังไม่มาก
ขณะที่ทุกคนกำลังจังงังกับสิ่งที่เห็น เสียงตวาดลึกก็ดังขึ้น มันก้องไปทั่วทั้งเมืองหลวง
“พอที!”
เมื่อได้ยินเสียงนั้น ร่างของเจิ้งหยาง จ้าวหย่า และคนอื่นๆแข็งทื่อไปทันที พวกเขารีบล่าถอย
ในเวลาเดียวกัน อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ก็ตัวแข็ง
ฟึ่บ!
ร่างหนึ่งที่เอาสองมือไพล่หลังไว้ร่อนลงมาจากกลางอากาศอย่างช้าๆ