“เทคนิคการเคลื่อนไหวแบบนี้…”
หมี่ชวนกับคนอื่นๆหรี่ตาด้วยความตกใจ
พวกเขาดูออกว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าใช้แค่พละกำลังของนักรบระดับเซียนขั้น 9 ทั่วไป แต่การเคลื่อนไหวของเขาเกินพอที่จะเล่นงานนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 ได้ ความเร็วนั้นจัดว่าน่าสะพรึงมาก
สวนจ้งฉิงก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เห็นการโจมตีของเขาพลาดเป้าไปลงที่พื้นดิน
ก่อนหน้านี้ เขาเล่นงานฟ่านเฉี่ยวเฟิงกับฟ่านเฉี่ยวชิงไม่ได้เมื่อลดระดับวรยุทธลงไปเป็นขั้นเดียวกันกับสองคนนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่ชายผู้ให้คำชี้แนะกับทั้งคู่จะหลบหลีกการโจมตีของเขาได้อย่างง่ายดาย
จ้งฉิงระบายลมหายใจยาวก่อนจะกระทืบเท้าอีกครั้ง การเคลื่อนไหวของเขาว่องไวราวกับพายุหิมะที่กำลังโหมกระหน่ำ ไม่ว่าฟ่านเฉี่ยวฉูจะขยับไปทางไหน ก็พบว่าไม่อาจสลัดจ้งฉิงให้พ้นทางได้ ทำให้เขางุนงงมาก
“นี่คือเทคนิคเฉพาะของผู้เชี่ยวชาญจ้งฉิง, โลกของพายุหิมะ” หมี่ชวนตั้งข้อสังเกตอย่างเคร่งขรึม “อย่าว่าแต่คู่ต่อสู้ที่มีวรยุทธขั้นเดียวกันเลย ด้วยประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขา เขาเอาชนะได้แม้แต่นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 2 เลยทีเดียว!”
หมี่ชวนเป็นหนึ่งในนักรบไม่กี่คนที่ศักยภาพของเขาคือพละกำลังที่หนักหน่วงอย่างน่าทึ่ง หากปล่อยพละกำลังเต็มพิกัด เขาจะสามารถเล่นงานทุกอย่างที่ขวางหน้า ดังนั้นเทคนิคการต่อสู้ที่เขาฝึกฝนจึงมักเป็นเทคนิคที่มีธรรมชาติอันเรียบง่ายและไม่ซับซ้อน
แต่จ้งฉิงนั้นตรงกันข้ามกับเขาอย่างสิ้นเชิง อีกฝ่ายเชี่ยวชาญในการเคลื่อนไหวอย่างละเอียดอ่อน เพื่อสร้างแรงกดดันให้กับคู่ต่อสู้ โลกของพายุหิมะที่เขากำลังสำแดงอยู่ในเวลานี้สามารถสร้างความสับสนได้อย่างน่าทึ่ง ถึงขนาดที่ทำให้การมองเห็นของคู่ต่อสู้พร่าเลือน ถ้าหมี่ชวนอยู่ในตำแหน่งของฟ่านเฉี่ยวฉู ก็รู้ดีว่าหนทางเดียวที่จะทำได้ก็คือวิ่งหนี
คนอื่นๆพยักหน้าอย่างเห็นพ้องกับคำพูดนั้น พวกเขาพากันย่นหน้าผาก ดูเหมือนกำลังคิดหนักว่าจะหาทางเอาชนะโลกแห่งพายุหิมะอันทรงพลังได้อย่างไร
แต่ไม่ช้า ทุกคนก็ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
พวกเขาได้ข้อสรุปเหมือนกันหมด
เว้นเสียแต่ว่าวรยุทธของพวกเขาจะเหนือชั้นกว่าจ้งฉิง ก็ไม่มีสิ่งอื่นที่สามารถทำได้!
เมื่อเกิดความคิดนั้น ทุกคนรีบหันไปมองชายหนุ่มที่เป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 และเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้างงงัน ดูเหมือนชายหนุ่มกำลังจนปัญญาและไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
แต่แล้วร่างของเขาก็กระตุกเมื่อเกิดความคิดหนึ่งขึ้นในสมอง เขาก้าวออกมาเล็กน้อย แล้วเข้าสู่ใจกลางรัศมีการโจมตีของจ้งฉิง
น่าประหลาดใจที่แม้เขาจะรุกล้ำเข้าไปในอาณาเขตของจ้งฉิงแล้ว แต่ก็ไม่มีการโจมตีใดๆเข้าถึงตัวเขาได้ ด้วยการโบกมือเบาๆ พายุหิมะดูเหมือนจะถูกผลักดันออกไป แล้วรวมตัวกันเป็นลูกบอลหิมะขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว
พลั่ก!
จ้งฉิงถูกเล่นงานจากระยะไกล เลือดไหลซึมออกจากมุมปาก
เขาพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว!
“เฮ้ย…”
บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ตรงนั้นพากันตาโตด้วยความตกใจ ทุกคนผงะกับสิ่งที่ได้เห็น
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญของสำนักแห่งขงจื๊อ พวกเขาเก่งกาจถึงขนาดเอาชนะลูกศิษย์ทีละหลายๆคนพร้อมกันได้แม้จะกดข่มระดับวรยุทธไว้ แต่ชายหนุ่มคนนั้นเล่นงานจ้งฉิงจนพ่ายแพ้ราบคาบ
ทุกคนได้เห็นการดวลตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งกระบวนท่าที่ฟ่านเฉี่ยวฉูสำแดงออกมาดูธรรมดาสามัญมาก แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง กระบวนท่าเหล่านั้นดูจะทำลายปราการป้องกันตัวของจ้งฉิงได้อย่างง่ายดาย ทำให้เขาสิ้นเรี่ยวแรง
ต่อให้พวกเขาอยู่ในตำแหน่งของจ้งฉิง ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ดีกว่านั้น
ไม่น่าเชื่อว่าเป็นไปได้ที่เทคนิคการต่อสู้ของใครคนหนึ่งจะล้ำลึกขนาดนี้ อาจารย์ของฟ่านเฉี่ยวฉูเป็นใครกัน?
ขณะที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญยังจังงังกับสิ่งที่ได้เห็น ฟ่านเฉี่ยวฉูก็จ้องมองฝ่ามือของเขาด้วยสายตาที่แทบไม่อยากเชื่อ
ทั้งหมดที่เขาจำได้ก็คือใครคนหนึ่งเรียกตัวเขาไปตอนที่เขากำลังรออยู่ที่ตีนเขาให้การทดสอบเริ่ม จากนั้นทุกอย่างก็ว่างเปล่า เมื่อเขารู้สึกตัวอีกที ก็มาอยู่ที่สำนักแห่งขงจื๊อแล้ว
เขารู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผลเลยที่จ้งฉิงเล่นงานนักเรียนธรรมดาๆคนหนึ่งแบบนี้ และเขาก็เตรียมใจไว้แล้วที่จะพ่ายแพ้ยับเยิน แต่ความทรงจำส่วนหนึ่งก็หวนกลับมาตอนที่เขากำลังสิ้นหวัง
ความทรงจำนั้นคือภูมิปัญญาส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเทคนิคการต่อสู้
เขาเพียงแค่เคลื่อนไหวไปตามหลักการของเทคนิคการต่อสู้เหล่านั้น และก่อนที่จะทันรู้ตัว ก็เล่นงานจ้งฉิงที่ดูเหมือนจะอยู่ไกลเกินเอื้อมจนพ่ายแพ้ราบคาบ
ขณะที่ฟ่านเฉี่ยวฉูกำลังพยายามทำความเข้าใจเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับเขา เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัว
“ผมคือจางเซวียน ผมยืมร่างของคุณมาชั่วขณะหนึ่งเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนบางอย่าง ผมได้มอบเศษเสี้ยวหนึ่งของความทรงจำที่บรรจุเอาภูมิปัญญาเกี่ยวกับเทคนิคการต่อสู้ไว้เพื่อเป็นการชดใช้ หวังว่าคุณจะตอบแทนด้วยการเก็บตัวตนของผมไว้เป็นความลับ!”
ฟ่านเฉี่ยวฉูจำได้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงเดียวกันกับคนที่เล่นงานเขาจนสลบไปในตอนนั้น
จางเซวียน? ถ้าความทรงจำของเขาทำให้เราเอาชนะได้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญของสำนักแห่งขงจื๊อ นั่นก็หมายความว่า…เขาเป็นนักปราชญ์โบราณใช่ไหม? ฟ่านเฉี่ยวฉูใจเต้นตึกตัก
อีกฝ่ายสามารถทิ้งเศษเสี้ยวความทรงจำไว้ให้โดยไม่ทำให้ตัวเขาได้รับความบอบช้ำแม้แต่น้อย นี่เป็นสิ่งที่มีแต่นักปราชญ์โบราณผู้คร่ำหวอดเท่านั้นถึงจะทำได้
แม้แต่นักปราชญ์โบราณในตระกูลของเขาก็ยังทำแบบนี้ไม่ได้เลย เขาจินตนาการไม่ถูกว่าคนที่ชื่อ ‘จางเซวียน’ คนนี้ทรงพลังแค่ไหน
ถ้า ‘จางเซวียน’ คนนี้ปรารถนาจะทำเรื่องชั่วร้าย ก็คงคร่าชีวิตเขาได้เพียงแค่การใช้ความคิดแวบเดียว แต่อีกฝ่ายเลือกที่จะไม่ทำอย่างนั้น แถมยังชดเชยให้เขาด้วย เพียงเท่านี้ก็พอจะสรุปได้แล้วว่า ‘จางเซวียน’ คนนี้ไม่ใช่คนจิตใจสกปรก ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอยากเข้ามาที่สำนักแห่งขงจื๊อด้วยเหตุผลอะไร เขาก็ควรจะเก็บไว้เป็นความลับ
อีกอย่าง มีแต่นักปราชญ์โบราณด้วยกันเท่านั้นที่จะคลี่คลายเรื่องราวของนักปราชญ์โบราณด้วยกันได้ ในฐานะนักรบระดับเซียนขั้น 9 ต่อให้เขาพูดออกไปก็คงไม่มีใครเชื่อ
ฟ่านเฉี่ยวฉูรีบซึมซับเศษเสี้ยวของความทรงจำทั้งหมดที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ในหัวสมองของเขา ก่อนจะหันกลับไปส่งยิ้มอย่างมีเลศนัยให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ตรงหน้า “มีใครในหมู่พวกคุณที่ยังอยากทดสอบวรยุทธของผมอีกไหม? ออกตัวมาได้เลย! แต่ถ้าไม่มั่นใจล่ะก็ ผมก็ไม่รังเกียจนะที่จะเผชิญหน้ากับพวกคุณทุกคนพร้อมกันทีเดียว!”
เขาเพิ่งทดลองเทคนิคการต่อสู้ไปเมื่อครู่ และเห็นแล้วว่ามันใช้ได้ผล นี่เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ทดสอบความก้าวหน้าของตัวเอง
เห็นความหยิ่งผยองของนักเรียนใหม่ หมี่ชวนกับคนอื่นๆสบตากันครู่หนึ่งก่อนจะก้าวออกมา
30 อึดใจให้หลัง พวกเขาก็นอนสลบไสลอยู่กับพื้น
ฟ่านเฉี่ยวฉูจับจ้องมือไม้ที่กำลังสั่นเทาของเขาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ แทบไม่เชื่อว่าปาฏิหาริย์หล่นทับตัวเองแล้ว
ทั้งความปราดเปรื่องและพละกำลังของเขาจัดได้ว่าอยู่ในระดับเดียวกันกับสมาชิกส่วนใหญ่ของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ ภายใต้สถานการณ์ปกติ คงยากเต็มทีที่เขาจะผ่านการทดสอบ ใครจะรู้ว่าตัวเขาจะไปเข้าตานักปราชญ์โบราณคนหนึ่งและได้รับการถ่ายทอดเทคนิคการต่อสู้ชั้นยอดที่ทำให้เขาเอาชนะได้แม้แต่เหล่าผู้เชี่ยวชาญของสำนักแห่งขงจื๊อ
นี่เป็นความสำเร็จที่เขาไม่เคยกล้าแม้แต่จะนึกฝัน!
แค่เศษเสี้ยวหนึ่งของเทคนิคการต่อสู้ของนักปราชญ์โบราณก็สามารถยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาได้มากแล้ว ฟ่านเฉี่ยวฉูตัวสั่นเมื่อจินตนาการถึงพละกำลังของนักปราชญ์โบราณผู้นั้น
อยากรู้เหลือเกินว่านักปราชญ์โบราณจางเซวียนผู้นี้เป็นใคร…ฟ่านเฉี่ยวฉูเหม่อมองท้องฟ้าที่ไกลออกไปขณะนึกภาพวีรบุรุษร่างสูงใหญ่
ไม่มีคน ‘แซ่จาง’ อยู่ในร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ ดังนั้นอีกฝ่ายจึงน่าจะเป็นคนนอก แต่ก็นั่นแหละ ไม่มีทางที่เขาจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของนักปราชญ์โบราณจางเซวียนคนนี้ เพราะฉะนั้นคิดมากไปก็ไม่ช่วยอะไร ทั้งหมดทั้งมวลนี้ สิ่งเดียวที่สำคัญก็คือเขาได้ร่ำเรียนเทคนิคการต่อสู้จากนักปราชญ์โบราณจางเซวียนแล้ว และเป็นหนี้บุญคุณต่ออีกฝ่าย
นับจากวันนี้ไป คุณจะเป็นอาจารย์เพียงคนเดียวที่ผมให้การยอมรับ จะไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงความมุ่งมั่นของผมได้…ฟ่านเฉี่ยวฉูสาบานในใจ
…..
ฟึ่บ!
ร่างหนึ่งเดินลอยชายอยู่ในสำนักแห่งขงจื๊อ มีฝูงชนมากมายอยู่รายรอบ แต่ไม่มีสักคนที่ดูจะรับรู้ถึงการปรากฏตัวของเขา มิติที่อยู่โดยรอบบิดเบี้ยวไป ช่วยปกป้องไม่ให้แสงสาดส่องถึงตัว
ร่างไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจางเซวียน
เป้าหมายของเขาคือเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อโดยไม่สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้มากนัก และในเมื่อเขาบรรลุเป้าหมายแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปลอมตัวอีก
ดังนั้น จางเซวียนจึงปล่อยตัวฟ่านเฉี่ยวฉูตั้งแต่มาถึงสำนักแห่งขงจื๊อได้ไม่นาน และแน่นอนว่าไม่ลืมที่จะชดเชยให้อีกฝ่ายอย่างงามด้วย
เพราะได้รับการถ่ายทอดมรดกตกทอดฉบับเต็มของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณมา เขาจึงสามารถปฏิบัติภารกิจยากๆอย่างการถ่ายโอนเศษเสี้ยวหนึ่งของความทรงจำของเขาให้กับฟ่านเฉี่ยวฉูได้โดยไม่ทำอันตรายอีกฝ่าย
ส่วนฟ่านเฉี่ยวฉูจะได้ประโยชน์แค่ไหนจากเศษเสี้ยวความทรงจำของเขา นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาที่เขาต้องกังวล เขามอบโอกาสให้ฟ่านเฉี่ยวฉูไปแล้ว หมอนั่นจะรับมันไว้ได้แค่ไหนก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขา
แต่ก็นั่นแหละ แม้การถ่ายโอนเศษเสี้ยวของความทรงจำจะเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากกว่าในการทำให้อีกคนหนึ่งมีพละกำลังมากขึ้น แต่รากฐานของฟ่านเฉี่ยวฉูก็ย่อมไม่มั่นคงเหมือนฟ่านเฉี่ยวเฟิงกับฟ่านเฉี่ยวชิงที่ได้รับการถ่ายทอดภูมิปัญญาของเขาผ่านการค้นพบด้วยตัวเองและการปฏิบัติจริง
พูดอีกอย่างก็คือ แม้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของฟ่านเฉี่ยวฉูจะดูเหมือนสูงกว่าฟ่านเฉี่ยวเฟิงกับฟ่านเฉี่ยวชิงในเวลานี้ แต่เมื่อผ่านไปสักระยะ ก็เป็นไปได้ว่าสองคนนั้นน่าจะพัฒนาตัวเองได้ดีกว่า
สำหรับตัวจางเซวียน แน่นอนว่าเขาจะออกจากอาณาจักรคุนฉื่อทันทีที่ค้นพบความลับของปรมาจารย์ขง
จางเซวียนสลัดความคิดต่างๆนานาออกจากหัวสมองและเดินหน้า เขาลัดเลาะไปรอบสำนักแห่งขงจื๊อที่มีหน้าตาเหมือนเมืองใหญ่ทั่วไป ก่อนในที่สุดจะมาสะดุดตาเข้ากับห้องๆหนึ่ง
หอบรรพบุรุษนักปราชญ์… ถ้าปรมาจารย์ขงซุกซ่อนความลับบางอย่างไว้ในสำนักแห่งขงจื๊อ ก็น่าจะเป็นที่นี่ จางเซวียนคิด
ที่อยู่ตรงหน้าเขาคืออาคารหน้าตาเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่ปรากฎในสภาปรมาจารย์สาขาไหนๆในทวีปแห่งปรมาจารย์ มันคือหอบรรพบุรุษนักปราชญ์
ที่อยู่ภายในหอบรรพบุรุษนักปราชญ์คือรูปปั้นของปรมาจารย์ขงและทรัพย์สมบัติของเขา เป็นหอที่มีไว้ให้ทุกคนมาแสดงการคารวะ
ในบรรดาสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดของสำนักแห่งขงจื๊อ นี่เป็นสถานที่ที่มีความเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์ขงมากที่สุด
จางเซวียนสูดหายใจลึกก่อนจะมุ่งหน้าไปยังหอบรรพบุรุษนักปราชญ์
วิ้งงงง!
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะถึงเป้าหมาย ลำแสงหนึ่งก็สาดลงมาจากท้องฟ้า ดูเหมือนจะเป็นค่ายกลที่ทะลุผ่านการบิดเบี้ยวของมิติที่จางเซวียนสร้างขึ้นไว้รอบๆตัวเขาได้ มันรับรู้ถึงการปรากฏตัวของเขา
ฟึ่บ!
จากนั้น ฝ่ามือขนาดใหญ่ก็แหวกมิติลงมา มิติโดยรอบพังทลายไปอย่างรวดเร็วเพราะพละกำลังหนักหน่วง อาณาจักรคุนฉื่อทั้งอาณาจักรแทบจะแหลกสลายไปเพราะอานุภาพทำลายล้างของมัน