ไม่มีคำไหนจะบรรยายความตื่นเต้นของฟ่านเฉี่ยวฉูในตอนนั้นได้
เขาเคยคาดเดาว่าจางเซวียนน่าจะเป็นนักปราชญ์โบราณ แต่นึกไม่ถึงว่าจะทรงพลังขนาดนั้นในหมู่นักปราชญ์โบราณด้วยกัน เพราะถ้าอีกฝ่ายแข็งแกร่งขนาดนั้นจริงๆก็คงไม่มีความจำเป็นต้องขอยืมตัวตนของเขาเพื่อจะได้เข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อ
แต่ในเวลานั้น พละกำลังมหาศาลที่จางเซวียนสำแดงออกมาหนักหน่วงเกินกว่าที่สวรรค์จะรับได้ ราวกับเขาลอยตัวอยู่เหนือทุกกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้
พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!
ขณะที่ทั้งสองแลกหมัดกันครั้งแล้วครั้งเล่า รอยแยกมากมายก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ มิติลี้ลับซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักแห่งขงจื๊อเกิดความตึงเครียดอย่างหนัก ราวกับทั้งมิติพร้อมจะพังทลายได้ทุกวินาที
“ขะ-เขาคือจางเซวียน? ในครั้งนั้นคุณต่อสู้กับเขาหรือ?” จ้งฉิงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ขณะหันไปมองหนานกงหยวนเฟิง
“ตอนนั้นเขาปลอมตัวเป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลหลัว ใช้ชื่อหลัวเทียนหยา แต่เท่าที่ผมรู้มาหลังจากนั้น แท้ที่จริงแล้วเขาคือจางเซวียน…” หนานกงหยวนเฟิงพยักหน้า อดตัวสั่นไม่ได้เมื่อต้องเผชิญกับพละกำลังอันน่าทึ่งของอีกฝ่าย
ครั้งสุดท้ายที่เขาได้เห็นชายหนุ่มก็เพิ่งผ่านมาแค่ 2-3 เดือนเท่านั้น ไม่ใช่หรือ?
มันเรื่องอะไรอีกฝ่ายถึงแข็งแกร่งขึ้นได้ขนาดนี้?
แม้แต่นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงก็ยังมีพละกำลังไม่เท่า ถ้าในครั้งนั้นชายหนุ่มแข็งแกร่งเหมือนอย่างวันนี้ เขาคงถูกสังหารไปแล้วด้วยการกระดิกนิ้วเพียงครั้งเดียว ดูเหมือนอีกฝ่ายจะปรานีเขาอยู่ไม่น้อย!
ฟึ่บ!
ในช่วงเวลาของความตกตะลึง ทั้งสองฝ่ายก็ฉีกกระชากมิติของสำนักแห่งขงจื๊อและหายวับไป
พริบตาต่อมา ทั้งสองก็มายืนอยู่เหนือสันเขาขนาดใหญ่
ในบริเวณนั้น บรรดาผู้เข้าทดสอบที่เพิ่งผ่านการทดสอบไปกำลังพยายามสุดชีวิตที่จะถอดรหัสค่ายกลบนตราหยกที่พวกเขาได้รับ ก็พอดีกับที่มีเสียงดังกึกก้องขึ้นกลางอากาศ ทุกคนเงยหน้ามอง และได้เห็นภาพที่พวกเขาจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต
สองผู้เชี่ยวชาญที่ร่างของพวกเขาถูกโอบล้อมด้วยลำแสงกำลังปะทะกันอย่างดุเดือด ทุกกระบวนท่าทำให้ทั้งโลกสั่นสะเทือน ราวกับมาถึงจุดจบของโลก
หนึ่งในนั้นมีศีรษะอาบเลือด และสีหน้าคลุ้มคลั่งที่ดูเหมือนกำลังจะระเบิดจากแรงโทสะที่สะสมไว้ภายใน ส่วนอีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มที่มีรอยยิ้มสุขุมเยือกเย็น เขาถือดาบไว้มั่นด้วยท่วงท่าสง่างาม
“พวกเขาเป็นนักปราชญ์โบราณหรือ?”
“ไม่มีใครในโลกนี้อีกแล้วที่จะมีพละกำลังเหนือชั้นไปกว่านักปราชญ์โบราณ!”
“ว่าแต่…ทำไมนักปราชญ์โบราณสองคนถึงสู้กันล่ะ? ดูเหมือนพวกเขาตั้งใจจะเล่นงานกันถึงตายเลยนะ!”
“ผมก็ไม่รู้ ทั้งคู่คงมีความขัดแย้งอะไรกันสักอย่าง…”
เกิดเสียงเซ็งแซ่ขึ้นด้านล่าง
บรรดาผู้เข้าทดสอบพากันจับจ้องการต่อสู้อันสง่างามนั้น ทุกคนกำหมัดแน่น นัยน์ตาเปล่งประกายของความอิจฉา
นี่คือสิ่งที่พวกเขาพากเพียรฝึกฝนมาชั่วชีวิต!
นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ทุกคนซึมซับพลังจิตวิญญาณเข้าสู่ร่างและแปรสภาพมันให้กลายเป็นพลังปราณ ภารกิจอันยาวนานชั่วชีวิตในการไขว่คว้าพละกำลังอันแข็งแกร่งก็เริ่มต้น
พลังมหาศาลที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาเรียกได้ว่าเป็นเป้าหมาย ในสายตาของทุกคน มันคือความเป็นสุดยอดของโลกใบนี้
“คุณกล้าทำร้ายท่านอาจารย์ของเราหรือ?”
ในตอนนั้น สองเสียงก็ดังขึ้นกลางอากาศ ก่อนที่วัยรุ่น 2 คนจะโผขึ้นไป
ลำแสงที่อยู่กลางอากาศเข้มข้นขึ้นทันที
น่าประหลาดใจที่หนึ่งในคู่ต่อสู้ซึ่งมีศีรษะอาบเลือดสามารถยืนหยัดอยู่ได้แม้จะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูพร้อมกันทีเดียวถึง 3 คน หลังจากแลกหมัดกันไปหลายครั้ง วัยรุ่นทั้งสองที่เพิ่งเข้ามาเสริมกำลังภายหลังก็ถูกสอยลงไปกระแทกพื้น
“พวกคุณสู้เขาไม่ได้หรอก อย่าเข้ามาอีกนะ ไม่ต้องห่วง ปล่อยเป็นหน้าที่ของผม!” จางเซวียนพูด
พร้อมกันนั้น เขาก็สะบัดข้อมือและกระโจนเข้าสู่รอยแยกของมิติ หายวับไปจากสายตา
“คุณคิดจะไปไหน?” เทพเจ้าไล่ตามจางเซวียนไปทันที ตั้งใจแน่วแน่ที่จะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายหนีรอดไปได้
แล้วทั้งสองก็หายวับไป
ถ้าไม่ใช่เพราะรอยแยกของมิติมากมายที่เกิดขึ้นกลางอากาศซึ่งเป็นผลจากการต่อสู้ ทุกคนคงคิดว่าสิ่งที่พวกเขาได้เห็นเมื่อครู่นี้เป็นเพียงความฝัน
…..
“คุณบอกว่าพวกเขาน่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังมากอย่างนั้นหรือ?” หัวหน้าหมู่บ้านหินจ้องมองโฉมงามของหมู่บ้าน, ชิวหรู, เขาส่ายหน้า “จะเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไร? ถ้าพวกเขาทรงพลังอย่างที่คุณว่าจริงๆ คุณคิดว่าจะเป็นไปได้หรือที่พวกนั้นจะยังคงทำตัวสุภาพกับพวกเรา และถึงกับ เสนอจ่ายค่าชดเชยให้เราสำหรับความเสียหายที่เกิดในท้องทุ่งด้วย?”
ดูเหมือนหัวจิตหัวใจของโฉมงามของหมู่บ้านน่าจะไม่อยู่กับร่องกับรอยนักนับตั้งแต่เธอกลับจากการเดินทางสั้นๆกับแขกทั้งสาม เพราะทันทีที่กลับมา เธอก็เที่ยวบอกใครต่อใครไปทั่วว่าแขกทั้งสามที่เพิ่งจากไปนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นนักรบระดับเซียน
แน่นอนว่าไม่มีใครในหมู่บ้านหินที่เชื่อเรื่องเหลวไหลแบบนั้น
ไม่มีทางที่นักรบระดับเซียนจะรักษามารยาทกับพวกเขาถึงขนาดยอมจ่ายค่าชดเชยให้กับความเสียหายที่เกิดขึ้น อีกอย่าง ถ้าคนพวกนั้นเป็นนักรบระดับเซียนจริงๆ ก็คงบินไปถึงเมืองฟ่านแล้วทำไมถึงมัวมาเสียเวลาขี่หลังอสูรวิเศษของชิวหรู?
ในความเห็นของพวกเขา นักรบระดับเซียนคือผู้มีอำนาจและเป็นจอมบงการ คนเหล่านั้นสูงส่งถึงขนาดที่หากไปมีเรื่องด้วยก็อาจถูกลงโทษถึงตาย ไม่มีใครนึกภาพนักรบระดับเซียนที่สุภาพอ่อนโยนออกเลย
“นี่เรื่องจริงนะ ทำไมพวกคุณไม่เชื่อฉัน? ฉันเห็นพวกเขาบินอยู่กลางอากาศโดยไม่ต้องใช้เครื่องช่วยเหลือใดๆ เห็นมากับตาเลย พวกเขาบินเร็วมากด้วย!” ชิวหรูอุทานออกมา
น่าท้อใจเหลือเกินที่เห็นทุกคนทำท่าราวกับเธอกำลังโกหกคำโต
เธอแน่ใจว่าเห็นทั้งสามหายวับไปต่อหน้าต่อตา! แม้ตอนแรกจะรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อ แต่ก็แน่ใจว่าพวกนั้นต้องเป็นนักรบระดับเซียนแน่!
ถ้าเธอรู้เสียก่อนว่าสามคนนี้เป็นนักรบระดับเซียน จะไม่มีวันแสดงทีท่าหยาบคายใส่ คงจะขอคำชี้แนะเรื่องวรยุทธจากพวกเขาอย่างนอบน้อมถ่อมตัว
“ผมรู้ว่าคุณน่ะทะเยอทะยาน แต่นักรบระดับเซียนน่ะมีอยู่เฉพาะในตระกูลใหญ่ๆเท่านั้น คนอย่างเราๆไม่มีโอกาสได้เห็นพวกเขาหรอก…” หัวหน้าหมู่บ้านถอนหายใจเฮือกขณะพยายามปลอบโยนชิวหรู
แต่ในตอนนั้น เสียงดังกึกก้องราวกับพายุใหญ่ก็ดังไปทั่ว
ทุกคนรีบเงยหน้า ภาพที่เห็นคือสองร่างที่ถูกโอบล้อมด้วยลำแสง
พวกเขาแลกหมัดกันอย่างดุเดือด ทุกการปะทะทำให้พื้นผิวของมิติถูกฉีกกระชากจนขาดออกจากกัน รอยแยกดำมืดปรากฏขึ้นโดยรอบ
“นั่น…ใช่ชายหนุ่มคนนั้นหรือเปล่า?”
เหล่าสมาชิกในหมู่บ้านพากันตาโตด้วยความตกใจเมื่อจำหนึ่งในสองร่างที่อยู่กลางอากาศได้
แน่นอนว่าชายหนุ่มที่กำลังต่อสู้อยู่กลางอากาศโดยใช้หอกคือคนๆเดียวกันกับที่พวกเขาได้ต้อนรับเข้าสู่หมู่บ้านเมื่อไม่นานมานี้!
โฉมงามของหมู่บ้านเพิ่งบอกว่าพวกเขาน่าจะเป็นนักรบระดับเซียน และทุกคนก็คิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล แต่สิ่งที่ได้เห็นกับตานั้นเหนือชั้นไปกว่าที่นักรบระดับเซียนหรือแม้แต่ระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สักคนจะทำได้!
“ขะ-เขา ที่จริงเขาเป็นนักปราชญ์โบราณ!” หัวหน้าหมู่บ้านโพล่งออกมา รู้สึกปากคอแห้งผาก
แม้พวกเขาจะเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาสามัญที่ไม่มีความสามารถแม้แต่จะฝึกฝนวรยุทธ แต่ก็พอรับรู้อยู่บ้างถึงระดับวรยุทธที่หลากหลายและความแข็งแกร่งที่นักรบในแต่ละขั้นมี
ต่อให้นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้ทรงเกียรติในหมู่ชนชั้นนำของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ก็ไม่อาจเรียกพละกำลังมหาศาลระดับนั้นมาได้ ชายหนุ่มที่อยู่กลางอากาศจะต้องเป็นนักปราชญ์โบราณอย่างแน่นอน และทรงพลังมากด้วย
“ฉันได้เดินทางไปกับนักปราชญ์โบราณ…แต่ไม่เพียงจะไม่สนใจเรียนรู้จากเขา ฉันยัง…ดูถูกเขาด้วยหรือนี่?” ชิวหรู, โฉมงามของหมู่บ้านแทบปล่อยโฮเมื่อรู้ความจริง
ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน เธอปรารถนามาตลอดที่จะยกระดับวรยุทธให้สูงกว่านี้ แต่เมื่อโอกาสมาถึง ก็กลับปล่อยให้หลุดมือไปอย่างง่ายดายเพราะความเย่อหยิ่งของตัวเอง
ถึงเธอจะได้การยอมรับอย่างสูงในหมู่บ้าน แต่ก็รู้ดีว่าผู้ที่มีความสามารถระดับเธอไม่มีทางเข้าตานักปราชญ์โบราณคนไหนทั้งนั้น
ในชั่วพริบตา สีหน้าของเธอก็หม่นหมองด้วยความเสียใจ
…..
ในวันนั้น เกือบทุกคนในร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ได้เป็นสักขีพยานต่อการดวลอันดุเดือดกลางอากาศระหว่างผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดสองคน ภาพของสองร่างนั้นยังคงติดตรึงอยู่ในหัวใจของพวกเขา
ต่อให้อีกหลายหมื่นปีผ่านไป เหตุการณ์นี้ก็จะเป็นตำนานที่ไม่มีวันตาย
ทำไมเราถึงหาที่โล่งๆไม่ได้เลยนะ? จางเซวียนขมวดคิ้ว สีหน้ายุ่งยากใจ
เขาไม่ได้วิ่งพล่านไปทั่วเพื่อโอ้อวดพละกำลังของตัวเอง แต่กำลังพยายามจะหาที่สงบๆสักแห่งเพื่อปลดปล่อยไม้ตายของเขา โลกที่ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ตั้งอยู่นี้ช่างพลุกพล่านเหลือเกิน!
เขาไม่ชอบเปิดเผยไม้ตายให้ใครๆเห็น แม้จะเป็นพวกเดียวกันก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงได้แต่ถอยไปเรื่อยๆขณะพยายามปัดป้องเทพเจ้าออกไป
ครู่ต่อมา ทั้งสองก็มาถึงสันเขาโล่งแจ้งแห่งหนึ่ง
“ได้เวลาเสียที…” จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก
ดูเหมือนในที่สุดความพยายามของเขาก็ส่งผล
เขารีบขว้างธงค่ายกลจำนวนหนึ่งลงไปและปิดกั้นพื้นที่โดยรอบไว้เพื่อป้องกันไม่ให้รังสีของเขารั่วไหล
“อ้าว? ไม่หนีแล้วหรือ? คุณคงถอดใจและพร้อมยอมตายแล้วสินะ” เทพเจ้าคำรามเยาะเมื่อเห็นชายหนุ่มล้มเลิกการหลบหนี
เขาไม่ได้ไล่ล่าจางเซวียนอย่างไม่ลืมหูลืมตา ตลอดการไล่ล่า เขารับรู้ได้ถึงความเก่งกาจของจางเซวียน แต่ก็มั่นใจว่าจะสามารถสังหารอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย ขอแค่หมอนั่นหยุดวิ่งหนี
“ถอดใจและพร้อมยอมตาย? คุณจะด่วนสรุปไปหน่อยไหม? เอาเถอะ…พอดีว่าผมมีน้องชายฝาแฝดคนหนึ่ง อยากให้เขาได้พบคุณ…”
จางเซวียนสะบัดข้อมือขณะที่พูดคำนั้น
ฟึ่บ!
ร่างหนึ่งที่หน้าตาเหมือนจางเซวียนเป๊ะปรากฏขึ้นข้างตัวเขา