“เจ้าพวกโง่เง่า! ลืมสิ่งที่ผมสอนพวกคุณมาตลอดทั้งปีแล้วหรือไง?”
จางเซวียนถลึงตาใส่บรรดาลูกศิษย์ที่คุกเข่าเป็นแถวตรงหน้าเขา เขาตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว แค่เห็นหน้าเจ้าพวกนี้ ความโกรธของเขาก็พุ่งปรี๊ดทะลุเพดานแล้ว
หากใครสักคนอยากยกระดับวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ ก็จะต้องบ่มเพาะทั้งวรยุทธ พลังงาน และสภาพจิตใจอย่างต่อเนื่อง กระบวนการการบ่มเพาะอย่างต่อเนื่องจะสร้างความกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวในร่างกายของผู้นั้น และเมื่อถึงตอนนั้นจึงจะพอมีความหวังว่าจะสามารถฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติและก้าวเข้าสู่มิติเบื้องบนได้
แต่เจ้าพวกนี้ปล่อยให้ระดับวรยุทธเพิ่มสูงขึ้นโดยไม่พยายามกดข่มไว้เลยแม้แต่น้อย…แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องที่แย่ที่สุด
มีกันอยู่ถึง 6 คน แต่เกือบจะพ่ายแพ้ให้หลิวหยางทั้งที่ผนึกกำลังกัน เรื่องนี้เลวร้ายมาก! ตลอด 1 ปีที่ผ่านมานี้พวกเขาร่ำเรียนอะไรกัน?
ทำแบบนี้ยังเรียกว่าการผนึกกำลังได้หรือ?
หากหมูสักฝูงหนึ่งฟังคำชี้แนะของผม ก็คงทำได้ดีกว่านี้เสียอีก!
“ท่านอาจารย์ คุณคงคิดว่าพวกเราให้ค่ากับวรยุทธเหนือสิ่งอื่น…” เจิ้งหยางพึมพำ แต่แล้วก็ถูกขัดด้วยคำพูดของจางเซวียนที่ทะลุทะลวงราวกับกริช
“เรากำลังพูดกันถึงการศึกษาเล่าเรียนของคุณนะ! ในสมองของคุณน่ะคงล่องลอยทะลุไปถึงท้องฟ้าแล้วกระมังเพียงเพราะคุณได้เป็นนักปราชญ์โบราณแล้ว!” จางเซวียนคำราม
เขาหันไปสั่งการลู่ชง “คุณมีระดับวรยุทธสูงที่สุดในหมู่พวกเขา ปล่อยการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของคุณเข้าใส่ผมเดี๋ยวนี้!”
“ผม?”ลู่ชงผงะ “แต่ท่านอาจารย์ คุณเป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก…”
ตัวเขาเป็นนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดแล้วขณะที่ท่านอาจารย์ของเขายังเป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก ถ้าเขาควบคุมพละกำลังไว้ได้ไม่ดีพอและพลั้งมือทำร้ายท่านอาจารย์จนได้รับบาดเจ็บ…
“แล้วไง? คุณสบประมาทอาจารย์ของคุณเพียงเพราะตอนนี้คุณแข็งแกร่งขึ้นแล้วอย่างนั้นหรือ?” จางเซวียนตวาดลู่ชงอย่างหงุดหงิด
“มะ-ไม่ใช่ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น…” ลู่ชงลนลานส่ายหน้า
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี หุบปากแล้วสำแดงกระบวนท่าของคุณออกมา!” จางเซวียนสั่งการ
“ดะ-ได้” ลู่ชงกัดฟัน จากนั้นก็ถอดจิตวิญญาณออกจากหว่างคิ้วและพุ่งเข้าใส่จางเซวียน
ลำพังแค่พลังจิตวิญญาณที่พวยพุ่งออกจากร่างของเขาก็มากพอจะทำให้เกิดพายุปั่นป่วนแล้ว
จ้าวหย่ากับคนอื่นๆจ้องเขม็ง เตรียมพร้อมเข้าช่วยหากพบว่าท่านอาจารย์ตกอยู่ในอันตราย
แน่นอนว่าท่านอาจารย์ของพวกเขามีทั้งความสามารถและความปราดเปรื่อง แต่ช่องว่างระหว่างวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานกับขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดนั้นห่างกันเกินไป หากท่านอาจารย์ได้รับบาดเจ็บเพราะความเลินเล่อของพวกเขา ก็จะกลายเป็นตราบาปครั้งใหญ่
ขณะที่ทุกคนกำลังกังวลใจเรื่องจางเซวียน เจ้าตัวก็ยกแขนขึ้นและสะบัดเบาๆโดยแทบไม่ชำเลืองมอง
พลั่ก!
ก่อนที่ลู่ชงจะทันได้โต้ตอบ จิตวิญญาณอันใหญ่โตของเขาก็ถูกสอยร่วงลงไปกองกับพื้น เขาขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้ราวกับถูกหินก้อนใหญ่ทับอยู่
“นี่หรือคือพละกำลังของนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดที่คุณภูมิใจนักหนา?” จางเซวียนเลิกคิ้ว
“ผม…” ลู่ชงหน้าแดงก่ำขณะพูดอะไรไม่ออก
คนอื่นๆก็พากันตาโตอย่างไม่อยากเชื่อเมื่อเห็นภาพนั้น
พวกเขารู้ดีว่าลู่ชงแข็งแกร่งแค่ไหน เขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์สายตรงของจางเซวียน แต่แม้ตัวเขาก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีแบบเบาะๆของท่านอาจารย์ได้…
ท่านอาจารย์เป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกจริงๆหรือ?
“อย่ามัวเสียเวลาน่ะ พวกคุณน่ะเข้ามาหาผมพร้อมกันเลย ใช้กระบวนท่าที่คุณตั้งใจจะสำแดงออกไปเพื่อยับยั้งอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ ส่งมันมาเล่นงานผมให้หมด!” จางเซวียนคลายแรงกดดันที่กดทับลู่ชงไว้และคำราม
“ได้…” จ้าวหย่า เจิ้งหยาง กับคนอื่นๆมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้ารับอย่างพร้อมเพรียง
เมื่อครู่นี้พวกเขายังคงกังวลเรื่องความปลอดภัยของท่านอาจารย์ แต่เมื่อได้เห็นอีกฝ่ายเล่นงานลู่ชงจนหมดสภาพได้ด้วยกระบวนท่าเดียว ความกังวลเหล่านั้นก็หายไปจากใจจนหมดสิ้น
แม้จะมาได้ไกลขนาดนี้แล้ว แต่ก็ดูเหมือนทุกอย่างระหว่างพวกเขากับท่านอาจารย์จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย ท่านอาจารย์ยังคงตำหนิพวกเขาและให้คำชี้แนะเรื่องวรยุทธ การเห็นความไม่เปลี่ยนแปลงอันนี้ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกๆ ทั้งอบอุ่นและปั่นป่วนในเวลาเดียวกัน
ทั้ง 6 คนพร้อมใจกันปล่อยรังสีของพวกเขาออกมา ทำให้บริเวณโดยรอบเกิดเสียงกึกก้องราวกับคลื่นยักษ์ในมหาสมุทรที่กำลังซัดสาด
ฟึ่บ!
จ้าวหย่าเป็นคนแรกที่โจมตี กระแสดาบฉีของเธอแผ่ซ่านไปทั่วพื้นที่ กวาดทุกอย่างที่อยู่โดยรอบด้วยพละกำลังมหาศาลของพายุเฮอริเคน พร้อมกันนั้น อีก 5 คนก็สำแดงกระบวนท่าของตัวเองโดยผนึกกำลังกัน พยายามทำให้แน่ใจว่าปิดกั้นจุดอ่อนทั้งหมดเอาไว้ได้และเสริมการโจมตีของจ้าวหย่าให้เฉียบคมและน่าสะพรึงยิ่งขึ้น
จางเซวียนยืนอยู่ท่ามกลางพายุ เขาดูเหมือนประภาคารโดดเดี่ยวที่ยืนตระหง่านอยู่ในทะเลปั่นป่วน พร้อมที่จะถูกคลื่นอันเกรี้ยวกราดกลืนกินได้ทุกขณะ
หากมองจากสายตาของคนนอก นี่ไม่ใช่การดวลที่ยุติธรรมเลย
จางเซวียนก้าวออกมาก้าวหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย
บึ้มมม!
ราวกับคลื่นพลังงานขนาดใหญ่นั้นถูกบังคับไว้ได้อย่างสิ้นเชิง กระแสพลังงานเกรี้ยวกราดที่กวาดอยู่กลางอากาศหยุดกึก ทั้งจ้าวหย่า เจิ้งหยาง และคนอื่นๆถอยกรูดไปหลายก้าวขณะที่รู้สึกได้ถึงการกระตุกอย่างแรงของพลังปราณที่อยู่ภายใน ทำให้ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือด
“นี่คือข้อบกพร่องข้อแรกของพวกคุณ!” จางเซวียนประกาศขณะเดินหน้าช้าๆ “ทำต่อไป!”
จ้าวหย่ากับพรรคพวกมองหน้ากันก่อนจะเข้าตีวงล้อมจางเซวียนอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่การผนึกกำลังกันของพวกเขาจะเสร็จสิ้น จางเซวียนก็ดีดนิ้ว แล้วทุกคนก็ถูกสอยกระเด็นไป
คราวนี้แต่ละคนได้รับบาดเจ็บสาหัสกว่าเดิม
“ทำต่อไป!”
ทุกคนเกือบหมดความอดทนแล้ว แต่ด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวของท่านอาจารย์ พวกเขาก็ได้แต่กัดฟันและเดินหน้า
พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!
ในทุกครั้ง แต่ละคนจะถูกสอยกระเด็นไปอย่างง่ายดายภายในช่วงเวลาเพียง 2 อึดใจ อาการบาดเจ็บรุนแรงเรื่อยๆ ทำให้รู้สึกราวกับว่าจะทรุดฮวบลงไปได้ทุกขณะ
สิ่งนี้ดำเนินไปหลายสิบหนกว่าที่จางเซวียนจะหยุดกระบวนการ เขาปล่อยกระแสพลังปราณเทียบฟ้าจากปลายนิ้วเข้าสู่ร่างของบรรดาลูกศิษย์ด้วยการโบกมือ พร้อมกันนั้นก็โยนขวดหยกขึ้นไปกลางอากาศและแบ่งหยดเลือดนักปราชญ์โบราณที่อยู่ภายในขวดให้ลูกศิษย์แต่ละคน
ฟิ้วววว!
การได้ซึมซับหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดทำให้บรรดาลูกศิษย์ของจางเซวียนฟื้นคืนพละกำลังได้อย่างรวดเร็ว บาดแผลก็สมานตัวและหายไป ภายใต้สถานการณ์ปกติ ระดับวรยุทธของพวกเขาควรจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง แทนที่จะเพิ่มสูงขึ้น มันกลับลดลง
ภายในไม่ถึง 10 นาที วรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 2-บรมครูนักปราชญ์ขั้นต้นของเจิ้งหยางก็ร่วงลงไปเป็นนักปราชญ์ขั้น 1-การสืบทอดสายเลือด และยังมีทีท่าว่าจะร่วงต่อไปอีก
วรยุทธของจ้าวหย่าร่วงจากขั้นการสืบทอดสายเลือดโลกจารึกลงไปเป็นสมบูรณ์แบบ
แต่สิ่งที่น่างุนงงก็คือแม้ระดับวรยุทธของพวกเขาจะตกฮวบ แต่กลับพบว่าประสิทธิภาพการต่อสู้เพิ่มสูงขึ้น
โดยเฉพาะกับลู่ชง เขาเป็นนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดขั้นต้น แต่ก็ถอยลงไปเป็นขั้นบรมครูนักปราชญ์หลังจากถูกท่านอาจารย์สั่งสอน แต่ถึงอย่างนั้น เขากลับรู้สึกว่าพลังจิตวิญญาณของเขาเพิ่มสูงและเข้มข้นกว่าเดิม ทำให้ปลดปล่อยพละกำลังที่มีอานุภาพทำลายล้างได้มากขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้น จิตวิญญาณของเขายังแสดงสัญญาณของการปกปิดตัวเองด้วย หากเขาเปิดเผยตัว ต่อให้นักรบที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดก็ยังทำใจให้เชื่อได้ยากว่าเป็นแค่จิตวิญญาณดวงหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าเขา
“แก่นสารของวรยุทธไม่ได้อยู่ที่ความเร็วในการยกระดับวรยุทธหรือความแข็งแกร่งที่คุณสำแดงออกมา ถ้าคุณไม่อาจสร้างรากฐานของคุณให้มั่นคง ก็ไม่มีทางจะไปได้ไกล ทำได้แค่สร้างปราสาททรายกลางอากาศ” เมื่อเห็นว่าบรรดาลูกศิษย์เริ่มจะเข้าใจรางๆถึงสิ่งที่เขาพยายามทำ จางเซวียนเอาสองมือไพล่หลังและตั้งข้อสังเกต
การศึกษาคือการชี้แนะลูกศิษย์ให้เดินไปตามเส้นทางที่เหมาะสมกับแต่ละคนมากที่สุด บรรดาลูกศิษย์ของเขาไม่ใช่เด็กน้อยที่จะต้องคอยตามประกบทุกย่างก้าวแล้ว แต่ทุกคนก็ยังมีทีท่าที่จะหลุดไปจากเส้นทางที่ถูกต้องทันทีที่พ้นจากคำชี้แนะของเขา
ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะไม่ชี้แนะวรยุทธหรือสั่งสอนคนเหล่านี้ด้วยการบีบบังคับให้เดินตามเส้นทางเดียวกับเขา สิ่งที่เขาอยากบอกกับบรรดาลูกศิษย์ก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าวรยุทธนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะรีบร้อนทำให้สำเร็จได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
กุญแจคือความอดทน
นี่คือเรื่องเดียวกันกับการที่เขายอมเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกมาเกือบเดือน เขาไม่รีบร้อนฝ่าด่านวรยุทธ แต่กลับรอคอยอย่างอดทนให้เกิดแรงบันดาลใจและภูมิปัญญาขึ้นมา
“ความคาดหวังของผมที่มีต่อพวกคุณไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็นนักปราชญ์โบราณ ผมอยากให้พวกคุณไปได้ไกลกว่านั้น!” จางเซวียนพูดอย่างเคร่งขรึม
“ถ้าพวกคุณไม่สามารถก้าวไปสู่การเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติได้ ก็ไม่จำเป็นต้องติดตามผมอีกแล้ว ลู่ชง ผมมอบพลังจิตวิญญาณให้คุณมากพอที่จะทำให้คุณสามารถสร้างรากฐานอันมั่นคงขึ้นได้ แต่คุณกลับทุ่มเททุกอย่างไปกับการยกระดับวรยุทธ ดังนั้น ผลที่ได้ก็คือพลังจิตวิญญาณของคุณที่หละหลวมมาก นี่คือสิ่งที่ผมสั่งสอนคุณหรือ? ในสภาพนี้ หากคุณพยายามฝ่าด่านคอขวด หลังจากสำเร็จวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดล่ะก็ คุณจะถูกการทดสอบสายฟ้าเล่นงานจนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านแน่!”
ทุกคนหน้าชาด้วยความอับอาย
พวกเขาเคยคิดว่าจะได้รับคำชมจากการที่ยกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว ใครจะไปคิดว่ากลับกลายเป็นความล้มเหลว?
แต่เรื่องนี้ก็บ่งบอกชัดว่าท่านอาจารย์เอาใจใส่พวกเขามากแค่ไหน ทุกคนรู้สึกตื้นตันขึ้นมาทันที
ในตอนนี้ บางสิ่งที่ดูจะเป็นความรู้สึกใหม่เริ่มเบ่งบานในสภาวะจิตของทุกคน