ไม่มีสิ่งไหนจะทำให้นักรบคนหนึ่งพัฒนาตัวเองได้รวดเร็วเท่ากับการเข้าร่วมการต่อสู้จริงๆ เรื่องนี้เหมือนกันในทุกที่
แต่การเข้าร่วมการต่อสู้ก็มาพร้อมความเสี่ยง เพราะมีโอกาสที่นักรบจะได้รับบาดเจ็บหรือแม้แต่เสียชีวิต แต่ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับหอนิรันดร์ ก็เพราะเหตุผลนี้ สังเวียนประลองจึงเป็นสถานที่โด่งดังที่เหล่านักรบพากันเดินทางมา
ขณะที่จางเซวียนใกล้ถึงที่หมาย ก็เห็นผู้คนกลุ่มใหญ่ออกันอยู่หน้าจอภาพที่มีลักษณะเหมือนคริสตัล ทุกคนดูตื่นเต้น
ในจอนั้นมีนักรบสองคนกำลังปะทะกันอย่างดุเดือด ระดับวรยุทธของพวกเขาอาจเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 1 แต่การต่อสู้ก็ยังน่าตื่นเต้นแม้กับนักรบผู้ช่ำชอง กระบวนท่าของทั้งคู่เฉียบคมและผ่านการคิดคำนวณมาอย่างดี การเคลื่อนไหวที่แม่นยำของพวกเขาจัดว่าน่าทึ่ง แทบไม่มีกระบวนท่าไหนที่เสียเปล่า อีกทั้งเทคนิคการต่อสู้ที่พวกเขาสำแดงออกมาก็ส่งผลกระทบอันคาดไม่ถึงต่อทิศทางของการต่อสู้อยู่บ่อยครั้ง
“ราชาสลาตันเอาชนะได้ 5 รอบติดต่อกันแล้ว น่าทึ่งจริงๆ!”
“น่าทึ่งน่ะยังน้อยไป ความเข้าใจในเทคนิคการต่อสู้ของเขาจัดว่าน่าสะพรึงมาก ทุกกระบวนท่าที่แสดงออกมาแม่นยำถึงขีดสุด ไม่เปิดช่องให้คู่ต่อสู้เล่นงานเขาได้เลย!”
“ถ้าผมทำได้ขนาดนี้ก็พอใจแล้ว!”
“แค่ดูการต่อสู้ของเขาก็เพลินไม่น้อย ไม่เพียงเท่านั้นนะ ผมยังได้เรียนรู้เทคนิคบางอย่างจากเขา และนำไปใช้พัฒนาสไตล์การต่อสู้ของผมได้ด้วย”
…..
ผู้ชมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเซ็งแซ่
ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลเป็นที่เสาะแสวงหาของเหล่านักรบในมิติเบื้องบนก็เพราะเหตุผลเหล่านี้ มันไม่ได้เป็นแค่ตลาดออนไลน์ แต่ยังเป็นสังเวียนใต้ดินที่สมบูรณ์แบบด้วย ไม่เพียงแต่บรรดานักสู้จะไม่ต้องกังวลเรื่องการได้รับบาดเจ็บ แม้แต่ผู้ชมก็ได้เรียนรู้ไม่น้อยจากการเฝ้าดูการต่อสู้นั้น
เพื่อความปลอดภัย จางเซวียนไม่รีบร้อนเข้าไปลงทะเบียนเข้าร่วมการดวล แต่เลือกจะชมการดวลของนักรบคนอื่นๆก่อนเพื่อประเมินมาตรฐานพละกำลังโดยเฉลี่ยของบรรดานักรบที่นี่
ด้วยข้อจำกัดของวรยุทธระดับเซียนขั้น 1 เทคนิคการต่อสู้ที่เหล่านักรบสำแดงออกมาได้จึงมีจำกัด ดังนั้น สิ่งที่เป็นตัวตัดสินแพ้ชนะก็คือระยะเวลาและความแม่นยำของการสำแดงเทคนิคต่างๆ บ่อยครั้งที่นักรบที่ตัดสินใจได้เฉียบขาดและสำแดงกระบวนท่าได้แม่นยำกว่าจะเป็นผู้ชนะ
เมื่อพอเข้าใจการดวลแล้ว จางเซวียนก็เดินไปที่เคาน์เตอร์ลงทะเบียนและยื่นบัตรนิรันดร์ของเขา
“คุณจะใช้ชื่ออะไร? ใช้ฉายาได้นะ” สาวน้อยอายุราว 20 ปีที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ตั้งคำถาม
“ฉายา?” จางเซวียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง
การประลองมักอนุญาตให้นักรบใช้ฉายาได้ เพื่อจะได้เรียกขานง่ายขึ้น
ในเมื่อสามารถปกปิดตัวตนได้ เราก็ไม่ควรใช้ชื่อจริง จางเซวียนคิด
การทำแบบนั้นก็เหมือนกับคนงี่เง่าในโลกใบเก่าของเขาที่ใช้ชื่อจริงของตัวเองบนอินเทอร์เน็ต
ขอคิดก่อน หยางชวน, ซุนฉาง, เซวียนจาง, หลัวเทียนหยา… ตัวตนที่จางเซวียนเคยใช้ในอดีตแวบเข้ามาในหัว ครู่ต่อมาเขาก็พูดออกไป “เรียกผมว่า…เจ้าโลก!”
“เจ้าโลก?” สาวน้อยพยักหน้าขณะจดชื่อลงในสมุดที่อยู่ตรงหน้าเธอ
ไม่ช้าจางเซวียนก็ได้คู่ดวล
“รอบต่อไป, เจ้าโลกปะทะนักซุ่มเงา!”
ท่ามกลางเสียงเชียร์กึกก้อง จางเซวียนเดินเข้าสู่สังเวียนประลอง
สังเวียนประลองเป็นรูปกลม มีปราการใสกั้นไว้โดยรอบ ผู้ชมสามารถชมการดวลได้ชัดเจนจากจอภาพที่อยู่รอบสังเวียน
คู่ต่อสู้ของจางเซวียนเป็นชายวัยกลางคนร่างผอม แม้จะเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 1 เหมือนกัน แต่อีกฝ่ายก็แผ่รังสีที่กดดันคู่ต่อสู้ออกมา
“ผมเคยได้ยินชื่อนักซุ่มเงามาก่อน ถึงนี่จะเป็นการดวลครั้งแรกของเขา แต่เขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญที่เก่งกาจมาก”
“ก็จริง เมื่อครู่นี้ผมคุยกับเขา เราแลกหมัดกัน 2-3 ครั้ง ปฏิกิริยาตอบสนองและความเร็วในการเคลื่อนไหวของเขาจัดว่าเหนือชั้น อย่างน้อยๆผมก็กะว่าวรยุทธของเขาน่าจะเทียบเท่ากับนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติขั้นกลาง!”
“เขาทรงพลังขนาดนั้นเลยหรือ? ที่หอนิรันดร์นี่มีผู้เชี่ยวชาญเยอะจริงๆ!”
“ดูเหมือนการดวลนัดนี้จะมีบางอย่างน่าสนใจ เพียงแต่ผมยังสงสัยว่าเจ้าโลกจะสู้ได้สมน้ำสมเนื้อหรือเปล่า!”
“อี๋ ฉายาของเขาดูกิ๊กก๊อกจัง ไม่น่าจะเก่งกาจนักหรอก!”
“ใช่ เจ้าโลกอะไรกัน? แค่ฟังชื่อก็ไม่ไหวแล้ว!”
เป็นไปไม่ได้ที่จะตัดสินตัวตนของคนๆหนึ่งผ่านตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยการพูดคุยสัพเพเหระและการแลกหมัด ก็พอจะกะประมาณพละกำลังที่แท้จริงและระดับของนักรบผู้นั้นได้คร่าวๆ หากอีกฝ่ายไม่จงใจปกปิดไว้
ผู้ที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับนักซุ่มเงาล้วนแต่รู้ดีว่าเขาเป็นนักรบที่ทรงพลังไม่เบา จึงไม่มีใครให้ความสำคัญกับคู่ต่อสู้ของนักซุ่มเงามากนัก
“เริ่มเถอะ!” นักซุ่มเงาจ้องชายหนุ่มที่ประจันหน้ากับเขาและเย้ยหยัน “ผมจะออมมือให้!”
เขาตั้งใจจะใช้โอกาสนี้สร้างชื่อเสียงของตัวเองให้กระฉ่อนในหอนิรันดร์
ก็เหมือนกับผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆที่มีชื่อเสียงโด่งดังด้วยการได้ชัยชนะติดต่อกันหลายครั้ง เขาจะทำแบบเดียวกัน และทำให้ฉายานักซุ่มเงาโด่งดังเลื่องลือไปทั่วทั้งหอนิรันดร์ให้ได้
ส่วนจางเซวียนก็กวักมือ “งั้นก็เริ่มเลย!”
นักซุ่มเงากระทืบเท้าเบาๆก่อนจะพุ่งเข้าใส่จางเซวียนด้วยท่วงท่าที่ดูประหลาด ทำให้ร่างของเขาดูคล้ายกับภาพลวงตา
เห็นกระบวนท่าของอีกฝ่าย จางเซวียนพยักหน้า
แม้วิชาชีพต่างๆในมิติเบื้องบนจะไม่ได้รับการพัฒนาเหมือนในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ความเข้าใจในเทคนิคและทักษะการต่อสู้ของคนที่นี่เหนือชั้นกว่าอย่างชัดเจน
นักรบทุกคนที่นี่สามารถรับมือกับเหล่าปรมาจารย์คนไหนก็ได้ในสภาปรมาจารย์!
เราจะเอาชนะแบบปรู๊ดปร๊าดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงหาคู่ต่อสู้คนต่อไปได้ยาก จางเซวียนคิด
ถึงกระบวนท่าของนักซุ่มเงาจะดูล้ำลึก แต่จางเซวียนก็เห็นข้อบกพร่องอย่างน้อย 8 ข้อโดยไม่ต้องใช้หอสมุดเทียบฟ้า การเอาชนะอีกฝ่ายย่อมง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
แต่นี่คือการดวลที่เปิดเผยต่อสาธารณชน หากเขาเอาชนะได้ในกระบวนท่าเดียว ก็คงหาคู่ต่อสู้คนต่อไปได้ลำบาก และถ้าไม่มีคู่ต่อสู้ จะได้เงินมาจากไหน?
ถ้าวันนี้เขาหาเงินได้ไม่มากพอ ศิษย์สายตรงคนที่ 10 ที่เขาเพิ่งรับไว้คงต้องตายภายในคืนนี้!
เมื่อคิดสะระตะแล้ว จางเซวียนรี่เข้าใส่เพื่อแลกหมัดกับคู่ดวลของเขา
พลั่ก! พลั่ก! ตุ้บ!
ในชั่วพริบตา เขาก็ปะทะกับนักซุ่มเงา
“อ้อ? ดูเหมือนเจ้าโลกก็ไม่เหยาะแหยะเท่าไหร่นะ!”
“กระบวนท่าเมื่อครู่นี้ของนักซุ่มเงาคือฝีเท้ากระชากมิติใช่ไหม? นักรบระดับเซียนขั้น 1 สำแดงเทคนิคการต่อสู้ที่ทรงพลังขนาดนี้ได้ด้วยหรือ?”
“นั่น…ฝ่ามือพเนจรหรือเปล่า? มีพลังมากขนาดนี้เลย?”
“การใช้สองกระบวนท่านี้ถือว่าฉลาดมาก แต่เจ้าโลกก็หลบได้สบาย…หมอนั่นแค่ดวงดี หรือว่ามีดีจริงๆ?”
…..
เมื่อการดวลเริ่ม ทุกคนพากันคิดว่าคงเป็นการเล่นงานฝ่ายเดียว แต่เมื่อสถานการณ์ไม่เป็นไปตามคาด ต่างคนค่อยๆตาโตขึ้นทีละน้อยด้วยความทึ่ง
ก็เหมือนอย่างที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ นักซุ่มเงาเป็นนักรบที่ทรงพลังจริงๆ ทุกกระบวนท่าของเขา ปลดปล่อยเรี่ยวแรงมหาศาลออกมา แต่แม้กระบวนท่าของเจ้าโลกจะธรรมดากว่าและออกจะสับสนเล็กน้อย แต่เขาก็หลบทุกการโจมตีของนักซุ่มเงาได้ แถมยังหาโอกาสตอบโต้ได้ด้วย!
เรื่องนี้น่าสงสัยมาก
ถ้าเจ้าโลกแค่ดวงดี ก็คงไม่สามารถหลบการโจมตีของนักซุ่มเงาได้โดยเฉียดไปแค่ 1 มิลลิเมตรในทุกครั้ง แต่ถ้าเจ้าโลกจงใจทำแบบนั้น เขาจะต้องทรงพลังขนาดไหนถึงสร้างวีรกรรมเสี่ยงตายได้ ไม่รู้กี่ครั้งกี่หน?
“ดูนั่น เจ้าโลกกำลังจะตอบโต้แล้ว!” ใครคนหนึ่งตะโกน
ในการแลกหมัด 10 ครั้งแรกหรือประมาณนั้น นักซุ่มเงาเป็นฝ่ายรุก ซึ่งเจ้าโลกก็ได้แต่ปัดป้อง แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป
นักซุ่มเงาพบว่าการโจมตีของเขาไม่อาจเข้าถึงตัวคู่ต่อสู้ เขาเริ่มหมดความอดทนทีละน้อย แล้วเจ้าโลกก็ใช้โอกาสนี้ควบคุมทิศทางการต่อสู้
ในตอนนั้น จางเซวียนหลบหลีกไปมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยพลังจากมือขวาออกไปอย่างปุบปับ ส่วนนักซุ่มเงาก็ดูจะคาดการณ์การโจมตีครั้งนี้ไว้แล้วและตอบโต้ทัน เขาปล่อยพลังจากมือซ้ายออกไป รับมือกับการโจมตีของอีกฝ่ายโดยไม่ลังเล
เมื่อพลังจากสองฝ่ามือปะทะกัน เจ้าโลกถอนมือขวากลับอย่างกะทันหันและปล่อยพลังจากมือซ้ายออกไปแทน ยังไม่ทันที่ใครจะรู้ตัว เจ้าโลกก็เล่นงานแผงอกของนักซุ่มเงาได้อย่างจัง
ใครจะคิดว่าพลังจากฝ่ามือขวาก่อนหน้านี้เป็นแค่กลลวง?
“สลับไปมาระหว่างการสับขาหลอกกับการโจมตีของจริงได้อย่างลื่นไหล…แม้แต่เจ้าเมืองแสงดาวก็ยังทำแบบนี้ไม่ได้ จริงไหม?”
“คุณสบประมาทเจ้าเมืองแสงดาวมากไปแล้วล่ะ ผมเคยชมการดวลของเขาหลายครั้งเมื่อ 2-3 ปีก่อน ซึ่งเขาก็ใช้กระบวนท่านี้ สิ่งที่ดูเหมือนการสับขาหลอกจะกลายเป็นการโจมตีของจริงทันทีหากคู่ต่อสู้ไม่ทันระวัง กระบวนท่าแบบนี้ต้องอาศัยความสามารถในการควบคุมร่างกายได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีทางสำแดงและถอนพละกำลังได้อย่างลื่นไหล นักรบมากมายนับไม่ถ้วนปรารถนาจะร่ำเรียนเทคนิคนี้ แต่น้อยคนเหลือเกินที่จะเข้าใจจนถึงขั้นนำมาใช้ในการต่อสู้จริงๆได้ ผมฝึกฝนเทคนิคนี้มากว่า 3 ปีแล้ว ยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะใช้มันได้อย่างปลอดภัย แต่เจ้าโลกกลับควบคุมมันได้อย่างง่ายดาย”
“น่าสะพรึงเหลือเกิน! ผมถอนคำพูดก็แล้วกัน เจ้าโลกคือผู้เชี่ยวชาญตัวจริง!”
“หรือว่าเขาคือเจ้าเมืองแสงดาวปลอมตัวมา?”
“จะเป็นแบบนั้นได้ไง? ผมรู้ฉายาที่ท่านเจ้าเมืองใช้ในการดวล ซึ่งไม่ใช่ชื่อนี้ คนที่ชนะการดวลมานับครั้งไม่ถ้วนอย่างท่านเจ้าเมือง ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปลอมตัวเป็นนักรบระดับล่างที่ยังไม่เคยชนะแม้แต่นัดเดียวหรอก จริงไหม?”
…..
ความสามารถในการสลับไปมาระหว่างการสับขาหลอกกับการโจมตีของจริงอาจดูไม่ยากเย็นอะไร แต่ทั่วทั้งเมืองแสงดาว มีนักรบเพียงไม่ถึงหยิบมือที่ทำได้ จึงเป็นธรรมดาที่บรรดาผู้ชมจะพากันตกตะลึงเมื่อเห็นนักรบที่ไม่มีใครรู้จักสำแดงความเก่งกาจระดับนี้ออกมา
พลั่ก!
นักซุ่มเงาเซถอยหลังไปหลายก้าว เลือดซึมออกจากมุมปาก
แม้จะไม่มีนักรบคนไหนต้องเสียชีวิตจริงๆในหอนิรันดร์ แต่ก็ยังต้องเผชิญกับการบาดเจ็บหรือการกระอักเลือดหลังจากได้รับความบอบช้ำ มันคือการยืนยันความสมจริง
“ผมแพ้แล้ว…” รู้ดีว่ามีแต่จะย่อยยับกว่านี้หากปล่อยให้การดวลดำเนินต่อไป นักซุ่มเงาประกาศยอมรับความพ่ายแพ้
เขาตั้งใจจะใช้โอกาสนี้สร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง แต่ใครจะไปรู้ว่าจะแพ้ตั้งแต่นัดแรก?
จากนั้น เสียงของสาวน้อยก็ดังขึ้นจากด้านนอก “คุณจะดวลรอบต่อไปหรือออกจากสังเวียน?”
เมื่อผ่านรอบแรกไปได้ นักรบจะต้องตัดสินใจว่าจะสู้ต่อหรือล้มเลิก
“ผมจะเข้าสู่รอบสอง” จางเซวียนตอบอย่างไม่ลังเล
ถึงเขาจะใช้พละกำลังไปพอประมาณในการต่อสู้ที่ผ่านมา แต่ก็ยังเหลือเรี่ยวแรงอีกมาก อีกอย่าง เขายังได้เงินไม่มากพอจะซื้อยาเม็ดตะวันสีน้ำเงินเลย จะให้ถอยได้อย่างไร?
ไม่ช้าจางเซวียนก็ได้คู่ต่อสู้คนใหม่ คราวนี้คู่ต่อสู้ของเขาไม่ใช่มือสมัครเล่น แต่เป็นนักสู้ผู้ช่ำชองที่ผ่านการดวลมาแล้วหลายครั้ง
คู่ต่อสู้ของเขาดูจะรู้ว่าจางเซวียนไม่ใช่ไก่อ่อน ทันทีที่เริ่มดวล อีกฝ่ายก็พุ่งเข้าใส่และปล่อยการโจมตีออกมาเป็นชุดอย่างไม่ลดละ ตั้งใจจะข่มจางเซวียนให้ได้ตั้งแต่แรก
สิ่งนี้ทำให้จางเซวียนไม่มีทางเลือกนอกจากหลบหลีกไปเรื่อยๆ เพราะถึงอย่างไรเขาก็ต้องยื้อระยะเวลาการดวลออกไปบ้าง เพื่อไม่ให้คู่ต่อสู้คนต่อไปต้องขยาด