ฟ่านเฉี่ยวเฟิงรู้สึกเหมือนฝัน
ฟ่านเฉี่ยวฉูแข็งแกร่งกว่าเขามาตลอด แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ภายในระยะเวลาไม่นาน ไม่เพียงแต่เขาจะได้เห็นอีกฝ่ายเอาชนะเหยียนอี้เฉี่ยวกับทีมได้อย่างง่ายดาย ยังเห็นหมอนั่นโยนสมาชิกของกองกำลังลาดตระเวนที่มาตรวจสอบเรื่องราวของพวกเขาออกไปด้วย…จับกองกำลังลาดตระเวนโยนออกไปนอกภูเขาทีละคนสองคน เรื่องนี้ช่างน่าทึ่ง!
“ระวังตัวด้วย เฉี่ยวเฟิง มีคนขวางทางเราอยู่!” เสียงของฟ่านเฉี่ยวฉูดังขึ้น
เมื่อเงยหน้ามอง ก็เห็นชายหนุ่ม 2 คนยืนขวางทาง
“ผมจะไม่ปล่อยกระบวนท่านะ พยายามทำในสิ่งที่ผมเคยบอกคุณเมื่อครู่ก่อน”จางเซวียนสั่งการ
“ได้!” รู้ดีว่านี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้บ่มเพาะตัวเอง ฟ่านเฉี่ยวเฟิงกัดฟันและพุ่งออกไป
ตอนที่เขาต่อสู้กับหัวหน้าทีมวัยรุ่นทั้ง 3 ก่อนหน้านี้ ฟ่านเฉี่ยวฉูได้ให้คำชี้แนะบางส่วนเกี่ยวกับสไตล์การต่อสู้กับเขา เมื่อนำสิ่งเหล่านั้นมาปฏิบัติจริง ก็พบว่ากระบวนท่าของเขาลื่นไหลและเป็นธรรมชาติกว่าที่เคย เขาอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบกว่าเดิมมากในการจะรับมือกับใครก็ตามที่มาขวางทาง
ไม่ช้า ฟ่านเฉี่ยวเฟิงก็กำจัดวัยรุ่น 2 คนที่ขวางทางเขาได้สำเร็จ
“คำชี้แนะที่คุณมอบให้ยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ของผมได้จริงๆ…” เห็นวัยรุ่น 2 คนถูกส่งทะลุมิติออกไป ฟ่านเฉี่ยวเฟิงได้แต่ตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาคงต้องเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยกว่าจะกำจัดได้สักคน แต่ตอนนี้ เขาพบว่าตัวเองตอบโต้ทุกการโจมตีของคนเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย แถมยังเล่นงานทั้งสองคนได้อย่างรวดเร็วด้วย
เมื่อหันกลับมามองฟ่านเฉี่ยวฉูอีกครั้ง สิ่งที่อยู่ในดวงตาของฟ่านเฉี่ยวเฟิงก็ไม่ใช่ความยำเกรงอีกต่อไป แต่เป็นความเคารพยกย่อง
เห็นชายหนุ่มจากตระกูลฟ่านได้รับความรู้จากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ จางเซวียนเสริม “การต่อสู้ในรูปแบบของการปฏิบัติจริงเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการพัฒนาตัวเอง จริงอยู่ว่ากติกาของการทดสอบแบบคัดออกนี้มีข้อบกพร่องอยู่มากมาย แต่มันก็ทำให้ทุกคนเกิดความฮึดสู้และกระตุ้นให้ผู้เข้าทดสอบเกิดการพัฒนา ทำให้พวกเขามั่นใจในตัวเองกว่าแต่ก่อน…เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหา สิ่งแรกที่คุณควรทำไม่ใช่การคิดว่าจะหลบหนีมันอย่างไร แต่คือการคิดว่าจะรับมือกับมันอย่างไร!”
ปฏิเสธไม่ได้ว่าโชคชะตามีบทบาทสำคัญต่อการทดสอบรูปแบบนี้ หากผู้เข้าทดสอบสักคนพบคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่เริ่ม ก็มีโอกาสที่จะถูกคัดออกในทันที แต่บรรดาผู้เข้าทดสอบก็สามารถรวมตัวกันเป็นพันธมิตรได้ ซึ่งหมายความว่า 100 คนสุดท้ายที่เหลืออยู่อาจไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด
แต่แล้วอย่างไรล่ะ?
ผู้ที่อดทนผ่านการทดสอบไปได้ย่อมมีความมั่นใจในตัวเองสูงกว่าเดิม และระดับวรยุทธของพวกเขาก็จะพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วนับจากนั้น
ถ้าคนสองคนมีความปราดเปรื่องทัดเทียมกัน สิ่งที่จะสร้างความแตกต่างระหว่างทั้งคู่ก็คือสภาวะจิตและเรื่องราวต่างๆในชีวิตที่พวกเขาได้เผชิญ
หลังจากเล่นงานคู่ต่อสู้ไปแล้ว 2-3 คน ฟ่านเฉี่ยวเฟิงก็มั่นใจในตัวเองขึ้นกว่าเดิมมาก “ใช่!”
เป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูด ปฏิกิริยาแรกของเขาเมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้คือการคิดว่าจะหลบหนีและเอาตัวรอดอย่างไร แต่ตอนนี้ ความคิดที่เข้ามาแทนที่ในหัวสมองของเขาก็คือเขาจะกำจัดคู่ต่อสู้ ให้มีประสิทธิภาพที่สุดได้อย่างไรมากกว่า
ทัศนคติที่เปลี่ยนแปลงไปจะทำให้อนาคตของฟ่านเฉี่ยวเฟิงในฐานะนักรบแตกต่างไปจากเดิมด้วย
เห็นฟ่านเฉี่ยวเฟิงเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อ จางเซวียนพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้ “การโจมตีย่อมดีกว่าการตั้งรับเสมอ!”
สมกับเป็นอัจฉริยะของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ ความปราดเปรื่องของอีกฝ่ายมีมากกว่าเหล่าปรมาจารย์ที่เขาเคยสั่งสอนมา
แต่แน่นอนว่าก็ยังห่างไกลหากจะเทียบชั้นกับเหล่าศิษย์สายตรงของเขา
ขณะกำลังเดินทางไปพบฟ่านเฉี่ยวชิง จางเซวียนก็ให้คำชี้แนะกับฟ่านเฉี่ยวเฟิงต่อไป ด้วยการใช้การรับรู้จิตวิญญาณ เขารู้ดีว่าฟ่านเฉี่ยวชิงไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย จึงไม่ได้รีบร้อนอะไร
ตลอดการเดินทาง บรรดาผู้เข้าทดสอบที่พวกเขาได้พบก็ถูกกำจัดไปอย่างง่ายดาย ซึ่งการต่อสู้เหล่านั้นก็บ่มเพาะทักษะของฟ่านเฉี่ยวเฟิงให้แข็งแกร่งขึ้น เขามั่นใจในตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ
1 ชั่วโมงต่อมา ทั้งคู่ก็มาถึงชายป่าที่อยู่ข้างลำธารในภูเขา จุดที่ฟ่านเฉี่ยวชิงเลือกเป็นที่หลบซ่อน
ฟ่านเฉี่ยวชิงในตอนนี้ดูจะอับโชคเสียแล้ว ผู้เข้าทดสอบกลุ่มหนึ่งพบตัวเขา
หากสู้กันตัวต่อตัว ผู้เข้าทดสอบเหล่านั้นล้วนแต่อ่อนด้อยกว่าฟ่านเฉี่ยวชิง แต่เมื่อผนึกพละกำลัง กัน พวกเขาก็มีพละกำลังเหนือชั้นอย่างที่ฟ่านเฉี่ยวชิงไม่อาจรับมือไหว
เหงื่อไหลเป็นทางลงจากใบหน้าของฟ่านเฉี่ยวชิงขณะประเมินนักรบที่อยู่ตรงหน้าอย่างร้อนใจ
ขณะที่เขากำลังจะไปต่อไม่ไหว ก็เห็นฟ่านเฉี่ยวฉูกับฟ่านเฉี่ยวเฟิงทางหางตา เขาตาโตด้วยความโล่งใจ
“นี่ ตรงนั้นน่ะ!”
ฟ่านเฉี่ยวชิงคิดว่าทั้งคู่จะรีบเข้ามาช่วยเขารับมือกับกลุ่มคนที่ตีวงล้อมอยู่ แต่กลับตรงกันข้าม ทั้งคู่หยุดยืนอยู่ที่ชายป่า
เขาเห็นฟ่านเฉี่ยวฉูชี้นิ้วมาแล้วพูดว่า “คุณเห็นไหม? กระบวนท่าเดียวอาจทำให้กระแสของการต่อสู้เปลี่ยนไปได้”
“คุณพูดถูก เฉี่ยวชิงควรคิดให้ดีก่อนจะสำแดงกระบวนท่าก่อนหน้านี้ออกมา!” เฉี่ยวเฟิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
เมื่อครู่ก่อน เขายังมีประสิทธิภาพการต่อสู้ทัดเทียมกับฟ่านเฉี่ยวชิง แต่ใครจะไปคิดว่าช่วงเวลาเพียง 1 ชั่วโมงสั้นๆจะทำให้อีกฝ่ายอ่อนแอได้ขนาดนี้?
“ถ้าคุณเป็นเขา คุณจะทำอย่างไร?” จางเซวียนตั้งคำถาม
สิ่งนี้คือการทดสอบ และเป็นบททดสอบของฟ่านเฉี่ยวเฟิงด้วย
“ผมจะใช้กระบวนท่าที่ 3 ของเพลงหมัดน้ำตื้นประกอบกับเทคนิคการเคลื่อนไหวใบไม้วิเศษ!” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงตอบโดยไม่ลังเล
“เพลงหมัดน้ำตื้นมีแก่นสารที่เปรียบได้กับการจับปลาในน้ำตื้น คุณจะต้องมีความเข้าใจอย่างล้ำลึกในตัวคู่ต่อสู้เพื่อให้แน่ใจว่าจะประสบความสำเร็จ…แต่ขณะที่คุณมองกระบวนท่าของคู่ต่อสู้ออก อีกฝ่ายก็มองกระบวนท่าของคุณออกเช่นกัน การเคลื่อนไหวที่ซับซ้อนของเทคนิคการเคลื่อนไหวใบไม้วิเศษจะทำให้คุณควบคุมเพลงหมัดน้ำตื้นได้ยากขึ้น” จางเซวียนส่ายหน้า
“เอ่อ คุณพูดถูก ผมให้ความสำคัญกับการรับมือกับการโจมตีของคู่ต่อสู้จนลืมข้อบกพร่องของเพลงหมัดน้ำตื้นไป ถือเป็นทางเลือกที่ไม่เอาไหนเลยที่จะจับคู่มันกับเทคนิคการต่อสู้ใบไม้วิเศษ อือม์…ถ้าใช้พลังฝ่ามือหยกกระเพื่อมน่าจะเข้าท่ากว่า เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ผมก็จะรับมือกับนักรบสองคนนั่นได้ภายใน 7 กระบวนท่า และอีกสองคนที่เหลือได้ใน 5 กระบวนท่า” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงวิเคราะห์อย่างจริงจัง
“อือ” จางเซวียนพยักหน้ารับ
จากคำชี้แนะของเขาและการต่อสู้จริงที่เกิดขึ้นหลายครั้ง ฟ่านเฉี่ยวเฟิงพัฒนาเทคนิคการต่อสู้ของเขาได้อีกมาก เขาพร้อมที่จะระบุและแก้ไขความผิดพลาดของตัวเอง
ขณะที่ทั้งคู่กำลังหารือกันอย่างเคร่งเครียด ฟ่านเฉี่ยวชิงก็แทบจะเสียสติ
เพลงหมัดน้ำตื้นและและเทคนิคการเคลื่อนไหวใบไม้วิเศษ…น้ำตื้นบ้านคุณน่ะสิ! ค่อยพูดกันทีหลังไม่ได้หรือไง? ไม่เห็นหรือว่าผมเกือบจะถูกซ้อมจนตายอยู่แล้ว?
ขณะที่สำแดงกระบวนท่าออกไปอย่างสับสนปั่นป่วน ฟ่านเฉี่ยวชิงก็ถูกต่อยเข้าที่เบ้าตาทั้งสองข้างจนบวมปูด
เขาคิดว่าเพียงเท่านี้ก็คงมากพอที่จะทำให้ทั้งคู่รีบเข้ามาช่วยแล้ว แต่การหารือก็ยังดำเนินต่อไป
“แม้การโจมตีเข้าที่ใบหน้าจะทำให้คู่ต่อสู้หยุดชะงักไปชั่วคราว แต่การโจมตีแบบนี้ก็ยากที่จะเล็งให้โดนเป้าหมายอย่างจังๆ โดยเฉพาะเมื่อศีรษะคือหนึ่งในอวัยวะสำคัญที่นักรบจะปกป้องมันไว้อย่างดี ถ้าคุณเป็นเขา คุณจะโจมตีจุดไหน?”
“ผมคิดว่าจะเล่นงานข้อเท้า หมอนั่นมีพละกำลังมาก ถ้าผมเล่นงานข้อเท้าของเขา ก็น่าจะทำให้เขาเสียการทรงตัวและไม่ทันระมัดระวัง ต่อให้การโจมตีของผมไม่ตรงเป้า แต่อย่างน้อยก็พอเบี่ยงเบนความสนใจของเขาไปได้ ทำให้มีโอกาสที่ผมจะทำลายตราหยกของเขาได้สำเร็จ!”
“ใช่แล้ว เพราะนี่ไม่ใช่การดวลแบบชี้เป็นชี้ตาย แต่เป็นการต่อสู้แบบคัดออก ตราหยกควรเป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดในการโจมตี”
พลั่ก! พลั่ก!
ฟ่านเฉี่ยวชิงเจออีก 2 หมัดสอยเข้าที่ใบหน้า ทำให้เลือดไหลซึมที่มุมปาก
“แล้วหมัดนี้ล่ะ?”
“หมัดนี้ถูกสำแดงออกมาอย่างไม่มีประสิทธิภาพเท่าไหร่ แต่ก็ตรงเป้า มันทำให้คู่ต่อสู้เกิดความจังงังไปชั่วขณะ ถ้าผมเป็นเขา ผมจะต่อยปากและเตะซ้ำ ด้วยวิธีนี้ ผมก็จะเล่นงานคู่ต่อสู้ของผมได้ แล้วตราหยกก็จะกลายเป็นจุดอ่อนที่ถูกเปิดเผยทันที!”
“ถือเป็นความคิดไม่เลวที่คุณคิดจะเตะสกัด แต่คุณลืมขีดจำกัดของตัวเองไป ด้วยเทคนิควรยุทธที่คุณฝึกฝน พลังปราณของคุณไม่อาจไหลเวียนได้รวดเร็วพอที่จะทำให้ร่างกายท่อนล่างปล่อยลูกเตะอันทรงพลังออกมาได้ ถ้าคุณปล่อยการเตะที่อ่อนด้อยพละกำลังออกไป มันจะกลายเป็นการเปิดจุดอ่อนของคุณแทน!”
“เอ่อ…ก็จริง คุณพูดถูก แล้วผมควรทำอย่างไร?”
“คิดสิ!”
“ผมควรเล่นงานตราหยกด้วยมือซ้ายแทนดีไหม?”
“ไม่ได้! มีโอกาสเพียง 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จหากคุณเล่นงานตราหยกด้วยมือซ้าย แถมยังอาจถูกตอบโต้ด้วย” จางเซวียนขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
เมื่อครู่นี้เองที่เขาเพิ่งคิดว่าหมอนี่เรียนรู้ได้เร็ว แต่ความคาดหวังของเขาก็พังไม่เป็นท่าในพริบตาต่อมา
นี่มันบ้าบออะไร?
คำตอบไม่ได้เห็นกันชัดๆอยู่แล้วหรือ?
เห็นข้อเสนอ 2 ข้อของเขาถูกปฏิเสธ ฟ่านเฉี่ยวเฟิงสงสัย “แล้วแบบนี้ ผมควรทำอย่างไร?”
“คุณจะทำอะไรได้ล่ะ?” จางเซวียนคำราม “แน่นอนว่าต้องโจมตีใบหน้าของเขาต่อไปในเมื่อคุณถือไพ่เหนือกว่าแล้ว ตราบใดที่โจมตีอย่างต่อเนื่อง ก็จะคุมกระแสการต่อสู้เอาไว้ได้ ทำให้คู่ต่อสู้ของคุณต้องเป็นฝ่ายตั้งรับ!”
พลั่กกกก! พลั่กกก!
ทันทีที่คำพูดเหล่านั้นจบลง ฟ่านเฉี่ยวชิงก็เจอหมัดอีกนับไม่ถ้วนสอยเข้าที่ใบหน้า
“ดูนั่นสิ แม้แต่เขายังเข้าใจเลย!” จางเซวียนอุทานอย่างฉุนเฉียว
“….” ฟ่านเฉี่ยวชิงแทบปล่อยโฮ