จ้งฉิงให้ความสำคัญกับการฝึกฝนวรยุทธและสภาวะจิตเสมอ การเขียนอักษรวิจิตรคือศิลปะของการขัดเกลาสมาธิและการควบคุมตัวเอง เขาจึงมักใช้เวลาว่างพร้อมกับพู่กันในมือ จากการทุ่มเทเวลาให้กับศิลปะ งานเขียนอักษรวิจิตรของเขาจึงมีคุณภาพสูงมาก ถึงขนาดที่ผู้เชี่ยวชาญมากมาย มาขอเข้าพบเป็นการส่วนตัวเพื่อแสวงหาสันติสุขภายในจากผลงานเหล่านั้น
ด้วยนิสัยและสภาวะจิตของจ้งฉิง การทดสอบธรรมดาสามัญของคนหนุ่มสาวไม่ทำให้เขาเกิดความสนใจสักนิด แต่กลับตรงกันข้ามกับที่คิดไว้ ผู้เข้าทดสอบแปดคนในตระกูลของเขารวมทั้งหลานชายของเขาด้วยถูกคัดออกจากการทดสอบหมดทุกคน เรื่องนี้สั่นคลอนความรู้สึกของเขาเล็กน้อย เขาจึงอยากท้าทายวัยรุ่นทั้งสองเพื่อทดสอบความสามารถของทั้งคู่
แต่ใครจะไปรู้ว่าผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงอย่างตัวเขาจะลงเอยด้วยการถูกเหยียดหยามแบบนี้
อ่อนแอ?
อ่อนแอบ้านคุณสิ!
ผมอ่อนแออย่างไร?
จ้งฉิงโมโหเดือด แต่เมื่อนึกถึงการต่อสู้เมื่อครู่ก่อน ก็พบว่าไม่อาจหาถ้อยคำมาหักล้างคำพูดของอีกฝ่ายได้
แม้ชายหนุ่มสองคนนั้นจะไม่ได้ใช้ค่ายกลผนึกกำลัง แต่การร่วมมือกันของทั้งคู่ก็ถือว่าไร้ที่ติ ขนาดตัวเขาเป็นถึงนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก แต่ก็หยิ่งผยองเกินไปจนตกหลุมพรางของทั้งคู่ นำมาซึ่งความพ่ายแพ้
จ้งฉิงกลืนเลือดที่เอ่อขึ้นมาในปากและสูดหายใจลึกก่อนจะหันไปถามชายหนุ่มทั้งสอง “นี่คือสิ่งที่ฟ่านเฉี่ยวฉูสอนพวกคุณหรือ?”
เขาไม่เคยเห็นชายหนุ่มสองคนนี้มาก่อน แต่ได้อ่านประวัติของทั้งคู่แล้ว จากประวัติที่ปรากฏ ทั้งสองไม่น่าจะเก่งกาจไร้เทียมทานขนาดนี้
“ใช่แล้ว” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงกับฟ่านเฉี่ยวชิงพยักหน้ารับ
อันที่จริง ทั้งคู่ก็ออกจะประหลาดใจเล็กน้อยกับผลการดวล พวกเขาคิดว่าผู้เชี่ยวชาญย่อมเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือด้วยได้ยากมาก ต่อให้อีกฝ่ายลดระดับวรยุทธแล้วก็ตาม แต่ทันทีที่พวกเขาใช้ภูมิปัญญาในการต่อสู้ตามแบบอย่างของฟ่านเฉี่ยวฉู ทุกอย่างก็จบลงอย่างรวดเร็วจนแทบไม่ทันรู้สึกตัว
ราวกับอีกฝ่ายไม่ต่างอะไรกับลูกไก่ปวกเปียกตัวหนึ่ง!
นั่นก็หมายความว่า ตราบใดที่พวกเขายังคงฝึกฝนทักษะการต่อสู้อย่างหนักหน่วงต่อไป ก็จะกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานในบรรดานักรบรุ่นเดียวกัน ใช่ไหม?
“ถ้าอย่างนั้น คุณรู้หรือเปล่าว่าใครถ่ายทอดกระบวนท่าเหล่านี้ให้เขา?” จ้งฉิงตั้งคำถาม
“เขาทำความเข้าใจด้วยตัวเอง” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงตอบ
เขาเคยตั้งคำถามนี้กับฟ่านเฉี่ยวฉูแล้วระหว่างที่การทดสอบดำเนินไป ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบว่าได้เทคนิคเหล่านี้จากแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
“เขาทำความเข้าใจด้วยตัวเอง? ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงล่ะก็ ความเก่งกาจของเขาก็ช่าง…” จ้งฉิงตั้งข้อสังเกตก่อนจะหายใจถี่กระชั้น “หยวนเฟิง ระหว่างนี้ผมอยากให้คุณช่วยจัดการเรื่องพวกนี้ไปก่อน ผมจะเดินทางกลับไปที่สำนักแห่งขงจื๊อเพื่อดูว่าฟ่านเฉี่ยวฉูเลือกใครเป็นอาจารย์ของเขา!”
เมื่อทนความอยากรู้ไว้ไม่ไหว จ้งฉิงรีบหันหลังกลับแล้วจากไป
ไม่ว่าฟ่านเฉี่ยวฉูจะเลือกใครเป็นอาจารย์ เขาก็จะต้องผูกมิตรกับอีกฝ่ายให้ได้ ขอแค่ฟ่านเฉี่ยวฉูไม่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ไม่ช้าไม่นานเขาก็คงได้เป็นอัจฉริยะชั้นยอดของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์!
…..
จางเซวียนไม่รู้เรื่องที่จ้งฉิงถูกฟ่านเฉี่ยวเฟิงกับฟ่านเฉี่ยวชิงซ้อม เขากำลังอยู่ระหว่างการคลำทางในทะเลทรายตามทิศทางที่ตราหยกบอกไว้
พูดกันตามตรง เขาตั้งใจจะเก็บเนื้อเก็บตัว แต่ดูเหมือนทั้งโลกจะปฏิเสธความพยายามของเขา!
ด้วยการเป็นคนแรกที่ไปถึงสำนักแห่งขงจื๊อ คงไม่มีทางที่เขาจะกลืนไปกับฝูงชนได้อีก
แต่เรื่องนี้ก็ไม่น่าเป็นปัญหาใหญ่ ตราบใดที่ตัวตนของเขาในฐานะคนนอกยังไม่ถูกเปิดเผย เขาก็สามารถจากไปได้ทันทีที่ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ โดยไม่สร้างความอึกทึกวุ่นวายมากนัก
ฟิ้ววววว!
หลังจากบินมาได้ระยะหนึ่ง ลำแสงเจิดจ้าก็ปรากฏขึ้นจากระยะไกล เมื่อบินตรงเข้าหาแสงนั้น จางเซวียนรู้สึกได้ถึงมิติลี้ลับขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่
น่าประหลาดใจที่มิติลี้ลับแห่งนี้มั่นคงยิ่งกว่าอาณาจักรคุนฉื่อเสียอีก ถึงขนาดที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้กลับสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ ที่นี่มีพลังจิตวิญญาณเข้มข้นมาก เทียบได้กับค่ายกลรวบรวมพลังจิตวิญญาณเกรด 9 เลยทีเดียว
ทันทีที่จางเซวียนก้าวเข้าสู่มิติลี้ลับ จุดชีพจรทั้งหมดของเขาก็เปิดออกและซึมซับพลังจิตวิญญาณเข้าไปอย่างรวดเร็ว
มีตึกรามบ้านช่องสูงตระหง่านตั้งอยู่โดยรอบ พวกมันได้รับการออกแบบตามสไตล์ดั้งเดิม ราวกับสร้างขึ้นตั้งแต่หลายหมื่นปีก่อน
“เพราะฉะนั้น นี่ก็คือที่หมายของเรา…”
รู้ดีว่ามาถึงสำนักแห่งขงจื๊อแล้ว จางเซวียนเตรียมร่อนลงสู่พื้น แต่ยังไม่ทันจะได้ร่อนลง ก็เห็นลำแสงสาดมายังทิศทางของเขา
แต่ลำแสงนั้นดูไม่มีเจตนาชั่วร้าย มันหยุดลงตรงหน้าจางเซวียน เผยให้เห็นรูปร่างที่แท้จริง คือฆ้องทองแดงขนาดมหึมา มันลอยลงมาอยู่ใต้ฝ่าเท้าของจางเซวียนก่อนจะสำแดงพละกำลังมหาศาลใส่เขา ดูเหมือนพยายามจะกีดกันไม่ให้จางเซวียนร่อนลงสู่พื้น
“นี่คือบททดสอบอีกบทหนึ่งหรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว
สำนักแห่งขงจื๊ออยู่ตรงหน้าเขาแล้ว แต่ฆ้องทองแดงพยายามผลักดันเขาออกไป เห็นได้ชัดว่ามันคือบางสิ่งที่คล้ายกับบททดสอบที่เขาต้องผ่านไปให้ได้เพื่อให้ได้การยอมรับอย่างเป็นทางการในฐานะนักเรียนของสำนักแห่งขงจื๊อ
แต่นั่นแหละ ผ่านอะไรมาก็มากมายขนาดนี้แล้ว ลำพังแค่ฆ้องทองแดงจะมีความสำคัญอะไร?
จางเซวียนสลัดความคิดต่างๆนานาออกจากหัวสมอง เขากระทืบเท้าแล้วปล่อยพลังผ่านฝ่าเท้าทั้งสองข้าง
ตึ้งงงง!
เมื่อเจอกับการกระทืบเท้าอันทรงพลังของจางเซวียน ฆ้องทองแดงถูกสอยกระเด็นไป
จางเซวียนยิ้มอย่างพอใจ จากนั้นก็ร่อนลงสู่พื้น
…..
ชาวเมืองวัยกลางคนกลุ่มหนึ่งกำลังตั้งแถวถัดจากทางเข้าสำนักแห่งขงจื๊อ มีทั้งชายหญิงปะปนกันไป เสื้อผ้าอาภรณ์ของพวกเขาคล้ายกับที่หนานกงหยวนเฟิงสวมใส่ มองแวบเดียวก็รู้ว่าพวกเขาคือเหล่าผู้เชี่ยวชาญของสถาบัน
“คงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 วันกว่าบรรดาผู้เข้าทดสอบจะมาถึงที่นี่ คุณไม่คิดบ้างหรือว่าออกจะใจร้อนไปหน่อยที่มาถึงตั้งแต่ตอนนี้?” หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งตั้งคำถามพร้อมกับส่งยิ้มที่ยากจะคาดเดาความหมาย
ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งชำเลืองมองเธอ “ผมยอมรับว่าพวกเราออกจะใจร้อนไปสักหน่อย แต่คุณก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ? ถ้าคุณไม่ใจร้อน ทำไมถึงมาเร็วนักล่ะ?”
“ฉันมาก็เพื่อจะดูว่าในกลุ่มนี้จะมีอัจฉริยะชั้นยอดอยู่บ้างหรือเปล่า…”หญิงวัยกลางคนพึมพำก่อนจะหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง “หมี่ชวน คุณนำฆ้องทองแดงมาที่นี่ทำไม?”
ทุกคนหันมามอง เห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับฆ้องทองแดงอันใหญ่ที่เทินไว้เหนือศีรษะของเขา มันกำลังหมุนติ้วและบดบังแสงแดดเจิดจ้าให้ชายวัยกลางคนผู้นั้น
ฆ้องทองแดงคือของล้ำค่าที่หมี่ชวนเพิ่งหลอมขึ้น แต่แทนที่จะอยู่บ้านและศึกษาวัตถุประสงค์ของมันอย่างถี่ถ้วน มันเรื่องอะไรเขาถึงยอมเหน็ดเหนื่อยแบกมันมาด้วย?
“ฮ่าฮ่า คุณก็รู้นี่ว่าความเก่งกาจของผมคือพละกำลัง ผมนำฆ้องทองแดงมาที่นี่เพื่อทดสอบลูกศิษย์ใหม่ของเรา!” หมี่ชวนหัวเราะลั่น
“ทดสอบลูกศิษย์ใหม่?” หญิงวัยกลางคนขมวดคิ้ว “ฆ้องของคุณน่ะหนักมาก คุณคงไม่คิดจะใช้มันทุ่มศีรษะลูกศิษย์ใหม่จนตายหรอกนะ ใช่ไหม?”
“แน่นอนว่าไม่!” หมี่ชวนปฏิเสธพร้อมกับส่งรอยยิ้มมีเลศนัย “แต่ผมสามารถใช้ฆ้องทองแดงผลักดันผู้เข้าทดสอบกลับไปได้ ขอแค่ผู้เข้าทดสอบต้านทานฆ้องทองแดงของผมได้ 10 วินาที พวกเขาก็จะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เป็นลูกศิษย์ของผมและรับการถ่ายทอดทักษะของผมไป…”
“10 วินาที? นี่คุณยังไม่ตื่นจากฝันอีกหรือ?”
ได้ยินคำนั้น ทุกคนถอนหายใจเฮือก
ด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่งราวปีศาจของหมี่ชวนและความหนักอึ้งแสนสาหัสของฆ้องทองแดง แม้พวกเขาก็ยังลำบากหากจะต้องรับมือกับทั้งสองอย่างพร้อมกัน นับประสาอะไรกับผู้เข้าทดสอบที่เป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 จนถึงนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1!
วิ้งงงงง!
ยังไม่ทันที่พวกเขาจะพูดจบ ก็เกิดเสียงหึ่งเบาๆขึ้นกลางอากาศ พร้อมกับลำแสงเจิดจ้าเป็นประกายที่แผ่ไปทั่วทั้งท้องฟ้า
“ผู้เข้าทดสอบคนหนึ่งมาถึงฉนวนแล้วหรือ? แต่การทดสอบเพิ่งเริ่มได้ไม่นานเองนี่?”
ทุกคนชะงัก
พวกเขาคาดว่าคงต้องเฝ้ารออย่างน้อย 1 วัน แต่ดูเหมือนการรอคอยจะสั้นกว่าที่คิดไว้มาก
“สามารถถอดรหัสค่ายกลได้เร็วขนาดนี้ ผู้นั้นจะต้องแข็งแกร่งไม่น้อย เขาน่าจะเป็นหุ่นทดลองที่ดีสำหรับทดสอบประสิทธิภาพของฆ้องทองแดงของผม!” หมี่ชวนหัวเราะหึๆขณะกระโจนขึ้นไปกลางอากาศ
ฆ้องทองแดงขนาดยักษ์ลอยเข้าหาแสงสว่างที่เจิดจ้าเป็นประกาย บดบังดวงอาทิตย์ทั้งดวงไว้ในชั่วพริบตา
แต่ยังไม่ทันจะถึงเป้าหมาย เสียงกึกก้องก็ดังสนั่นขึ้นกลางอากาศ ฆ้องทองแดงร่วงลงมาทันที
นึกไม่ถึงว่าฆ้องทองแดงจะลอยกลับมาอย่างปุบปับ หมี่ชวนหรี่ตา เขารีบกระโจนขึ้นไปกลางอากาศเพื่อใช้พละกำลังพยุงฆ้องทองแดงไว้ แต่ก็ต้องพรั่นพรึงเมื่อพบว่าแรงโน้มถ่วงของโลกกำลังฉุดฆ้องทองแดงกลับสู่พื้น มันเป็นพละกำลังที่หนักหน่วงเกินกว่าตัวเขาจะต้านทานได้!
“เร็วเข้า ช่วยผมที!” หมี่ชวนตวาดก้องอย่างร้อนรนขณะที่ร่างของเขาถูกฉุดลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อรู้แล้วว่าเป็นเรื่องใหญ่ ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆรีบโผขึ้นสู่กลางอากาศเพื่อพยุงฆ้องทองแดงไว้ แต่ทันทีที่พวกเขาสัมผัสกับฆ้องทองแดง พละกำลังมหาศาลก็ฉุดพวกเขาอย่างกะทันหันจนร่างกายสั่นสะท้าน ทุกคนกระอักเลือดออกมา
ฟิ้วววววว!
ผู้เชี่ยวชาญทั้งกลุ่มร่วงลงสู่พื้นราวกับก้อนแป้ง
เคร้งงงงง!
สุดท้าย ฆ้องทองแดงก็ร่วงลงมากองกับพื้นพร้อมกับส่งเสียงดังสนั่น บรรดาผู้เชี่ยวชาญถูกทับอยู่ด้านล่าง ฆ้องทองแดงบดบังร่างของพวกเขาไว้มิด
ฟึ่บ!
หลังจากที่ทุกอย่างเกิดขึ้น ร่างหนึ่งก็ร่อนลงมาจากกลางอากาศและเหลียวมองโดยรอบพร้อมกับขมวดคิ้ว
“พวกเขาบอกว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญกลุ่มหนึ่งรอเราอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงไม่เห็นใครเลย?” จางเซวียนส่ายหัวอย่างจนปัญญา เขาเดินตรงเข้าไปในสำนักแห่งขงจื๊อ