“หรือว่าปรมาจารย์ขงไม่ได้เป็นผู้สร้างอาณาจักรคุนฉื่อ?” จางเซวียนครุ่นคิด
เขารู้ตั้งแต่ก่อนจะมาถึงที่นี่แล้วว่าร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์แยกตัวจากทวีปแห่งปรมาจารย์เข้ามาพำนักในโลกใบย่อมที่ปรมาจารย์ขงสร้างขึ้น นี่คือเหตุผลที่เขาไม่ประหลาดใจนักเมื่อได้เห็นอาณาจักรคุนฉื่อหลังจากทำลายฉนวนได้สำเร็จ แต่แผ่นหินที่อยู่ตรงหน้ากำลังบอกเขาว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นแบบนั้น
โลกขนาดย่อมใบนี้ดูจะมีอยู่ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ไม่ใช่การรังสรรค์ของปรมาจารย์ขง
เรื่องราวของปรมาจารย์ขงหยุดอยู่เท่านี้ เป็นไปได้ไหมว่าอาณาจักรคุนฉื่อจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับมิติเบื้องบน?
จางเซวียนขมวดคิ้วและเดินหน้าต่อไป
ที่ปลายสุดทางเดินคือห้องโอ่อ่าหรูหราที่เต็มไปด้วยจิตรกรรมฝาผนัง ภาพวาดเหล่านั้นแสดงถึงคุณงามความดีมากมายที่ผู้เชี่ยวชาญหลายรุ่นของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ได้สร้างไว้หลังจากเข้าสู่ โลกขนาดย่อมใบนี้
เป็นอย่างที่จางเซวียนคาดเดาไว้ ข้าวสาลีแตกยอดถูกบ่มเพาะโดยนักปราชญ์โบราณคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่นักปราชญ์โบราณจื้อฉื่ออย่างที่จางเซวียนเคยคิด กลับเป็นทายาทคนหนึ่งของเขา ต้องใช้เวลาถึงหลายหมื่นปีกว่าจะปรับปรุงดัดแปลงมันจนกลายเป็นพืชมหัศจรรย์ขนาดนี้ พืชที่ทำให้ แม้แต่คนธรรมดาสามัญมีวรยุทธขั้นจงซรือได้เมื่อมีอายุมากพอ
แน่นอนว่าอานุภาพของมันไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น ด้วยการยกระดับสภาวะร่างกายของพวกเขา มันยังทำให้นักรบสามารถพัฒนาวรยุทธได้เร็วกว่าปกติด้วย
หลังจากกวาดสายตาไปทั่วจิตรกรรมฝาผนังที่ติดตั้งอยู่ จางเซวียนยิ่งงุนงงสับสนมากขึ้น
ในภาพเหล่านั้นไม่มีข้อมูลอะไรที่เกี่ยวข้องกับปรมาจารย์ขงเลย ดูราวกับว่าปรมาจารย์ขงหายตัวไปจากโลกนี้แล้วอย่างสิ้นเชิงจนไม่หลงเหลือรายละเอียดอะไรเกี่ยวกับเขาอีกแล้ว
จางเซวียนเดินไปจนสุดทางและเดินวนไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่มีอะไรให้เห็น
เขาอดถอนหายใจอย่างจนปัญญาไม่ได้
ดูเหมือนการสืบเสาะของเขาจะมาถึงทางตันเสียแล้ว
จางเซวียนส่ายหน้าและกำลังจะออกจากหอบรรพบุรุษนักปราชญ์เพื่อไปสำรวจพื้นที่อื่นๆของสำนักแห่งขงจื๊อ ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงรีบหลบเข้าไปที่มุมห้อง พร้อมกันนั้นก็สร้างฉนวนขึ้นมา 12 อันเพื่อปกป้องตัวเอง ทำให้ร่องรอยทั้งหมดของเขาหายไป
ฟึ่บ!
เพียงวินาทีเดียวหลังจากอำพรางตัวสำเร็จ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นกลางอากาศ ผู้คนมากมายกำลังมุ่งหน้ามายังหอบรรพบุรุษนักปราชญ์
จางเซวียนแอบมองจากจุดที่เขาซ่อนตัวอยู่ ผู้ที่เดินนำหน้ากลุ่มนั้นมีใบหน้าคุ้นตาอย่างน่าประหลาด…นักปราชญ์โบราณเหยียนชิง!
ทั้งกลุ่มที่ตามหลังอีกฝ่ายมาล้วนแต่อยู่ในความทรงจำของเขา ทุกคนมีส่วนร่วมในการเข้าตีวงล้อมอำมาตย์เฉินหย่งเมื่อครั้งอยู่ที่วิหารแห่งขงจื๊อ
ด้วยความแข็งแกร่งของจางเซวียนในตอนนี้ บวกกับความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์แห่งมิติของเขา ตราบใดที่เขาไม่ปลดปล่อยรังสีออกมาหรือตั้งใจสื่อสารกับใคร ก็สามารถอำพรางตัวได้แม้แต่จากสายตาของเหล่านักปราชญ์โบราณ
พวกเขาดูหน้าตาไม่ค่อยดีเลย…
ครั้งแรกที่จางเซวียนได้พบคนเหล่านี้ที่วิหารแห่งขงจื๊อ ทุกคนแผ่รังสีแผดกล้าของนักปราชญ์โบราณออกมา เป็นรังสีที่บีบบังคับให้ใครต่อใครต้องก้มหัวให้กับอำนาจของพวกเขา แต่ตอนนี้ แต่ละคนดูราวกับต้นไม้ใหญ่ที่กำลังเหี่ยวแห้ง ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หน้าตาหรือรังสีที่แผ่ออกมา ก็ดูเหมือนว่าทั้งกำลังวังชาและความสดชื่นมีชีวิตชีวาถูกดูดออกจากร่างไปจนหมดเกลี้ยง
นี่คือบางอย่างที่เขาเคยรู้สึกได้จากจางหงเทียนเมื่อครั้งที่อายุขัยของอีกฝ่ายสิ้นสุด
สงสัยเหลือเกินว่ามีอะไรผิดพลาด…จางเซวียนจ้องมองและครุ่นคิด
จริงอยู่ว่าการต่อสู้กับอำมาตย์เฉินหย่งในครั้งนั้นดุเดือดมาก และหลายๆคนในกลุ่มนี้ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่อาการบาดเจ็บของพวกเขาก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนจางหงเทียน น่าจะเยียวยาตัวเองจนกลับมาแข็งแกร่งดังเดิมได้หากมีเวลามากพอ
ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมทุกคนถึงยังอยู่ในสภาพนี้ทั้งที่เวลาผ่านไปก็หลายเดือนแล้ว?
โดยเฉพาะกับนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง สีหน้าของเขาบ่งบอกความอ่อนล้า แววตาที่เคยมีชีวิตชีวากลับหมองไป การเคลื่อนไหวก็ออกจะติดขัด ดูราวกับใกล้จบชีวิตเต็มที
“แค่ก! แค่ก!”
ขณะที่จางเซวียนกำลังพยายามขบคิดว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงไอก็ดังขึ้นกลางอากาศ จากนั้นเลือดสุดๆก็ไหลซึมออกจากมุมปากของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง
“เหยียนชิง…” นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งที่อยู่ข้างหลังมองเขาอย่างเป็นห่วง
“ผมยังไหว…” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงยกมือขึ้นและตอบอย่างอ่อนระโหย เขารวบรวมพละกำลังเฮือกสุดท้ายแล้วหันกลับมาพูด “หลังจากคารวะแล้ว พวกเราก็เริ่มกันเถอะ”
“คุณแน่ใจนะว่าอยากทำแบบนี้?”
“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่ นี่คือภารกิจที่ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ได้รับมอบหมาย พวกเราจะละทิ้งความรับผิดชอบของเราไม่ได้” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตอบด้วยสีหน้าที่อ่านได้ยากว่าเขาคิดอะไรอยู่
เขาส่ายหัว จากนั้นก็เดินเข้าหารูปปั้นปรมาจารย์ขงและทรุดตัวลงคุกเข่า นักปราชญ์โบราณคนอื่นๆรีบทำตาม
“เรียนท่านครูบาอาจารย์ของโลกผู้เก่งกาจ ผมคือทายาทรุ่นที่ 73 ของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวน, เหยียนชิง ผมได้ทำตามคำสอนของคุณและรักษาภาระหน้าที่มาตลอดระยะเวลาหลายปี ไม่มีสักวันที่ผมจะละเลย ด้วยการปรากฏขึ้นของวิหารแห่งขงจื๊อ ผมรู้ดีว่าพวกเรามาถึงจุดแตกหักที่เหล่าบรรพบุรุษเคยเตือนเอาไว้ และถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะทำหน้าที่ในส่วนของเราที่มีต่อโลกใบนี้ เราเต็มใจที่จะสละชีวิตของเราให้กับโลก เพราะฉะนั้น ถ้าคุณได้ยินเสียงอ้อนวอนของพวกเราจากเบื้องบน ผมขอวิงวอนให้คุณดูแลตระกูลของพวกเราด้วย หลังจากที่เราจากโลกนี้ไปแล้ว!”
คำพูดของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงแสนจะเคร่งเครียด ราวกับเขาพร้อมใจรับจุดจบของชีวิต
รูปปั้นปรมาจารย์ขงยืนนิ่งอยู่กับที่ ความเงียบงันอบอวลไปทั่ว
หลังจากอ้อนวอนแล้ว ทั้งกลุ่มก็ลุกขึ้นยืน แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงดูจะอ่อนระโหยกว่าเดิมขณะพูดว่า “ไปกันเถอะ”
“ได้”
ความสิ้นหวังปรากฏในแววตาของเหล่านักปราชญ์โบราณผู้สูงส่งและทรงพลังเหล่านั้น แต่พวกเขาก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ทุกคนตามหลังนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงไปอย่างเงียบๆ
จุดแตกหัก? สละชีวิตของพวกเขา?
ไม่นานหลังจากบรรดานักปราชญ์ของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์จากไป จางเซวียนก็ปลดฉนวนที่อยู่รอบตัวออกขณะก้มหน้าลงครุ่นคิด
ภายใต้สถานการณ์ปกติ นักปราชญ์โบราณเหล่านี้ควรจะกลับสู่ภาวะจำศีลแล้ว ทำไมจู่ๆถึงมาเยี่ยมเยียนหอบรรพบุรุษนักปราชญ์และพูดอะไรแบบนั้นออกมา แล้วยังอาการบาดเจ็บของพวกเขาอีกล่ะ?
เรื่องสุดท้ายที่จางเซวียนได้ข่าวมาก็คือพวกเขากำลังวุ่นวายอยู่กับการซ่อมแซมวิหารแห่งขงจื๊อ หรือว่าจะมีอันตรายบางอย่างในการซ่อมแซมวิหารแห่งขงจื๊อ?
จางเซวียนเก็บงำความสงสัยไว้ จากนั้นก็รีบตามทั้งกลุ่มไป
“หอกสวรรค์กระดูกมังกร ช่วยปกปิดรังสีของผมให้หน่อย”
หอกสวรรค์กระดูกมังกรรีบแปรสภาพเป็นเข็มขัดที่รัดรอบเอวของจางเซวียน ในชั่วพริบตา ก็ดูเหมือนร่างของจางเซวียนจะหดลงเล็กน้อย ไม่มีร่องรอยของรังสีแผ่ออกจากตัวเขา ถึงขนาดที่ต่อให้นักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดก็ไม่อาจรับรู้การปรากฏตัวของเขาได้
แม้ประสิทธิภาพการต่อสู้ในปัจจุบันของจางเซวียนจะทัดเทียมกับนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ได้ก้าวข้ามขั้นสุดท้ายเพื่อฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ ดังนั้นการควบคุมพละกำลังของเขาจึงยังคงอ่อนด้อยอยู่ หากปราศจากปราการหลายต่อหลายชั้น ก็ไม่มั่นใจว่าจะเก็บงำรังสีไว้ได้ดีพอที่จะสะกดรอยตามเหล่าผู้เชี่ยวชาญไปได้โดยไม่ทำให้พวกเขารู้ตัว
แต่หอกสวรรค์กระดูกมังกรได้ดื่มเลือดมังกรและอยู่ห่างอีกเพียงก้าวเดียวจากการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติ ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ มันแข็งแกร่งยิ่งกว่านักปราชญ์โบราณเหยียนชิงเสียอีก ด้วยการช่วยเหลือของมัน เป็นไปได้ว่านักปราชญ์โบราณเหล่านั้นคงไม่สามารถรับรู้การปรากฏตัวของเขา
เมื่อออกจากหอบรรพบุรุษนักปราชญ์ จางเซวียนเห็นนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงโผขึ้นสู่กลางอากาศและฉีกกระชากมิติออกเพื่อเดินทางไปที่อื่น เขารีบตามไปติดๆ
ครู่ต่อมา พวกเขาก็มาถึงแท่นบูชาที่อยู่กลางสันเขาห่างไกล ท้องฟ้าเบื้องบนว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่หมู่เมฆหรือสีฟ้าให้เห็น มันคือความว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง
กระแสของมิติที่นี่ช่างรวดเร็วเหลือเกิน จางเซวียนตั้งข้อสังเกต
หากมองด้วยสายตาของผู้ที่ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนมา สถานที่แห่งนี้ดูจะสงบสุขมาก แต่ในฐานะใครคนหนึ่งที่เข้าถึงแก่นสารของมิติแล้ว จางเซวียนรับรู้ได้ว่ากระแสของมิติในพื้นที่นี้ไหลไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในทุกๆวินาที ดูราวกับว่าทั่วทั้งบริเวณนี้อาจพังทลายได้ในไม่ช้า
แต่นั่นยังไม่หมด
เหนือความว่างเปล่าขึ้นไปมีความรู้สึกกระหายเลือดที่ดูเหมือนจะพุ่งตรงเข้าเล่นงานจิตวิญญาณของทุกคน
“เริ่มกันเถอะ!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงเร่งหลังจากเข้าประจำตำแหน่ง
นักปราชญ์โบราณทั้งกลุ่มที่เหลือพยักหน้ารับและเริ่มขับเคลื่อนพลังปราณของพวกเขา แต่แล้วก็ถูกขัดจังหวะโดยพายุที่ก่อตัวขึ้นอย่างกะทันหัน สองร่างพุ่งตรงเข้าหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว
เมื่อรับรู้ได้ถึงแขกไม่ได้รับเชิญทั้งสองคน เหล่านักปราชญ์โบราณรีบยับยั้งการกระทำของพวกเขาและหันไปมอง แน่นอนว่าจางเซวียนก็ทำแบบเดียวกัน
ฟึ่บ!
แขกทั้งสองร่อนลงกับพื้น
คนแรกคือสาวน้อยที่ดูจะมีอายุราว 20 ต้นๆ เธอมีเรือนร่างบอบบางอ้อนแอ้นและผมดำสนิทที่ยาวสยายจนถึงเอว ให้ความรู้สึกละเอียดอ่อนน่าหลงใหล นัยน์ตาของเธอฉายแววกังวลใจล้ำลึกที่บ่งบอกถึงความร้อนรนต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
อีกคนหนึ่งคือชายหนุ่มอายุราว 20 ต้นๆที่สวมเสื้อคลุมสีเขียว เขายืนอยู่ด้านหลัง จางเซวียนเคยเห็นชายผู้นี้มาก่อน เขาเป็นหนึ่งในทายาทของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ที่เคยต่อสู้แย่งชิงเครื่องรางลำดับแรกกับจางเซวียนที่อาณาจักรโบร่ำโบราณของนักปราชญ์โบราณหรันชิว, เหยียนเฉว่!
“คุณสองคนมาทำอะไรที่นี่?” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตั้งคำถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
สาวน้อยก้าวออกมาและตอบว่า “ในฐานะทายาทของปรมาจารย์ขง ฉันจะนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไรในเมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว?”
ทายาทของปรมาจารย์ขง? จางเซวียนตาโต หรือว่าเธอคือขงซือเหยา?