พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!
เหล่านักปราชญ์โบราณทรุดลงไปกระแทกพื้นอย่างแรง เกิดรอยยุบมากมายบนแท่นบูชานั้น
ด้วยระดับวรยุทธของพวกเขา ทุกคนยังไม่เสียชีวิตในทันทีทันใดแม้จะเหลือแต่โครงกระดูกแล้ว แต่เนื่องจากได้เข้าสู่ภาวะจำศีลมาเนิ่นนาน และยังไม่หายดีจากอาการบาดเจ็บที่ได้รับเมื่อครั้งต่อสู้กับอำมาตย์เฉินหย่ง ดังนั้น หากพวกเขาไม่ได้รับนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณในปริมาณที่มากพอเพื่อเรียกพลังชีวิตกลับคืนมา อายุขัยของพวกเขาจะหดสั้นลงอย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็ต้องตาย
พูดอีกอย่างก็คือ ทุกคนเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อยืนหยัดต่อต้านเทพเจ้า!
เราจะปล่อยให้พวกร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ต้องตายที่นี่ไม่ได้…
จนถึงตอนนี้ จางเซวียนก็ยังไม่ได้ลงมือเคลื่อนไหวอะไรเพราะความไม่พอใจหลายอย่างที่เขาเคยมีต่อร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ ประกอบกับคิดว่าพวกนั้นน่าจะรับมือกับสถานการณ์ด้วยตัวเองได้ เขากังวลว่าการเสนอหน้าเข้าไปก้าวก่ายอย่างปุบปับมีแต่จะทำให้ทุกอย่างเลวร้ายกว่าเดิมถ้านักปราชญ์โบราณเหล่านั้นพากันหันมาหวาดระแวงเขา
แต่นั่นแหละ ตอนนี้ทุกอย่างก็เลวร้ายที่สุดเท่าที่มันจะเป็นไปได้แล้ว เขาไม่อาจนิ่งเฉยและปล่อยให้เหล่านักปราชญ์โบราณของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ต้องตาย
ถึงจางเซวียนจะรู้สึกว่าการกระทำของคนพวกนี้น่าสงสัย แต่ก็แน่นอนว่าทุกคนกำลังปกป้องมวลมนุษย์ด้วยวิถีทางของตัวเองและได้เสียสละครั้งใหญ่
เขาไม่อาจทนดูคนพวกนี้เสียชีวิตได้!
จางเซวียนขับเคลื่อนพลังงานและกำลังจะพุ่งเข้าโจมตีเทพเจ้าอย่างเงียบๆ แต่แล้วจู่ๆขงซือเหยาก็กระอักเลือดออกมาอีกกองหนึ่งก่อนจะออกคำสั่ง “ยืนหยัดไว้และผลักดันเขากลับไป!”
ฟึ่บ!
สิ้นเสียงสั่งการของเธอ รอยแยกมากมายที่อยู่กลางอากาศก็สมานตัวเข้าหากันขณะที่มิติแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกัน ตัวเทพเจ้าที่โผล่พ้นปราการแห่งมิติออกมาจนถึงเอวแล้วก็ถอยกลับเข้าไปทันทีทันใดเพราะคำสั่งนั้น ตอนนี้เขาโผล่ออกมาแค่ไหล่
โชคร้ายที่วรยุทธของขงซือเหยาอ่อนด้อยเกินไปเมื่อเทียบกับเทพเจ้า แม้จะใช้ความสามารถของสายเลือดแล้ว เธอก็ยังไม่อาจผลักดันเทพเจ้ากลับสู่มิติเบื้องบนได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
“นั่นคือสายเลือดของเขาจริงๆ! เยี่ยมยอด…น่าทึ่งมาก! ด้วยสิ่งนี้ หัวหน้าตระกูลจะต้องยอมรับเราเป็นศิษย์สายตรงของเขา และมอบทรัพยากรให้เราอย่างไม่มีวันจบสิ้น!”
แม้เทพเจ้าเกือบจะถูกขับออกจากโลกใบนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่แสดงความหวาดหวั่นสักนิดต่อเทคนิคของขงซือเหยา นัยน์ตาของเขากลับเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นจนแทบจะคลุ้มคลั่ง
ในตอนนั้นเอง ศพของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนก็ดูเหมือนจะได้ซึมซับเลือดในปริมาณที่มากพอ ร่างนั้นค่อยๆลุกขึ้นจากโลงศพ เขากำหมัดแน่นแล้วปล่อยหมัดเข้าใส่เทพเจ้าที่กำลังปีนป่ายออกจากรอยแยกแห่งมิติ
พลั่ก!
หมัดนั้นไร้ซึ่งความสง่างามอย่างสิ้นเชิง แต่พละกำลังของมันน่าทึ่งถึงระดับของนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติเลยทีเดียว
“ฮ่า!”
เทพเจ้าไม่แสดงความตื่นตระหนกออกมาแม้ต้องเผชิญหน้ากับพละกำลังทำลายล้าง เขาคำราม และประกบมือเข้าหากัน
ครืดดดด!
ค่ายกลที่ได้รับการเสริมพลังจากศพของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนแยกตัวออกจากกันอย่างแรง ทำให้พลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทพุ่งตรงเข้าสู่โลก
ด้วยพละกำลังหนักหน่วงนั้น นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงล้มลงกระแทกพื้นและขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้ ราวกับถูกภูเขาลูกใหญ่ทับไว้
คนอื่นๆก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีกว่ากันนัก แต่เพราะขงซือเหยาเปิดใช้งานสายเลือดของเธอ จึงยังพอยืนหยัดอยู่ได้ ส่วนเหยียนเฉว่ก็หน้าซีดเผือดขณะที่ผิวหนังฉีกขาดเพราะแรงกดดันที่ถาโถมเข้าใส่ เผยให้เห็นเนื้อสดๆสีแดงก่ำข้างใน
จางเซวียนก็ได้รับผลกระทบจากพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทนั้นเช่นกัน แต่ไม่รุนแรงนัก ตัวเขาคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดานักปราชญ์โบราณที่รวมตัวกันอยู่ แถมยังได้ปิดกั้นจุดชีพจรทั้งหมดไว้ล่วงหน้าแล้วเพื่อป้องกันไม่ให้พลังงานนั้นซึมซาบเข้าสู่ร่าง ความบอบช้ำที่จางเซวียนได้รับจึงไม่หนักหนาสาหัสอะไร
พลั่ก! พลั่ก! ตุ้บ!
เทพเจ้าต่อสู้กับศพของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวน แต่ในทุกๆกระบวนท่าที่ล่วงไป พละกำลังของศพก็ดูจะลดลงเรื่อยๆ พูดอีกอย่างก็คือ เมื่อพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณนั้น เทพเจ้าก็ดูจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อถึงกระบวนท่าที่ 8 ก็เกิดเสียงระเบิดขึ้นดังสนั่นขณะที่ศพถูกสอยกระเด็นกลับเข้าไปอยู่ในโรง
“การแผดเผาสายเลือด!”
ขงซือเหยาคำรามก้องด้วยนัยน์ตาแดงก่ำขณะเริ่มแผดเผาสายเลือดของเธออีกครั้ง แต่คราวนี้ ยังไม่ทันที่เธอจะทำสำเร็จ เทพเจ้าก็คำราม “เก็บเรี่ยวแรงของคุณไว้เถอะ ดิ้นรนไปก็เปล่าประโยชน์ เพียงเพราะผมต้องการให้คุณมีชีวิตอยู่ ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะอดทนกับความดื้อด้านของคุณนะ!”
จากนั้น พลังฝ่ามือก็ถูกปล่อยออกมาจากรอยแยกของมิติ
พลั่ก!
ขงซือเหยาร่วงจากกลางอากาศทันทีเพราะแรงปะทะนั้น
เพราะเกรงว่าทางเดินพลังปราณของเธอจะฉีกขาด เหยียนเฉว่รีบขับเคลื่อนพลังปราณของเขาเพื่อรับตัวเธอไว้
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
หลังจากเล่นงานศพของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนและขงซือเหยาจนล่าถอยได้แล้ว เทพเจ้าหัวเราะลั่นขณะดันตัวเองออกจากรอยแยกแห่งมิติจนสำเร็จ เขาลอยตัวอยู่กลางอากาศโดยประสานมือไว้บนหน้าอก
เหตุผลที่ก่อนหน้านี้เขาฝ่าปราการแห่งมิติได้อย่างยากลำบากก็เพราะมีค่ายกลขวางไว้ แต่เมื่อค่ายกลแหลกสลายไปจากแรงปะทะของพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอท ก็ไม่มีอะไรยับยั้งเขาไว้ได้อีก
“อยากรู้เหลือเกินว่าสภาพแวดล้อมแบบไหนที่สร้างสิ่งมีชีวิตทรงพลังขนาดนี้ขึ้นได้ แต่ต้องขอบอกเลยว่าผมผิดหวังมากกับสิ่งที่ได้เห็นที่นี่!” เทพเจ้าคำรามเยาะขณะพุ่งเข้าไปคว้าตัวขงซือเหยา
เหยียนเฉว่รีบเข้ามาดึงขงซือเหยากลับไป แต่ก็ถูกสอยกระเด็นด้วยการกระดิกนิ้วเพียงครั้งเดียว เขาทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น กระดูกกระเดี้ยวแหลกสลายเพราะพละกำลังหนักหน่วงนั้น
“คุณน่ะ มากับผม!” เทพเจ้าออกคำสั่ง
ฟึ่บ!
เขาใช้ตาข่ายพลังงานห่อหุ้มตัวร่างขงซือเหยาไว้
“ไม่นะ!”
เห็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวของปรมาจารย์ขงที่มีความบริสุทธิ์ของสายเลือดระดับ ‘8’ ตลอดระยะเวลาพันปีที่ผ่านมาถูกจับตัวไป ทุกคนนัยน์ตาเบิกโพลงอย่างพรั่นพรึง
แต่ด้วยความเหลื่อมล้ำของพละกำลังระหว่างพวกเขากับศัตรู ก็ไม่มีอะไรที่จะทำได้ ทุกคนพยายามสุดตัวแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล
“อาณาจักรคุนฉื่อที่ปรมาจารย์ขงก่อตั้งจะต้องล่มสลายในช่วงอายุขัยของเราหรือ? เราจะปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตัวสั่นอย่างหนักขณะส่ายหน้าด้วยความไม่อยากเชื่อ ไม่พร้อมยอมรับความเป็นจริงที่เห็น
ในครั้งนั้น แม้ปรมาจารย์ขงจะไว้ชีวิตเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นเพราะความเมตตากรุณา แต่เขาก็พูดไว้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จะต้องแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆตามกาลเวลาที่ผ่านไป เพื่อจะได้เอาชนะภัยคุกคามที่เข้ามาขวางทางได้
แต่เพราะแม้แต่ปรมาจารย์ขงเองก็นึกไม่ถึงว่านิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณจะหายไปจากโลกใบนี้อย่างปุบปับ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สถานการณ์พลิกผันไป ในชั่วพริบตา มวลมนุษย์ก็ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายอีกครั้ง
ถึงพวกเขาจะกำจัดภัยคุกคามจากเผ่าพันธุ์ปีศาจได้สำเร็จ แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ยังไม่อาจกลับสู่ยุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองได้ดังเดิม
ถ้าเป็นช่วงเวลาก่อนที่วิหารแห่งขงจื๊อจะปรากฏ ก็คงไม่มีใครผ่านปราการแห่งมิติเข้ามาได้ แต่เพราะการล่มสลายของวิหารแห่งขงจื๊อ ค่ายกลที่สกัดกั้นปราการแห่งมิติไว้จึงอ่อนกำลังลงเรื่อยๆตามระยะเวลาที่ล่วงไป
ต่อให้ตอนนี้พวกเขายืดอายุขัยเพื่อเสริมกำลังให้ปราการ ก็คงช่วยได้เพียงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น
ทุกอย่างจะแตกต่างจากนี้หรือไม่ถ้าชายผู้นั้นอยู่ที่นี่?
ในตอนนั้น นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงอดนึกถึงปรมาจารย์ฟ้าประทานที่ชื่อจางเซวียนไม่ได้
เขาอาจอายุยังน้อย แต่ก็สร้างปาฏิหาริย์ครั้งแล้วครั้งเล่า
เท่าที่นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงรู้ จางเซวียนคือผู้สังหารเทพเจ้าที่อำมาตย์เฉินหลิงเรียกมา ระหว่างการประกอบพิธีกรรม…
ถ้าเขาอยู่ที่นี่ จะสังหารเทพเจ้าองค์นี้ได้หรือเปล่า? จะช่วยชีวิตร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์จากวิกฤตการณ์ที่จ่อคอหอยพวกเขาอยู่ได้ไหม?
“คิดไปก็เปล่าประโยชน์ เขาไม่ได้อยู่ที่นี่สักหน่อย แถมความสัมพันธ์ของพวกเรากับเขาก็ย่ำแย่…” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงส่ายหัวอย่างจนปัญญา
นอกจากข้อเท็จจริงที่ว่าคนนอกเข้ามาที่นี่ไม่ได้ ต่อให้ชายหนุ่มคนนั้นอยู่ที่นี่ ก็คงไม่มีทางที่เขาจะเต็มใจช่วย
แม้ทั้งสองฝ่ายจะมีเป้าหมายร่วมกันในการปลดปล่อยเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้เป็นอิสระจากภัยคุกคามของเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่แนวคิดและค่านิยมที่ต่างกันก็ทำให้ทั้งสองฝ่ายเกิดการปะทะกันหลายครั้ง เกิดเป็นความสัมพันธ์อันร้าวฉาน
“ต่อให้วันนี้เราต้องตาย ก็จะต้องช่วยชีวิตขงซือเหยาให้ได้ เธอคือความหวังเพียงหนึ่งเดียวของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ เราจะไม่มีวันปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับเธอเด็ดขาด!”
รู้ดีว่าคิดเหลวไหลเลอะเทอะไปก็ไร้ประโยชน์ นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงรวบรวมพละกำลังเฮือกสุดท้าย หวังจะโจมตีอย่างเด็ดขาดเพื่ออย่างน้อยก็จะได้ยื้อเวลาให้ขงซือเหยาได้หลบหนี แต่ในตอนนั้น ประกายเย็นเยือกก็สว่างวาบขึ้นกลางอากาศ
ด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า ประกายนั้นพุ่งเข้าใส่ลำคอของเทพเจ้า
“เฮ้ย…”
นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงถึงกับผงะกับการปรากฏตัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง เขารีบเขม้นมอง เห็นร่างสง่างามร่างหนึ่งปรากฏต่อหน้าต่อตา มันเป็นภาพที่เขาจะไม่มีวันลบออกจากใจได้
“นั่นจางเซวียนนี่!”
“เขาอยู่ที่นี่!”