จางเซวียนมองบรรดาร่างสูงตระหง่านที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศก่อนจะเลิกคิ้ว
น่าประหลาดใจที่มีสองใบหน้าที่คุ้นตาอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย ทั้งสองคือหนานกงหยวนเฟิงกับถานไท่เจินชิงซึ่งเคยไปเยือนตระกูลหลัวกับตระกูลจางเมื่อไม่นานมานี้
เหล่านักปราชญ์โบราณจากร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์มักใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการจำศีลเพื่อยืดอายุขัย ภารกิจต่างๆนานาจึงถูกส่งมอบให้กับนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จัดการแทน เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่มีตำแหน่งสูงส่งในสำนักแห่งขงจื๊อ
ผู้เชี่ยวชาญที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกที่ยืนอยู่แถวหน้ากวาดสายตามองฝูงชน ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงกึกก้อง “ยินดีต้อนรับ พวกคุณคือทายาทที่ปราดเปรื่องที่สุดจากตระกูลต่างๆของ 72 นักปราชญ์ ผมเชื่อว่าทุกคนคงฝ่าฟันมาแล้วมากมายกว่าจะมาไกลได้ขนาดนี้!”
“แต่ถึงอย่างนั้น เราก็มีทรัพยากรจำกัด และผมเชื่อว่าผมคงไม่ต้องพูดอะไรมากนักเกี่ยวกับเกณฑ์การรับคนเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อของเรา เราเปิดรับเพียง 100 ที่นั่งเท่านั้นในแต่ละปี ซึ่งปีนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”
“ในปีนี้ เรามีผู้สมัครทั้งหมด 2,143 คน ซึ่งหมายความว่าจะมีเพียง 1 ใน 20 คนเท่านั้นที่ได้เข้าร่วมกับพวกเรา พวกคุณจะต้องมอบชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อให้ได้เป็นหนึ่งในผู้ที่ยืนหยัดจนถึงวินาทีสุดท้ายของการสู้รบอันดุเดือดครั้งนี้ ถ้าคุณหวาดกลัวล่ะก็ ผมขอให้คุณจากไปเสียตอนนี้เลย!”
“สำนักแห่งขงจื๊อรับเพียง 100 คนเท่านั้นหรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว
ผู้สมัครกว่าสองพันคนที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ล้วนแต่เป็นอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องอย่างน่าทึ่งที่สำเร็จวรยุทธระดับเซียนขั้น 9 ตั้งแต่อายุ 20 กว่าปี หากเป็นในทวีปแห่งปรมาจารย์ อัจฉริยะระดับนี้จะต้องก้าวขึ้นสู่การเป็นกลุ่มอำนาจหลักในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สำนักแห่งขงจื๊อกำลังจะคัดพวกเขาออกเป็นจำนวนมากมาย…
การทดสอบครั้งนี้ออกจะเข้มงวดไปหน่อยไหม?
เห็นความงงงันของจางเซวียน วัยรุ่น 1 ใน 2 คนที่ยืนอยู่ข้างเขาพูดขึ้น “หัวหน้าตระกูลไม่ได้บอกไว้แล้วหรือก่อนจะมาที่นี่? สำนักแห่งขงจื๊อเข้มงวดอย่างนี้เสมอแหละ อีกอย่าง…ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับตระกูลของเรานี่?”
ชื่อของเขาคือฟ่านเฉี่ยวชิง และถึงแม้วรยุทธของเขาจะด้อยกว่าฟ่านเฉี่ยวฉู แต่ก็เป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดเช่นกัน
“ไม่ต่าง…หมายความว่าไง?”
“การคัดเลือกไงล่ะ! ทุกปีจะมีการทดสอบที่จัดขึ้นสำหรับพวกเรา ผู้ที่ไม่ผ่านการทดสอบจะถูกตัดสิทธิ์ในการได้รับทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธและเทคนิควรยุทธ ทำให้สูญเสียโอกาสในการฝึกฝนวรยุทธไป คุณลืมแล้วหรือว่าเราต้องผ่านการสู้รบมามากมายแค่ไหนกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้?” ฟ่านเฉี่ยวชิงส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ
“ผมจะลืมเรื่องนั้นได้อย่างไร? แค่รู้สึกหดหู่กับความเข้มงวดครั้งนี้” จางเซวียนตอบขณะยิ้มกลบเกลื่อนความประหลาดใจ
จัดการทดสอบขึ้นทุกปีและคัดผู้ที่ไม่ผ่านการทดสอบออกไป รวมทั้งตัดสิทธิ์ในการเข้าถึงทรัพยากรเพื่อการฝึกฝนวรยุทธ…ตระกูลที่มีกฎเกณฑ์แบบนี้ดูจะโหดร้ายไปหน่อยไหม?
เป้าหมายของปรมาจารย์ขงคือการบ่มเพาะเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้ทรงพลังและกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญไม่ใช่หรือ?
ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ถึงจงใจผลักไสคนของตัวเองไม่ให้ได้รับทรัพยากรที่จำเป็นต่อความเจริญก้าวหน้าของพวกเขา?
“การทดสอบในปีนี้ต่างจากปีก่อนเล็กน้อย แต่จะง่ายกว่าเดิมมาก ผมเชื่อว่าพวกคุณทุกคนคงรู้แล้วว่าภูเขาที่อยู่ตรงหน้าเราถูกปิดกั้นไว้ ภูเขานี้จะเป็นเส้นทางสำหรับการทดสอบของพวกคุณ ก่อนจะเข้าสู่ภูเขา เราจะให้พวกคุณทุกคนติดตราหยกทะลุมิติไว้ที่หน้าอก ทันทีที่คุณทำมันแตกหักเสียหาย ก็จะถูกส่งทะลุมิติออกไป ทำให้หมดโอกาสเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อ”
“คุณสามารถหาพันธมิตรหรือโจมตีคนอื่นๆได้ ไม่มีข้อห้ามเรื่องนั้น โดยตราบใดที่คุณยังเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิต 100 คนสุดท้าย ก็จะถือว่าผ่านการทดสอบและได้รับสิทธิ์ให้เข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อ” ชายวัยกลางคนที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกซึ่งยืนอยู่แถวหน้าประกาศ
“เราจะถูกส่งทะลุมิติออกไปทันทีถ้าตราหยกทะลุมิติที่เราติดไว้แตกหักเสียหายอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ยุติธรรมเลย! ถ้าใครสักคนที่มีความสามารถในการอำพรางตัวเองซ่อนตัวอยู่ขณะที่พวกเราเข้าสู่ภูเขาล่ะ? ในเมื่อไม่มีใครหาตัวเขาเจอ ก็หมายความว่าเขาสามารถผ่านการทดสอบได้โดยไม่ต้องต่อสู้เลย…อย่างนั้นสิ?”
“แบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรสำหรับผู้ที่มีทักษะด้านค่ายกล ถ้าเขาติดตั้งกลไกป้องกันตัวไว้ ก็จะไม่มีใครเล่นงานเขาได้”
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าทุกคนซ่อนตัวและเราไม่สามารถกำจัดใครได้เลย?”
เสียงพูดคุยถกเถียงเซ็งแซ่ดังจากกลุ่มวัยรุ่นที่อยู่ด้านล่าง
พวกเขาเคยคิดว่าการทดสอบครั้งนี้จะเป็นรูปแบบเดียวกันกับปีก่อนๆ อย่างเช่นการประลองหรือ การทดสอบในรูปแบบต่างๆ ใครจะไปคิดว่ามันจะเป็นแค่การต่อสู้แบบคัดคนกลุ่มใหญ่ออก?
“ไม่ต้องห่วง ในเมื่อพวกเราตั้งกติกาได้ ก็ไม่มีทางที่เราจะปล่อยให้เกิดปัญหาแบบนั้น สำนักแห่งขงจื๊อจะส่งกองกำลังลาดตระเวนออกไปเพื่อคอยกำจัดผู้ที่ซ่อนตัวหรือจงใจหลีกเลี่ยงการต่อสู้ อีกอย่าง ระยะเวลาของการต่อสู้ก็ยาวนานเพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้น ถ้าจำนวนของพวกคุณยังไม่ลดลงจนเหลือเพียง 100 คนเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาของการทดสอบ เราจะถือว่าพวกคุณทุกคนไม่ผ่านการทดสอบครั้งนี้!” ชายวัยกลางคนที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกพูด
“6 ชั่วโมง?”
“กองกำลังลาดตระเวน?”
ทุกคนตาโตด้วยความประหลาดใจ
ยังมีบางคนที่คิดว่าพวกเขาจะสามารถฝ่าฝืนกฎเพื่อให้ผ่านการทดสอบได้โดยง่าย แต่ตอนนี้ก็ไม่กล้าคิดแบบนั้นแล้ว
การกำจัดคนมากกว่าสองพันคนภายในเวลา 6 ชั่วโมงไม่ใช่เรื่องง่าย เพื่อให้แน่ใจว่าจำนวนของผู้เข้าทดสอบจะลดลงจนเหลือเพียง 100 คนเมื่อหมดเวลา พวกเขาจะต้องไล่ล่ากันเอง อีกอย่าง ใครที่กล้าซ่อนตัวก็เสี่ยงกับการจะถูกกองกำลังลาดตระเวนกำจัด
พูดอีกอย่างก็คือหากพวกเขาอยากเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตร้อยคนที่ยืนหยัดจนถึงช่วงสุดท้าย ก็จะต้องพยายามสุดตัวที่จะกำจัดคนอื่นๆให้ได้
ชายวัยกลางคนที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกจ้องมองฝูงชนหลังจากเสร็จสิ้นการอธิบายกติกาทั้งหมด “มีคำถามอื่นไหม?”
“ไม่มี!” ฝูงชนตอบเป็นเสียงเดียวกัน
ชายผู้นั้นโบกมือ แล้วแท่นขนาดใหญ่ก็ยกตัวขึ้นท่ามกลางฝูงชน บนนั้นมีตราหยกอยู่หลายพันอัน
“ยืนยันตัวตนของพวกคุณแล้วนำตราหยกไป” เขาสั่งการ
วัยรุ่นคนหนึ่งเดินเข้าไปที่แท่น เขากัดนิ้วแล้วหยดเลือดลงไป
วิ้งงงง!
เกิดเสียงหึ่งเบาๆขณะที่ถ้อยคำแถวหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือแท่น : นักปราชญ์โบราณจื่อฉี
ฟึ่บ!
เมื่อสายเลือดของเขาได้การยอมรับ ตราหยกก็ลอยขึ้นมากลัดติดเข้าที่หน้าอกของเขา
จากนั้น วัยรุ่นคนที่ 2 ก็เดินไปที่แท่น
“กระบวนการของพวกเขาช่างเข้มงวดจริงๆ…” เห็นภาพนั้น จางเซวียนยกมือทาบอกอย่างโล่งใจ
โชคดีที่เขาได้เล่นงานฟ่านเฉี่ยวฉูจนสลบไปและปลอมตัวเป็นอีกฝ่าย ถ้าเขาไม่ได้ส่งเจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนไปที่อื่นล่ะก็ การปลอมตัวของทั้งคู่จะต้องถูกจับไต๋ได้ด้วยกรรมวิธีการยืนยันตัวตนแบบนี้อย่างแน่นอน ซึ่งจะทำให้ถูกร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์เล่นงาน
ฝูงชนที่อยู่รอบตัวจางเซวียนค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าหาแท่นนั้น ไม่ช้าก็ถึงตาของจางเซวียนในการรับตราหยก เขาหยดเลือดลงไปบนแท่นและรับตราหยกมาได้สำเร็จ
จากนั้น ฟ่านเฉี่ยวชิงกับวัยรุ่นอีกคนหนึ่ง คือฟ่านเฉี่ยวเฟิง ก็ก้าวเข้าไป
ภายในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง ผู้เข้ารับการทดสอบกว่าสองพันคนก็ได้รับตราหยกที่พวกเขาจะต้องมอบชีวิตเพื่อปกป้องมันตลอดระยะเวลาของการทดสอบ
“ดีมาก รีบมุ่งหน้าไปยังภูเขา ทันทีที่ผู้เข้ารับการทดสอบคนสุดท้ายเหยียบย่างเข้าสู่ภูเขา เราก็จะเริ่มนับถอยหลังเป็นเวลา 6 ชั่วโมง!” ชายวัยกลางคนที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกโบกมืออย่างวางมาด
ฟึ่บ!
ฉนวนที่ปิดกั้นภูเขาถูกเปิดออก ทุกคนพุ่งขึ้นสู่ยอดเขาทันที
ผู้ที่ไปถึงก่อนจะมีสิทธิ์เลือกชัยภูมิที่ได้เปรียบ ทำให้มีโอกาสสูงกว่าเดิมที่จะผ่านการทดสอบ
ฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิงตั้งใจจะรีบไป แต่แล้วก็รู้สึกว่าถูกดึงชายเสื้อไว้
ผู้นั้นคือฟ่านเฉี่ยวฉู
“พวกเราน่าจะถูกบังคับให้แยกกันหลังจากที่เข้าสู่ภูเขา เพราะฉะนั้น รีบหาที่ซ่อนก่อนนะ แล้วผมจะไปตามหาพวกคุณ!”
จางเซวียนรู้ว่ามีค่ายกลทะลุมิติถูกติดตั้งไว้ในอาณาบริเวณรอบภูเขา จึงมีความเป็นไปได้ว่าผู้เข้ารับการทดสอบจะถูกส่งทะลุมิติแบบสุ่มไปยังพื้นที่ต่างๆกัน
ไม่อย่างนั้น หากผู้ที่มาจากตระกูลเดียวกันสามารถรวมหัวกันต่อสู้ได้ ก็จะเป็นการสู้รบที่ไม่ยุติธรรม
“ซ่อนตัว?” ฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิงขมวดคิ้ว
อันที่จริง ทั้งสามไม่ได้ทรงพลังมากนัก ต่อให้ผนึกกำลังกันก็ตาม และมีแต่จะกลายเป็นเป้านิ่งที่ชัดเจนขึ้นให้คนอื่นโจมตีหากยังเกาะกลุ่มกันแบบนี้ จึงน่าจะดีกว่าหากเข้าไปโดยทางใครทางมัน
“ฟังผมก่อน ผมแน่ใจว่าพวกเราทุกคนจะผ่านการทดสอบไปได้!” จางเซวียนพูดอย่างมั่นใจ
ในเมื่อเขาเล่นงานฟ่านเฉี่ยวฉูตัวจริงไปและสวมรอยเป็นอีกฝ่ายแล้ว ก็ควรจะมอบบางอย่างกลับคืนให้กับทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อบ้างเป็นการชดใช้
เห็นฟ่านเฉี่ยวฉูยืนกราน ฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “…อย่างนั้นก็ได้!”
จางเซวียนไม่ยอมอธิบายว่าเขาจะไปตามหาทั้งคู่อย่างไรหลังจากที่ทั้งคู่ซ่อนตัว เขายิ้มน้อยๆ จากนั้นก็โผขึ้นสู่ภูเขาอย่างรวดเร็ว
วิ้งงงง!
ค่ายกลทะลุมิติเรืองแสงจางๆออกมาคลุมร่างของเขาไว้ ทำให้เขาหายวับไป