ซรืดดดดด!
พลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทพวยพุ่งเข้าสู่ทางเดินพลังปราณของจางเซวียน ผ่านจุดชีพจรของเขา
ครืดดดดด!
แต่ราวกับมีใครสักคนหยอดตะกั่วลงไป ทางเดินพลังปราณของเขาเริ่มเกิดรอยร้าวขณะที่จางเซวียนรู้สึกได้ถึงน้ำหนักมหาศาลที่ถ่วงเขาจากภายใน เขารีบขับเคลื่อนพลังปราณเทียบฟ้าเพื่อประสานรอยร้าวและฟื้นฟูทางเดินพลังปราณให้สามารถรับมือกับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทนั้น แต่ถึงอย่างนั้น ใบหน้าของจางเซวียนก็ยังแดงก่ำ ครู่ต่อมา เขาก็กระอักเลือดออกจากปาก
“แบบนี้ไม่ได้ผล…” จางเซวียนส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
เขาเคยคิดว่าเขาน่าจะซึมซับพลังงานหน้าตาเหมือนปรอทได้เพราะระดับวรยุทธที่เพิ่งเพิ่มขึ้นมาหมาดๆ แต่ความคาดหวังกลับต้องพังทลาย
ถ้าเขาพยายามดึงดันใช้วิธีนี้ต่อไป ก็บอกได้เลยว่าทางเดินพลังปราณของเขาจะต้องแตกสลาย จุดตันเถียนถูกทำลายจนไม่มีเหลือ อย่าว่าแต่จะพยายามซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทเข้าสู่ทางเดินพลังปราณ ร่างกายของเขาคงถูกทำลายไปตั้งแต่แรกเพราะภาระอันหนักอึ้ง!
“น่าเสียดายที่เราไม่มีเถาวัลย์แล้ว” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่
ถ้าเขายังมีเถาวัลย์ของน้ำเต้าตงฉู่อยู่กับตัว ก็คงจะใช้มันปรับเปลี่ยนทางเดินพลังปราณของเขาต่อไป ให้มันค่อยๆคุ้นชินกับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทไปทีละน้อย แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้แล้ว
ขณะที่จางเซวียนกำลังครุ่นคิดว่าจะหาวิธีการใหม่ๆได้หรือไม่ ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามา
เดี๋ยวก่อน…ต้องไม่ใช่แบบนั้นสิ เผ่าพันธุ์ปีศาจ 2 ตัวนั่นซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทได้ และแม้แต่ไอ้โหดก็ทำสำเร็จ…
ครั้งหนึ่ง นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงเคยทำการทดลองกับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท ในบรรดากลุ่มตัวอย่าง 10 ตัวแรก มีเผ่าพันธุ์ปีศาจ 2 ตัวที่เอาชีวิตรอดจากแรงกดดันมหาศาลของพลังงานนั้นมาได้ และไอ้โหดก็ไม่มีเถาวัลย์ของน้ำเต้าตงฉู่อยู่กับตัว แต่ก็ทำสำเร็จ
ในเมื่อทางเดินพลังปราณของเขาสมบูรณ์แบบยิ่งกว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจ จึงดูไม่สมเหตุสมผลที่เขาจะล้มเหลว จะต้องมีบางอย่างที่เขายังไม่ได้ทำ จึงก่อเกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างกันขนาดนี้
หรือว่าจะเป็นเพราะปราณสังหาร? ถ้าปรับเปลี่ยนองค์ประกอบพลังปราณของเราให้เป็นแบบนั้น เราจะสามารถซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทได้ดีขึ้นไหม? จางเซวียนครุ่นคิด
ดูเหมือนจะไม่มีใครให้ปรึกษา เขาจึงตัดสินใจที่จะทดลองในทันที จางเซวียนปรับเปลี่ยนองค์ประกอบของพลังปราณเทียบฟ้าของเขาให้กลายเป็นปราณสังหาร ในชั่วพริบตา ก็ดูเหมือนว่าเขาจะกลายเป็นฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจผู้งามสง่า
หลังจากปรับเปลี่ยนองค์ประกอบของพลังปราณแล้ว จางเซวียนก็เปิดจุดชีพจรทั้งหมดอีกครั้งและทำการซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทอย่างระมัดระวัง
ฟิ้ววววว!
คราวนี้ เมื่อพลังงานซึมซาบเข้าสู่ร่างของเขา ก็น่าประหลาดใจมากที่มันไม่สร้างความรู้สึกหนักอึ้งเหมือนแต่ก่อน กลับอบอุ่นและอ่อนโยน เหมือนได้กินซุปไก่อุ่นๆชามใหญ่
“ได้ผลนี่!” จางเซวียนกำหมัดแน่นอย่างตื่นเต้น
ในฐานะอำมาตย์เฉินหย่งคนปัจจุบัน หลิวหยางมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนพลังปราณของเขาให้กลายเป็นปราณสังหารได้อย่างอิสระเช่นกัน แต่ทางเดินพลังปราณของหลิวหยางยังไม่เคยได้รับการปรับเปลี่ยนมาก่อน เป็นไปได้ว่านั่นคือเหตุผลที่เขาไม่อาจซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทนี้ได้
แต่เรื่องนี้แตกต่างออกไปสำหรับจางเซวียน เมื่อครั้งที่เขาถูกเล่นงานจนเหลือแต่โครงกระดูกระหว่างการต่อสู้กับเทพเจ้าในเมืองหลวงของเผ่าพันธุ์ปีศาจ เขาได้ใช้รังสีพิเศษที่เทพเจ้ามอบให้อำมาตย์เฉินหลิงมาใช้เยียวยาตัวเอง แล้วทำการปรับเปลี่ยนเครือข่ายทางเดินพลังปราณของเขาให้กลมกลืนและสัมพันธ์กับโลกใบนี้มากขึ้น
ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่กล่าวมา จางเซวียนจึงสามารถซึมซับพลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทได้อย่างราบรื่นปราศจากปัญหา
หลังจากซึมซับพลังจิตวิญญาณไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็พบกับด่านคอขวดที่สกัดกั้นเขาไว้จากวรยุทธขั้นนักรบผู้ทำลายล้างมิติ
“ทำลายล้าง!”
ในตอนนั้น จางเซวียนเพ่งสมาธิอยู่กับมหาคัมภีร์แห่งดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงที่อยู่ในหอสมุดเทียบฟ้า ที่ส่งผลให้กาลเวลาในจิตใต้สำนึกของเขาเร็วกว่าเดิมเป็น 10 เท่า พลังงานหน้าตาเหมือนปรอทพุ่งลงมาจากมิติเบื้องบน แต่ทุกหยาดหยดของมันหมุนเวียนกลายเป็นคลื่นน้ำวนขนาดใหญ่ที่พุ่งตรงเข้าสู่ร่างของจางเซวียน
จ้าวหย่า ขงซือเหยา กับคนอื่นๆพากันอัศจรรย์ใจ ทุกคนพากันถอยจากแท่นบูชาไปหลายก้าว
พวกเขารู้ดีว่าท่านอาจารย์สามารถซึมซับพลังจิตวิญญาณอันหนักอึ้งนี้ได้นับตั้งแต่ที่รังสีของเขาเปลี่ยนไปจนเหมือนกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่ไม่คิดว่าเขาจะฝึกฝนวรยุทธได้รวดเร็วขนาดนั้น!
ภายใต้กระแสการไหลบ่าอย่างไม่ลดละของพลังงานหน้าตาเหมือนปรอทที่มีปริมาณมหาศาล แท่นบูชาถึงกับพังทลายไปภายใต้แรงกดดันนั้น
ด้วยอานุภาพของมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง จางเซวียนสามารถฝึกฝนวรยุทธได้ ด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังต้องใช้เวลาเกือบทั้งวันกว่าจะผลักดันวรยุทธไปได้ถึงขีดสุด อยู่ในจุดที่ไม่อาจสะสมพลังงานได้อีกต่อไป
อีกครึ่งวันให้หลังกว่าจางเซวียนจะปลดปล่อยพลังงานออกมาจนหมด และก้าวไปเป็นเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติได้สำเร็จเหมือนอย่างจ้าวหย่า แต่ก็น่าประหลาดใจ ซึ่งบางทีอาจเป็นเพราะเขาได้เป็นครูบาอาจารย์ของโลกแล้ว สวรรค์จึงไม่ได้เรียกการทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์สายฟ้ามา ซึ่งโดยปกติจะต้องเกิดขึ้นหลังจากการฝ่าด่านวรยุทธ
หลังจากสำเร็จวรยุทธขั้นนี้ จางเซวียนรู้ทันทีว่าเขากำลังเผชิญปัญหาเดียวกันกับไอ้โหดและจ้าวหย่า เพราะไม่ว่าเขาจะพยายามซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทนั้นมากแค่ไหน ก็ไม่อาจยกระดับวรยุทธขึ้นได้อีก ราวกับจุดตันเถียนและทางเดินพลังปราณของเขาอยู่ในจุดที่เต็มเปี่ยมแล้ว ทำให้ไม่อาจซึมซับพลังงานเพิ่ม
“น่าเสียดาย!” จางเซวียนส่ายหน้าขณะหยุดการฝึกฝนวรยุทธและลุกขึ้นยืน
การยกระดับวรยุทธครั้งนี้ทำให้เขามีความเข้าใจล้ำลึกยิ่งขึ้นว่าแท้ที่จริงแล้วพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทนั้นคืออะไร
พูดกันง่ายๆ มันคือพลังจิตวิญญาณที่มีความเข้มข้นระดับสูง ส่งผลให้มีน้ำหนักมาก ส่วนทางเดินพลังปราณของมนุษย์ธรรมดาสามัญก็อ่อนแอเกินไป จึงไม่มีทางรับมันไหว
แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจมีสภาวะร่างกายที่เหนือชั้นกว่า และเครือข่ายทางเดินพลังปราณของพวกมันก็ซับซ้อนกว่านักรบทั่วไปที่เป็นมนุษย์ ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงที่พวกมันจะสามารถปรับตัวให้คุ้นชินกับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท และใช้สิ่งนั้นให้เป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนวรยุทธได้
ส่วนทำไมปราณสังหารถึงเข้ากันได้ดีกับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท? จางเซวียนยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน แต่เขารู้ว่าพลังงาน 2 อย่างนี้มีองค์ประกอบบางอย่างที่เหมือนกัน บางทีปราณสังหารอาจช่วยส่งเสริมการซึมซับและการไหลเวียนของพลังจิตวิญญาณ และองค์ประกอบที่เหมือนกันก็หมายความว่ามีโอกาสน้อยลงที่ร่างกายของผู้นั้นจะปฏิเสธพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท
เห็นทั้งจ้าวหย่าและท่านอาจารย์ของพวกเขาก้าวไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติได้สำเร็จทีละคน ทั้งเจิ้งหยาง ขงซือเหยา และคนอื่นๆแทบระงับความตื่นเต้นไม่ไหว “ท่านอาจารย์ จะเป็นไปได้ไหมที่พวกเราจะฝึกฝนวรยุทธโดยใช้พลังจิตวิญญาณอันหนักอึ้งนั้น?”
ถ้าทั้งคู่ซึมซับพลังจิตวิญญาณอันหนักอึ้งได้ แล้วในอนาคตอันใกล้ พวกเขาจะทำได้เหมือนกันหรือเปล่า?
จางเซวียนส่ายหน้าอย่างเคร่งขรึม “สำหรับตอนนี้ พวกคุณที่เหลือยังทำไม่ได้หรอก”
การปรับเปลี่ยนทางเดินพลังปราณของนักรบคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ต่อให้มีวิถีทางตามแบบของจางเซวียน เขาก็ไม่กล้ามองมันเป็นเรื่องเล็ก
เหตุผลที่จ้าวหย่าประสบความสำเร็จก็เพราะทางเดินพลังปราณของเธอถูกแทนที่ด้วยความพิเศษของเถาวัลย์จากน้ำเต้าตงฉู่ แต่ถึงอย่างนั้น โชคชะตาก็มีส่วนสำคัญ เพราะความยุ่งยากหลายอย่างอาจเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย เช่นเธออาจจะต้องเจ็บปวดแสนสาหัสหากร่างกายของเธอปฏิเสธเถาวัลย์ของน้ำเต้าตงฉู่
ส่วนจางเซวียน เขาปรับเปลี่ยนทางเดินพลังปราณของตัวเองได้สำเร็จก็เพราะในตอนนั้นมีสภาพเหลือเพียงโครงกระดูก และได้รับพลังเยียวยาจากเทพเจ้า ทำให้ฟื้นฟูร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้น การเพียรพยายามเยียวยาร่างกายก็มีแต่จะสร้างแรงตีกลับอันเจ็บปวด นับประสาอะไรกับการจะใช้โอกาสนี้ปรับเปลี่ยนทางเดินพลังปราณ
หากปราศจากความโชคดี ก็ยากที่บรรดาศิษย์สายตรงที่เหลือของเขาจะทำได้
ได้ยินคำนั้น ทุกคนได้แต่ก้มหน้าอย่างผิดหวัง
“เป็นไปไม่ได้จริงๆสำหรับคนธรรมดาสามัญที่จะซึมซับพลังงานนี้ ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์พยายามมาแล้วหลายครั้ง แต่แม้อัจฉริยะที่ปราดเปรื่องที่สุดของเราก็ยังทำไม่ได้” ขงซือเหยาพูดขึ้นมาพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ
ไม่มีใครในทวีปแห่งปรมาจารย์ที่รู้เรื่องพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทนี้ดีไปกว่าร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์
เป็นเวลาหลายชั่วคนมาแล้วที่พวกเขาอารักขาฉนวนนี้ไว้ และในระหว่างนั้น พวกเขาก็ได้ทำความคุ้นเคยกับธรรมชาติของพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท
ที่ผ่านมา ในเมื่ออัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องมากมายต่างทำไม่สำเร็จ พวกเขาก็ไม่น่าจะก้าวข้ามขีดจำกัดนี้ได้ในเร็วๆนี้เช่นกัน
“ตอนนี้พวกคุณอาจยังทำไม่สำเร็จ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายของคุณก็จะค่อยๆคุ้นเคยกับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทไปเอง” จางเซวียนพูด
“เท่าที่มีบันทึกไว้ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ประชากรในยุคนั้นไม่อาจรับมือกับพลังจิตวิญญาณนี้ได้ถึง 3 วินาทีด้วยซ้ำ ทางเดินพลังปราณของพวกเขาจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง แต่สำหรับประชากรในยุคนี้ รวมถึงผู้ที่ยังไม่ได้ฝึกฝนวรยุทธด้วย ต่างรับมือกับพลังงานนี้ได้อย่างน้อยก็ 10 นาที ตราบใดที่ไม่ได้ซึมซับมันเข้าสู่ร่างกาย” ขงซือเหยาพยักหน้า
“ฮะ?” คำนั้นทำให้จางเซวียนขมวดคิ้ว “ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นได้? ขอผมดูหน่อย?”
ตามที่ควรจะเป็น สถานการณ์ของมนุษย์ธรรมดาสามัญไม่ควรจะเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนั้น ต่อให้ข้าวสาลีแตกยอดได้ปรับเปลี่ยนสภาวะร่างกายพื้นฐานของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่นักรบขั้น 8 ก็น่าจะยังคงไร้ความสามารถในการรับมือกับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทพอๆกันกับนักรบขั้น 1 แต่ที่ผ่านมาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก หรือว่าข้าวสาลีแตกยอดได้ก่อให้เกิดผลบางอย่าง?
จางเซวียนใช้การรับรู้จิตวิญญาณของเขากวาดไปทั่วสำนักแห่งขงจื๊ออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จับจ้องอยู่ที่พลเมืองบางกลุ่ม
“ข้าวสาลีแตกยอดไม่ได้เพียงยกระดับสภาวะร่างกายของพวกเขาเท่านั้น ดูเหมือนทางเดินพลังปราณของคนเหล่านั้นจะได้รับการพัฒนาไปมากเมื่อเปรียบเทียบกับเหล่านักรบในทวีปแห่งปรมาจารย์” จางเซวียนถึงกับตะลึง
เขารู้ว่าข้าวสาลีแตกยอดช่วยเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้กับประชากรที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรคุนฉื่อ ทำให้พวกเขามีวรยุทธระดับจงซรือตั้งแต่เกิด แต่ไม่เคยคิดจะตรวจสอบทางเดินพลังปราณของคนเหล่านั้นมาก่อน
จากการพัฒนาตลอดระยะเวลาหลายปี เครือข่ายทางเดินพลังปราณของประชากรในท้องถิ่นเริ่มจะแสดงอาการบางอย่างที่เหมือนกับทางเดินพลังปราณของเผ่าพันธุ์ปีศาจ เรื่องนี้อธิบายได้ถึงระยะเวลาที่ยาวนานขึ้นของพวกเขาในการต้านทานพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท
“บางที นี่อาจเป็นเส้นทางที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ถูกขีดไว้ให้เดินไปสู่ความก้าวหน้า…” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่
ตอนแรก เขาตั้งใจจะหาหนทางที่แตกต่างออกไปสำหรับเจิ้งหยางและคนอื่นๆ เพื่อให้คนเหล่านั้นได้คุ้นชินกับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท แต่ความรู้ที่ได้มาใหม่เปลี่ยนใจของเขาไปอย่างสิ้นเชิง
ดูเหมือนวิธีเดียวที่จะคุ้นชินกับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทได้ก็คือการปรับเปลี่ยนทางเดินพลังปราณ ถ้าเจิ้งหยางกับคนที่เหลือซึมซับมันด้วยวิธีปกติ ต่อให้ชั่วชีวิตของพวกเขาก็ไม่มีทางทำสำเร็จ
แต่…
ในการปรับเปลี่ยนทางเดินพลังปราณของคนเหล่านั้น อันดับแรก จะต้องทำลายทางเครือข่ายทางเดินพลังปราณเดิมเสียก่อน แต่นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณที่พวกเขาต้องใช้เพื่อการเยียวยาร่างกายนั้นมีปริมาณมากเสียจนจางเซวียนไม่อาจหามาได้
ยิ่งไปกว่านั้น จะเกิดอะไรขึ้นหากไม่สามารถคืนรูปทางเดินพลังปราณได้หลังจากทำลายมันไปแล้ว?
จางเซวียนครุ่นคิดอย่างหนักก่อนจะตั้งคำถาม “ขงซือเหยา นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกับคนอื่นๆอยู่ไหน?”