เจิ้งหยางไม่แยแสอวิ๋นเชียงที่กำลังเผชิญศึกหนักที่สุดในชีวิต รอยย่นบนหน้าผากของเขาชัดขึ้นเรื่อยๆขณะเดินวนรอบแผ่นหินเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด จากนั้นก็หันกลับไปมองเว่ยหรูเหยียน
เว่ยหรูเหยียนพยักหน้ารับ ราวกับจะยืนยันการตัดสินใจของเจิ้งหยาง
เจิ้งหยางสูดหายใจลึกก่อนจะถอยออกมาหลายก้าว จากนั้นก็ใช้หอกจ้วงแทงด้วยพละกำลังหนักหน่วง
ครืนนนน!
คลื่นความสั่นสะเทือนของมิติปรากฏขึ้นกลางอากาศขณะที่หอกปะทะกับใจกลางแผ่นหิน
เคร้งงงง!
เสียงของค่ายกลที่ถูกทำลายดังกึกก้องไปทั่วขณะที่แผ่นหินสั่นสะท้าน รอยร้าวขนาดใหญ่ปรากฏที่พื้น เกิดเป็นทางเดินที่มุ่งลงสู่ด้านล่าง
ทางเดินนั้นปราศจากกลิ่นเหม็นอับชื้น แต่มีกลิ่นอายของบางอย่างที่ดูโบร่ำโบราณและกระหายเลือด ราวกับเป็นเส้นทางที่นำไปสู่โลกบาดาล
“ไปดูกัน!”
เจิ้งหยางผู้กล้าหาญคือคนแรกที่ก้าวเข้าสู่ทางเดินนั้น เว่ยหรูเหยียนตามไปติดๆ
ทางเดินมืดทะมึนและค่อนข้างชื้น ตัวอักษรจารึกบนผนังปิดตายทางเดินไว้ ผู้ที่ยังมีระดับวรยุทธไม่ถึงขั้นนักปราชญ์โบราณจะไม่มีทางรู้ว่ามีมันอยู่
“ดูเหมือนจะเป็นเส้นทางที่สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคสมัยของปรมาจารย์ขง…” เว่ยหรูเหยียนพูดขณะ พิจารณาโดยรอบอย่างถี่ถ้วน
อันที่จริง ทางเดินนี้ยังดูเหมือนใหม่ แต่กรรมวิธีการก่อสร้างและอักษรจารึกที่ปรากฏบ่งบอกชัดถึงยุคสมัยโบร่ำโบราณ ทำให้พอคาดเดาอายุของมันได้
ทั้งคู่มุ่งหน้าไปตามทางเดินแล้วเดินไปอีกหลายสิบลี้ ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงก่อนจะมาถึงห้องโถงที่สร้างขึ้นจากหิน
เจิ้งหยางกุมหอกของเขากระชับอก พร้อมรับมือกับสถานการณ์อันคาดไม่ถึงใดๆก็ตามที่อาจเกิดขึ้น ส่วนเว่ยหรูเหยียนก็สะบัดข้อมือและติดไข่มุกกระจ่างราตรีไว้ที่ผนังโดยรอบ นำแสงสว่างมาสู่พื้นที่นั้น
ห้องโถงที่สร้างขึ้นจากหินมีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 40 เมตร บริเวณใจกลางห้องคือโลงศพที่ทำจากหินสีน้ำเงิน มันแผ่รังสีของประวัติศาสตร์โบร่ำโบราณออกมา
“ที่นี่มีแต่โลงศพหรือ?” เว่ยหรูเหยียนขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ
ใครกันที่บ้าบอขนาดสร้างทางเดินที่ยาวตั้งหลายสิบลี้ลงสู่ห้องใต้ดิน ปิดกั้นมันไว้ด้วยแผ่นหินที่มีแต่นักปราชญ์โบราณเท่านั้นที่จะเข้าถึงได้ แต่แล้วก็ใช้เป็นที่เก็บรักษาโลงศพเพียงใบเดียว?
ดูเหลวไหลสิ้นดี!
เจิ้งหยางค่อยๆย่องเข้าหาโลงศพด้วยความงุนงง เขาเงื้อหอกขึ้น ตั้งใจจะใช้มันแงะฝาโลง ก็พอดีกับที่รังสีคมปลาบแผ่ซ่านออกจากโลงศพนั้น จากนั้นมือของเขาก็กระตุก
ตุ้บ!
หอกของเจิ้งหยางร่วงลงพื้น ราวกับกำลังคารวะโลงศพ
“เกิดอะไรขึ้น?” เมื่อเห็นบางอย่างผิดปกติ เว่ยหรูเหยียนรีบรวบรวมรังสีพิษของเธอแล้วรี่เข้ามา พร้อมเสริมกำลังให้เจิ้งหยาง
“หอกของผมถูกเจตจำนงเพลงหอกของใครคนหนึ่งขัดขวางไว้ ดูเหมือนร่างที่อยู่ในโลงศพจะเข้าถึงเจตจำนงเพลงหอกในระดับขั้นที่สูงกว่าผม!” เจิ้งหยางตอบอย่างอัศจรรย์ใจ
แม้หอกของเขาจะไม่ใช่ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณ แต่เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดกับเขามานาน มันจึงเก่งกาจไม่เป็นสองรองใคร แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกบีบให้ต้องโค้งคำนับด้วยอาการยอมจำนนให้กับโลงศพ เห็นได้ชัดว่าใครก็ตามที่อยู่ในโลงศพมีอำนาจควบคุมเจตจำนงเพลงหอกในระดับที่เหนือชั้นกว่าเขา ทำให้หอกของเขาไม่อาจสำแดงแสนยานุภาพใดๆออกมา
“เดี๋ยว…คุณจะบอกฉันว่าไอ้ที่อยู่ในโลงศพน่ะมีศิลปะเพลงหอกเหนือชั้นกว่าคุณอีกหรือ?” เว่ยหรูเหยียนแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
ศิษย์พี่ของเธอร่ำเรียนศิลปะเพลงหอกของเขาจากท่านอาจารย์โดยตรง และเข้าถึงแก่นสารของเพลงหอกแล้ว ไม่ใช่เรื่องตลกหากจะพูดว่าเขาคือนักรบผู้เชี่ยวชาญเพลงหอกที่มีความไร้เทียมทานเป็นที่ 2 ในยุคสมัยของเขา แต่ถึงอย่างนั้น อีกฝ่ายกลับบอกว่าสิ่งที่อยู่ในโลงศพนั่นเก่งกาจกว่าเขาเสียอีก
เป็นไปได้อย่างไร?
“ถึงอย่างไรเราก็ต้องเปิดดู ศิษย์น้อง ผมอยากให้คุณช่วยผม ใช้กำลังบังคับให้โลงเปิดที!” เจิ้งหยางพูด
เว่ยหรูเหยียนพยักหน้ารับ
ทั้งสองเข้าประจำตำแหน่งที่ปลายแต่ละด้านของโลงศพ ด้วยการมองหน้ากันอย่างเข้าอกเข้าใจ เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนยกมือขึ้นพร้อมกันแล้วจับมันไว้แน่น
ทั้งคู่เป็นนักปราชญ์โบราณที่ได้รับคำชี้แนะเป็นการส่วนตัวจากจางเซวียนตลอดระยะเวลา 1 เดือน ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขาจึงเพิ่มขึ้นอีกมาก ต่อให้นักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดก็ย่อมจนมุมหากเจอกับการผนึกกำลังกันของทั้งคู่ นับประสาอะไรกับโลงศพใบเดียว!
เอี๊ยดดดด!
เสียงเสียดสีเอี๊ยดอ๊าดดังก้องไปทั่วขณะปรากฏรอยร้าวบนโลงศพ รังสีอันทรงพลังพุ่งขึ้นสู่กลางอากาศ พร้อมจะทำลายถ้ำใต้ดินให้พังลงมา
เจิ้งหยางรีบสกัดกั้นรังสีนั้นไว้ด้วยการโบกมือ และหลังจากแน่ใจแล้วว่ามันไม่รั่วไหลออกไป เขาก็ ดำเนินการต่อ
รังสีของนักปราชญ์โบราณนั้นมีธรรมชาติทำลายล้าง หากรั่วไหลออกไปแม้เพียงเสี้ยวเดียวก็อาจสร้างความเสียหายใหญ่โตได้ แน่นอนว่านักรบระดับพวกเขารับมือกับมันได้สบาย แต่จะไม่เป็นอย่างนั้นกับบรรดาพลเมืองของเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทียนเซวียน
ความเลินเล่อเพียงเล็กน้อยของพวกเขาอาจนำมาซึ่งความตายของผู้คนมากมาย
เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนเดินเข้าหาโลงศพ จากนั้นก็มองเข้าไป เห็นศพหนึ่งนอนนิ่งอยู่ข้างใน แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี แต่ร่างนั้นก็ยังมีเลือดเนื้ออยู่ครบ มองเผินๆเหมือนคนกำลังนอนหลับ
“มันเป็นศพของนักปราชญ์โบราณ…”
ทั้งคู่เลิกคิ้ว
มีแต่ศพของนักปราชญ์โบราณเท่านั้นที่ยังคงความน่าสะพรึงไว้ได้แม้จะตายไปแล้ว มีแต่ศพของนักปราชญ์โบราณเท่านั้นที่ไม่เน่าเปื่อย คงรูปลักษณ์ภายนอกไว้ได้อย่างดีแม้เวลาจะผ่านไปหลายหมื่นปี
“นี่คือ”
เจิ้งหยางมองศพนั้นใกล้ๆ เขาพลันนึกอะไรได้บางอย่างที่ทำให้หน้าซีดเผือดและตัวแข็งด้วยความตกตะลึง
“มีอะไร?” เว่ยหรูเหยียนตั้งคำถาม
แม้ทั้งคู่จะไม่ได้สนทนาพาทีกันบ่อยนัก แต่เธอก็รู้จักนิสัยของเจิ้งหยางดี ศิษย์พี่ของเธอคนนี้เป็นคนกล้าหาญและหุนหันพลันแล่น ออกจะน่าแปลกที่ได้เห็นเขาตัวสั่นเพียงเพราะศพร่างเดียว
“เขาคือ…นักปราชญ์โบราณหรันชิว!” เจิ้งหยางอุทานออกมาขณะกำหมัดแน่น
“นักปราชญ์โบราณหรันชิว? คุณหมายถึงศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขงที่มีประสิทธิภาพการต่อสู้แข็งแกร่งสูงสุดและเป็นผู้ก่อตั้งสภายอดขุนพลใช่ไหม?” เว่ยหรูเหยียนถึงกับผงะ
“ใช่!” เจิ้งหยางสูดหายใจลึกเพื่อระงับสติอารมณ์
นักปราชญ์โบราณหรันชิวเป็นหนึ่งในสิบสุดยอดนักปราชญ์ที่อยู่ภายใต้คำชี้แนะของปรมาจารย์ขง เขาคือนักปราชญ์โบราณที่แข็งแกร่งที่สุดรองลงมาจากตัวปรมาจารย์ของเอง ลำพังแค่ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาคือผู้ก่อตั้งสภายอดขุนพลก็เป็นเครื่องยืนยันถึงพละกำลังและความแข็งแกร่งแล้ว
มี 2 ครั้งที่เจิ้งหยางได้คุกเข่าต่อหน้ารูปปั้นของนักปราชญ์โบราณหรันชิว คือตอนที่เขาได้รับตำแหน่งทายาทยอดขุนพล และหัวหน้าสภายอดขุนพล รูปปั้นนั้นมีหน้าตาเหมือนศพที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างไม่ผิดเพี้ยน ทำให้เขาจดจำอีกฝ่ายได้แม้มองเพียงแวบเดียว
ไม่น่าเชื่อว่าศพของหนึ่งในศิษย์สายตรงผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของปรมาจารย์ขง, นักปราชญ์โบราณที่แข็งแกร่งเป็นที่ 2 ในโลก…จะถูกฝังอยู่ที่นี่
เรื่องนี้ไม่มีบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์!
ไม่แปลกใจแล้วที่หอกของเขาโค้งคำนับให้ทันทีที่พบกับโลงศพ นักปราชญ์โบราณหรันชิวเป็นผู้เชี่ยวชาญเพลงหอก และหอกสวรรค์กระดูกมังกรก็เป็นอาวุธที่เขาหลอมด้วยตัวเอง
ความจริงที่ว่าอีกฝ่ายสามารถหลอมอาวุธที่ทรงพลังขนาดนั้นบ่งบอกถึงความเข้าใจอันล้ำลึกของเขาในศิลปะเพลงหอก ชัดเจนว่าความเข้าใจในศิลปะเพลงหอกของนักปราชญ์โบราณหรันชิวย่อมเหนือกว่าตัวเขาแน่
เมื่อหายตะลึง เจิ้งหยางหันกลับมาสั่งการ “ศิษย์น้อง ผมอยากให้คุณรีบกลับไปรายงานเรื่องนี้ให้ท่านอาจารย์รับทราบโดยเร็วที่สุด ระหว่างนี้ผมจะอารักขาที่นี่ไปก่อน!”
เรื่องนี้ใหญ่กว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก ด้วยความสำคัญของมัน ย่อมเป็นการดีที่สุดหากจะพาท่านอาจารย์มาเพื่อขอคำชี้แนะและตัดสิน
“ได้”
เว่ยหรูเหยียนเข้าใจการตัดสินใจของเจิ้งหยาง เธอหันหลังกลับและพุ่งกลับสู่ด้านบนทันที
หลังจากที่เว่ยหรูเหยียนจากไป เจิ้งหยางเดินวนรอบโลงศพอย่างช้าๆ ตั้งใจจะพิจารณาร่างของผู้อาวุโสที่เป็นผู้ก่อตั้งสภายอดขุนพล แต่ทันใดนั้น เสียงของกลไกอย่างหนึ่งก็ดังกึกก้องเป็นชุดขึ้นกลางอากาศ ทางเดินอีกเส้นทางหนึ่งปรากฏขึ้นใต้โลงศพนั้น
เจิ้งหยางลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนในที่สุดจะตัดสินใจลงไปสำรวจ
พรึ่บ!
ทันทีที่เขาก้าวเข้าสู่ทางเดินใหม่ รังสีที่อยู่ด้านบนก็หายวับไป
เส้นทางนี้ขังเขาไว้แล้ว!
เมื่อเจอกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง เจิ้งหยางขมวดคิ้วอย่างงุนงง แต่ไม่ตกใจ เขานำไข่มุกกระจ่างราตรีออกมาลูกหนึ่งก่อนจะเดินลึกลงไป อีกสองสามก้าวต่อมาก็พบห้องโถงขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า รูปแบบของมันเหมือนกันเป๊ะกับห้องโถงเมื่อครู่ มีโลงศพอีกโลงหนึ่งตั้งอยู่ใจกลางห้อง
เจิ้งหยางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินไปหาโลงศพ เขาพยายามงัดฝาโลงเพื่อจะดูร่างที่อยู่ในนั้น
เมื่อเข้าใกล้ศพขึ้นอีกหน่อย หัวสมองของเขาก็เกิดการระเบิดย่อมๆ เขาถอยกรูดไปหลายก้าวจนแผ่นหลังกระแทกผนัง แต่ถึงอย่างนั้น ความอึ้งตะลึงก็ยังไม่จางไป
เป็นครู่ใหญ่กว่าเสียงแหบแห้งจะหลุดรอดจากลำคอของเจิ้งหยาง “ปะ-ปรมาจารย์ขง?”