จางเซวียนไม่คิดว่าจะถูกพบตัวทั้งๆที่อำพรางตัวเองอย่างมิดชิดแล้ว เขาถอยไปก้าวหนึ่งก่อนจะใช้พลังหมัดผลักดันฝ่ามือนั้นออกไป
ถึงเขาจะยังไม่ได้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาก็เทียบเท่ากับนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด ขณะที่พลังปราณไหลเวียนไปทั่วทางเดินพลังปราณของเขา พละกำลังทำลายล้างก็มารวมตัวกันอย่างรวดเร็วที่ข้อนิ้ว
พลั่ก!
เมื่อหมัดกับฝ่ามือปะทะกัน ร่างของจางเซวียนกระตุกไปเล็กน้อย
เขาประหลาดใจที่พบว่าแรงปะทะจากฝ่ามือไม่ได้อ่อนด้อยกว่าหมัดของเขา มันมีพละกำลังในระดับของนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดเช่นกัน
เราจะปล่อยให้ยืดเยื้อไม่ได้…
แรงผลักดันของจางเซวียนในการเข้ามาที่อาณาจักรคุนฉื่อก็เพื่อแกะรอยตามปรมาจารย์ขงหลังจากที่เขาจับตัวเทพเจ้าจากมิติเบื้องบนมา ไม่ได้มาเพื่อสร้างปัญหา และเพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากอันไม่จำเป็น จึงดีที่สุดหากจางเซวียนจะรีบจบการต่อสู้ครั้งนี้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่อย่างนั้น ทันทีที่เหล่านักปราชญ์โบราณของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์รับรู้ถึงการปรากฏตัวของเขา ทุกอย่างจะยุ่งยากอย่างหนัก
จางเซวียนสะบัดข้อมือ แล้วหอกสวรรค์กระดูกมังกรก็ปรากฏ เขารวบรวมพละกำลังเต็มพิกัด จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่ฝ่ามือที่อยู่กลางอากาศ
ทั้งๆที่หอกมีพละกำลังอันน่าทึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทิ้งอะไรไว้มากไปกว่ารอยแยกบางๆในมิติที่อยู่โดยรอบ ดูราวกับเข็มทิ่มแทงเข้าสู่ผิวหนัง หอกนั้นบรรจุพลังงานเอาไว้ภายในจนเต็มเปี่ยม แต่แม้ฝูงชนที่อยู่ใกล้ๆก็ไม่รู้เลยว่านักปราชญ์โบราณ 2 คนกำลังปะทะกันโดยอยู่ห่างจากพวกเขาออกไปเพียง 10 เมตร
พลั่ก!
ด้วยแรงผลักดันหนักหน่วง หอกสวรรค์กระดูกมังกรเล่นงานฝ่ามือได้สำเร็จและผลักดันมันออกไป เมื่อรู้แล้วว่าสู้จางเซวียนไม่ได้ ฝ่ามือนั้นก็ล่าถอยกลับเข้าสู่ค่ายกล
หลังจากเอาชนะอุปสรรคได้สำเร็จ จางเซวียนก็รีบมุ่งหน้าเข้าสู่หอบรรพบุรุษนักปราชญ์
สิ่งแรกที่เตะตาเมื่อเข้าไปในห้องนั้นคือรูปปั้นขนาดใหญ่ของปรมาจารย์ขงที่ตั้งอยู่ใจกลางห้อง ที่อยู่ด้านหน้าเขาคือนักรบที่สวมชุดทองคำตั้งแต่หัวจรดเท้า นักรบผู้นั้นกำลังจับจ้องมาที่เขาด้วยเจตนาสังหารที่ยังคงสั่นระริกอยู่ในดวงตา
มีรอยแผลที่ใจกลางฝ่ามือของนักรบ บอกชัดว่าเขาคือคู่ต่อสู้ที่เพิ่งเล่นงานจางเซวียนเมื่อครู่ก่อน
“นี่คือ…นักรบทองคำของลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณหรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้วด้วยความงุนงง
เขานึกว่าผู้ที่โจมตีเขาก่อนหน้านี้คงเป็นผู้เชี่ยวชาญสักคนจากสำนักแห่งขงจื๊อที่พยายามปกป้องหอบรรพบุรุษนักปราชญ์…แต่กลับกลายเป็นแค่นักรบคนหนึ่งที่แปรสภาพมาจากลายมือ!
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จางเซวียนได้พบกับนักรบทองคำของลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณ เขาเคยพบ พวกนี้มาแล้วเมื่อครั้งอยู่ที่อาณาจักรโบร่ำโบราณของนักปราชญ์โบราณหรันชิว
“ไม่น่าเชื่อว่าลายมือจะมีพละกำลังเทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณขั้น 3…นักรบทองคำเหล่านี้เป็นสิ่งที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้หรือเปล่า?” จางเซวียนสงสัย
แน่นอนว่าปรมาจารย์ขงคือบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดที่เคยเหยียบย่างเข้ามาในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่เขาก็นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะทรงพลังขนาดนี้
แม้แต่ลายมือเพียงตัวเดียวของปรมาจารย์ขงก็ยังมีพละกำลังเทียบเท่ากับตัวเขา ถ้าหากปรมาจารย์ขงเขียนถ้อยคำเป็นพรืด คงไม่มีอะไรในโลกที่ยับยั้งอีกฝ่ายไว้ได้!
แต่ทันทีที่ความคิดนั้นแวบเข้ามาในหัวของจางเซวียน เขาก็รีบส่ายหน้าแล้วสลัดมันออกไป
การจะสร้างนักรบทองคำของลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณขึ้นมาได้สักคนนั้น การพูดง่ายกว่าทำมาก เพราะไม่เพียงแต่จะเป็นการทดสอบทักษะและสภาวะจิตของผู้เขียนลายมือในระดับแรงกล้า แต่ยังต้องการพลังปราณและหยดเลือดเพื่อบ่มเพาะมันด้วย สำหรับความสามารถของจางเซวียนในตอนนี้ เขาทำได้แค่สร้างนักรบทองคำของลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานเท่านั้น และสร้างได้อย่างมากก็เพียง 3 ตัว
อะไรที่นอกเหนือไปจากนั้นถือว่าเกินกำลัง
“แต่ถึงมันจะทรงพลังขนาดไหน ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าตัวอักษรตัวหนึ่ง” จางเซวียนพึมพำ
เขาปลดปล่อยการรับรู้จิตวิญญาณเพื่อสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าการต่อสู้เมื่อครู่ก่อนไม่ได้ดึงดูดความสนใจของใคร เขาหันกลับไปมองนักรบทองคำอีกครั้ง จากนั้นก็กระทืบขาขวาและพุ่งเข้าใส่ จ้วงแทงหอกไปยังทิศทางที่นักรบยืนอยู่
ด้วยความเข้มข้นของพลังปราณที่บริเวณปลายหอก ลูกทรงกลมที่บรรจุพลังงานเอาไว้ก่อตัวขึ้นตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็ว
ศิลปะเพลงหอกของจางเซวียนมีความสัมพันธ์กลมกลืนกับโลกใบนี้ แม้จะมีรูปแบบเรียบง่าย แต่ความสามารถรอบด้านคือหัวใจของมัน ทิศทางของหอกที่ไม่อาจคาดเดาได้ทำให้คู่ต่อสู้ป้องกันตัวเองได้ยาก
เพื่อจบการต่อสู้ครั้งนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จางเซวียนลุยต่ออย่างไม่ยั้งมือ เขารวบรวมพละกำลังจนเต็มพิกัดและปลดปล่อยพลังที่เกือบจะเทียบเท่ากับนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติ ภายในไม่ถึง 2 อึดใจ นักรบทองคำของลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณก็แตกสลาย กลายสภาพเป็นตัวอักษรหมึกที่อยู่บนผนังด้านหลังรูปปั้น
‘ลัทธิขงจื๊อ’
เมื่อเห็นว่าตัวอักษรไม่ปล่อยการโจมตีใดๆอีกแล้ว จางเซวียนเดินเข้าหารูปปั้นปรมาจารย์ขงและโค้งคำนับอย่างงามเพื่อแสดงการคารวะ ก่อนจะเหลียวมองไปรอบๆ
เป็นไปได้ว่านักรบทองคำเมื่อครู่คือบททดสอบที่ใครก็ตามที่ต้องการเข้าสู่หอบรรพบุรุษนักปราชญ์จะต้องผ่านไปให้ได้ เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอาณาจักรโบร่ำโบราณของนักปราชญ์โบราณหรันชิว มีแต่ผู้ที่เอาชนะมันได้เท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติเพียงพอจะได้สำรวจสถานที่ดังกล่าว
ห้องนั้นว่างเปล่า เว้นเสียแต่รูปปั้นที่อยู่บริเวณใจกลางห้อง
จางเซวียนเดินไปที่ประตูข้าง และเห็นทางเดินทอดยาวออกไปจากตรงนั้น ทางเดินมีขนาดกว้างใหญ่ มีแผ่นหินมากมายนับไม่ถ้วนลอยตัวอยู่สองข้างทาง
“นี่คือ…เรื่องราวทั้งหมดในชีวิตของปรมาจารย์ขงหรือ?” จางเซวียนตาโตด้วยความตื่นเต้น
แผ่นหินที่ลอยอยู่มีชีวประวัติของปรมาจารย์ขงบันทึกไว้ ประกอบด้วยรายละเอียดทุกอย่างนับตั้งแต่เขาเกิดมา
จางเซวียนจับจ้องแผ่นหินแผ่นหนึ่งที่กำลังลอยอยู่ รู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณของเขากำลังล่องลอยทะลุมิติและกาลเวลาเพื่อกลับไปเป็นสักขีพยานต่อชีวิตอันยิ่งใหญ่ของปรมาจารย์ขง
…..
ไม่เหมือนกับความสำเร็จมากมายในชีวิตของเขา ปรมาจารย์ขงไม่ได้เป็นเซียนแต่กำเนิด ไม่ว่าจะมองอย่างไร เขาก็คือคนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง สิ่งเดียวที่พอจะสะดุดตาใครๆก็คือความสนใจอย่างล้ำลึกของตัวเขาที่มีต่อหนังสือ บวกกับไหวพริบที่ฉลาดเฉียบแหลม
แต่แล้วก็มาถึงวันหนึ่งที่ปรมาจารย์ขงก้าวออกจากชีวิตธรรมดาสามัญแบบเดิม ราวกับว่าภูมิปัญญาอย่างหนึ่งได้ปรากฏขึ้นในหัวใจของเขาอย่างปุบปับ ทำให้ระดับวรยุทธพุ่งพรวด ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี เขาก็ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้น 9, นักรบเหนือมนุษย์ขั้น 9 และแม้แต่นักรบระดับเซียนขั้น 9!
ในแง่ของความก้าวหน้า ปรมาจารย์ขงไม่ได้ช้าไปกว่าเขาเลย!
ยุคนั้นยังคงเป็นยุคที่เผ่าพันธุ์ปีศาจกุมอำนาจเหนือทวีปแห่งปรมาจารย์ เผ่าพันธุ์มนุษย์ใช้ชีวิต อย่างแร้นแค้นยากลำบาก แต่ตลอดการเจริญเติบโตของเขา ปรมาจารย์ขงไม่เคยหยุดยั้ง เขาต่อสู้ จากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง ปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ไว้จากเงื้อมมือของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ในเวลาเดียวกันก็เผยแผ่คำสอนและแนวคิดพร้อมกับรับลูกศิษย์ไปด้วย
ไม่ช้าไม่นาน สภาปรมาจารย์ที่พวกเขารู้จักกันดีในทุกวันนี้ก็ถูกก่อตั้งขึ้น
เมื่อรู้สึกว่าการปรากฏตัวของปรมาจารย์ขงเป็นภัยคุกคาม เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นพยายามลอบโจมตีปรมาจารย์ขงกับเหล่าศิษย์สายตรงของเขา กักขังคนเหล่านั้นไว้ที่เฉินข่ายอยู่หลายเดือน หลายคนคิดว่าปรมาจารย์ขงคงพ่ายแพ้แล้ว แต่ในช่วงเวลาคับขันนั้น เขาได้รังสรรค์มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงขึ้น และฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ สิ่งนั้นปลดปล่อยตัวเขาจากอันตรายที่เผชิญอยู่ และในที่สุดก็สังหารไอ้โหดได้สำเร็จด้วย
ไม่ช้าไม่นาน เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นก็ถูกผลักดันกลับไป พวกมันต้องติดแหงกอยู่ในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ทำให้มวลมนุษย์เป็นอิสระอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
“เท่าที่เห็น ดูเหมือนการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณของปรมาจารย์ขงจะไม่ใช่แค่การทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ของเวลาแบบทั่วไป…” จางเซวียนครุ่นคิดขณะติดตามการเดินทางในชีวิตของปรมาจารย์ขงไปเรื่อยๆ
มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงบรรจุเอาความลับของกาลเวลาไว้ จางเซวียนเองเคยเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อมาแล้ว และกระแสของกาลเวลาในมิติลี้ลับแห่งนั้นก็แตกต่างจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
การฝ่าด่านวรยุทธของนักปราชญ์โบราณหรันชิวมีรากฐานมาจากศิลปะเพลงหอกของเขา ส่วนการฝ่าด่านวรยุทธของนักปราชญ์โบราณชิวอู๋มาจากความเข้าใจอันล้ำลึกในกฎเกณฑ์แห่งมิติ ที่ผ่านมา จางเซวียนเคยคิดว่าสิ่งที่ทำให้ปรมาจารย์ขงฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จคือกฎเกณฑ์ของเวลา แต่ดูเหมือนจะมีอะไรมากกว่านั้น
ผู้ก่อตั้งตระกูลจางคือบุคคลที่เข้าถึงแก่นสารของกาลเวลาและฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จโดยอาศัยมัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเป็นนักรบผู้ทรงพลัง แต่ก็ยังห่างไกลหากจะเปรียบเทียบกับครูบาอาจารย์ของโลก
จางเซวียนเก็บความสงสัยในใจไว้ เขาเดินสำรวจแผ่นหินแผ่นอื่นๆต่อไป
หลังจากถูกขับไล่ไปสู่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจแล้ว เผ่าพันธุ์ปีศาจต่างรู้สึกเสียศักดิ์ศรีและปรารถนาการแก้แค้น พวกมันจึงอัญเชิญเทพเจ้ามาเพื่อหวังจะพลิกผันสถานการณ์ แต่แล้วเทพเจ้าก็กลับถูกปรมาจารย์ขงจับตัวไว้
เมื่อเฝ้าดูมาถึงจุดนี้ จางเซวียนหายใจถี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อย
เป้าหมายของเขาในการมาที่นี่คือค้นหารายละเอียดของการปะทะระหว่างปรมาจารย์ขงกับเทพเจ้าที่ถูกจับตัวไป และคำตอบก็อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว!
ปรมาจารย์ขงนำตัวเทพเจ้าไปจากสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ซึ่งเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในทวีปแห่งปรมาจารย์ แล้วพาอีกฝ่ายไปยังดินแดนกันดารห่างไกล
ดินแดนนั้นอยู่ในพื้นที่แห้งแล้ง พลังจิตวิญญาณเบาบาง แทบไม่มีสิ่งปลูกสร้างหรือเมืองให้เห็น
แต่แล้วเรื่องราวเหล่านั้นก็ถูกตัดภาพไป บอกได้ยากว่าเทพเจ้าถูกสังหารไปแล้วหรือไม่ แต่เขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย และในเวลาเดียวกัน ปรมาจารย์ขงก็ดูจะได้รับบาดเจ็บ จึงเลือกที่จะตั้งหลักอยู่ในพื้นที่นั้นชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อเยียวยาตัวเอง
บนแผ่นหินแผ่นสุดท้ายได้บอกรายละเอียดไว้ว่าปรมาจารย์ขงเข้าสู่โลกขนาดย่อมใบหนึ่ง ถ้าข้อสันนิษฐานของเขาถูกต้อง โลกขนาดย่อมใบนั้นน่าจะเป็นอาณาจักรคุนฉื่อที่ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ตั้งอยู่
“อาณาจักรคุนฉื่อ…หรือว่า…”
จางเซวียนพินิจพิจารณาดินแดนกันดารห่างไกลที่ปรมาจารย์ขงพาตัวเทพเจ้าไปไว้ที่นั่น คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน
เขาจดจำดินแดนกันดารห่างไกลแห่งนั้นได้…
ไม่ใช่ที่อื่นใดนอกจากอาณาจักรเทียนเซวียนในปัจจุบัน!