“เป็นไปไม่ได้!”
ศิษย์พี่ที่กำลังยืนพิงเสารีบยืดตัวตรง
เขารู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติทันทีที่ดาบถูกโยนออกมา รู้สึกได้ถึงร่องรอยของเจตจำนงเพลงดาบที่อยู่เบื้องหลังการโยนดาบนั้น ซึ่งหมายความว่ามันคือเทคนิคการใช้ดาบรูปแบบหนึ่ง
แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นไปได้จริงๆหรือที่จะสังหารหวงเทาได้ง่ายดายเพียงแค่ใช้การโยนดาบ?
ศิษย์พี่พยายามทบทวนพละกำลังที่อยู่เบื้องหลังการโยนดาบ แต่ยิ่งครุ่นคิดมากขึ้นเท่าไหร่ เหงื่อก็ผุดออกมาจากหน้าผาก
เขาต้องประหลาดใจที่พบว่าไม่อาจวิเคราะห์พละกำลังของการโยนดาบนั้นได้ ดูเหมือนทุกอย่าง เกิดขึ้นอย่างง่ายดาย หัวสมองของเขาประมวลได้เฉพาะตอนต้นและตอนจบ ส่วนเรื่องราวระหว่างทางล้วนแต่ว่างเปล่า
แม้ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้ของเขา เขาก็ยังบอกไม่ได้ว่าชายหนุ่มเอาชนะหวงเทาได้อย่างไรด้วยการโยนดาบเพียงครั้งเดียว!
“หรือว่าเราต้องสู้กับเขา ถึงจะได้รู้?” ศิษย์พี่พึมพำขณะกำหมัดแน่น
ผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบที่เก่งกาจมักอยากหาคนมาประลองด้วย เพื่อจะได้รู้ว่าศิลปะเพลงดาบของตัวเองทรงพลังแค่ไหน เป็นไปได้ว่ากระบวนท่านี้จะเข้าถึงระดับนั้น
เมื่อเกิดความคิดขึ้นมา ศิษย์พี่เดินตรงไปยังเคาน์เตอร์รับรองอย่างไม่ลังเล แล้วลงชื่อเข้าร่วมการดวล ครู่ต่อมาเขาก็ปรากฏตัวบนสังเวียนประลอง
“เมฆผงาด?” จางเซวียนอ่านฉายาจากจอภาพที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก
เขาเห็นคู่ต่อสู้คนล่าสุดถือดาบไว้ในมือ…เขาเพิ่งกำจัดนักดาบไปคนหนึ่งเมื่อครู่ก่อน แล้วอีกคนหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้า นี่เขาบังเอิญไปเหยียบรังแตนเข้าหรืออย่างไร?
“ผมคือเมฆผงาด (อวิ๋นเฟยหยาง) เป็นทั้งฉายาและชื่อจริงของผม” อวิ๋นเฟยหยางพยักหน้า
เขาชักดาบออกมาโดยไม่ลังเล ประกายเย็นวาบปรากฏบนผิวหน้าของดาบ “ชักอาวุธของคุณออกมา!”
เมื่อเห็นคู่ต่อสู้ของเขาหลงตัวเองไม่ต่างจากคนก่อน จางเซวียนชักดาบที่เขาใช้ในการดวลเมื่อครู่ออกจากรางอาวุธอีกครั้งก่อนจะมองคู่ต่อสู้ของเขา
อวิ๋นเฟยหยางประสานมือและร้องขอ “กรุณาใช้ศิลปะเพลงดาบแบบการดวลคราวก่อน!”
เขาต้องการสัมผัสศิลปะเพลงดาบที่สังหารศิษย์น้องของเขาได้ในชั่วพริบตา เพื่อจะได้หาทางทำความเข้าใจมัน ในฐานะผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบ เขาทำใจไม่ได้ที่พบว่ายังมีเทคนิคเพลงดาบในโลกนี้ที่ตัวเขายังเข้าไม่ถึง
“ศิลปะเพลงดาบที่ผมใช้คราวก่อน?” จางเซวียนขมวดคิ้ว
“ใช่”
“เอ่อ…อย่างนั้นก็ได้” จางเซวียนถอนหายใจอย่างจนปัญญา
เขาไม่คิดว่าการโยนดาบที่ทำไปเมื่อครู่จะเรียกได้ว่าเป็นศิลปะเพลงดาบ มันเป็นแค่การโยนดาบออกไปส่งๆ ไม่มีทักษะหรือแนวคิดล้ำลึกอะไรอยู่เบื้องหลัง
แต่ก็นั่นแหละ มันคือการโยนดาบที่บรรจุแก่นสารของศิลปะเพลงดาบเทียบฟ้าเอาไว้ และนั่นคือเหตุผลที่มันเล่นงานศีรษะของนักดาบมหากาฬได้อย่างแม่นยำไร้ที่ติ
หมอนี่อยากลองแบบเดียวกันหรือ?
เขาคิดว่าหัวของตัวเองแข็งพอจะเอาชีวิตรอดได้หรือไง?
ไม่ว่าเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังคำขอของคู่ต่อสู้ของเขาจะเป็นอะไร สำหรับจางเซวียนก็ไม่แตกต่าง
จางเซวียนกวัดแกว่งดาบในมือเล็กน้อยเพื่อขยับให้ถนัดมือ ก่อนจะชี้ดาบไปที่เมฆผงาด
ฟึ่บ!
เขาสะบัดข้อมือ แล้วดาบก็หลุดจากมือของเขา
“มาแล้ว!” อวิ๋นเฟยหยางหรี่ตาขณะรีบชักดาบออกมา
ในชั่วพริบตา ด้วยเสียงลมคำรามและภาพติดตาที่เกิดจากคมดาบ ร่างของเขาถูกดาบโอบล้อมไว้ ป้องกันไม่ให้แม้แต่น้ำสักหยดแตะต้องตัวเขาได้
“เป็นศิลปะเพลงดาบที่ไร้เทียมทานอะไรอย่างนั้น!”
“เขากวัดแกว่งดาบเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร?”
“ผมมองตามกระบวนท่าเพลงดาบของเขาไม่ทันด้วยซ้ำ คนแบบไหนกันที่จะเจาะการป้องกันตัวแบบนี้ได้?”
ฝูงชนที่อยู่ด้านล่างพากันตื่นตะลึงกับการป้องกันตัวของอวิ๋นเฟยหยาง ศิลปะเพลงดาบของเขา ว่องไวจนดูเหมือนกับมีวงกลมแสงที่มีรัศมีราว 2 เมตรก่อตัวอยู่รอบตัวเขา
ภายใต้การป้องกันตัวอย่างแน่นหนาขนาดนั้น แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะบาดเจ็บ
ต่อหน้าสายตาตกตะลึงของฝูงชน ดาบที่ถูกโยนออกไปลอยผ่านอากาศอย่างช้าๆก่อนจะไปหยุดที่ระยะ 3 เมตรจากอวิ๋นเฟยหยาง
ฟิ้วววววว!
เกิดเสียงลมโหมกระหน่ำ ดาบนั้นหายลับไปจากสายตา และตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่มันจ้วงแทงทะลุ ปราการแสงรูปทรงกลมที่เกิดจากการกวัดแกว่งดาบของอวิ๋นเฟยหยาง
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เขาตั้งใจยับยั้งมัน แต่ทำไม่สำเร็จ”
ฝูงชนพากันชะงักที่เห็นดาบหายไป แต่ปราการแสงรูปทรงกลมยังคงโอบล้อมอวิ๋นเฟยหยางอยู่
ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้ของพวกเขา พวกเขาบอกไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนสังเวียน
ยังไม่ทันที่ฝูงชนจะพูดจบ ปราการแสงรูปทรงกลมก็ระเบิดออกอย่างกะทันหัน เผยให้เห็นภาพชายหนุ่มที่ถูกดาบแทงเข้าที่ศีรษะ
ชายผู้นั้นหมดลมหายใจเฮือกสุดท้ายไปแล้ว
ตุ้บ!
ศพทรุดฮวบลงกับพื้นและสลายตัวไป
อาการตกตะลึงกระจายตัวไปทั่วฝูงชน
ที่บ้านพักของเจ้าเมืองแสงดาว ชายหนุ่มสองคนพูดคุยกันขณะเดินตรงไปยังลานบ้าน
“คราวนี้อวิ๋นเฟยหยางกับหวงเทาไปไหน?” ชายหนุ่มที่อยู่ทางซ้ายคำราม “สองคนนั้นทำตัวลับๆล่อๆมาสักพักแล้ว ไม่ยอมมารวมกลุ่มกับพวกเรา ถ้ารู้ว่าก่อนหน้านี้มีสาวๆสวยๆอยู่เยอะขนาดไหนล่ะก็ คงได้เสียดายจนหน้าเหลืองหน้าเขียวแน่!”
เขามีรูปร่างผอมสูงราวกับไม้ไผ่ สิ่งหนึ่งที่โดดเด่นเตะตาคือท่อนแขนเรียวยาวที่อยู่ข้างลำตัว
“ทำไมจะต้องเสียดาย? สองคนนั้นน่ะซื้อตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลสองอันทันทีที่มาถึง และใช้ฉายานักดาบมหากาฬกับเมฆผงาดเพื่อท้าดวลกับชาวบ้าน!” ชายหนุ่มที่อยู่ทางขวาตอบอย่างหงุดหงิด
เขามีใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมและน้ำเสียงหยาบกระด้าง จากน้ำเสียงของเขา เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับการกระทำของทั้งคู่
“ท้าดวลกับชาวบ้าน?” ไม้ไผ่หัวเราะลั่น “เป็นถึงศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน แต่มาที่นี่เพื่อท้าดวลกับคนบ้านนอกพวกนั้น ศักดิ์ศรีหายไปไหนหมด? ต่อให้ชนะ แล้วมีเกียรติตรงไหน?”
“ผมก็ไม่รู้ว่าพวกนั้นคิดอะไร ทั้งเมืองนี้ ผมเชื่อว่ามีแต่ท่านเจ้าเมืองแสงดาวเท่านั้นที่คู่ควรกับพวกเราในการประลองศิลปะเพลงดาบ แต่พวกนั้นกลับลดตัวลงไปท้าดวลกับชาวบ้าน เรียกร้องความสนใจละมั้ง?”
ขณะที่กำลังส่ายหน้า ทั้งหน้าเหลี่ยมและไม้ไผ่ก็เดินมาถึงลานบ้าน
ทันทีที่เข้าไป ก็เห็นหนึ่งในผู้ที่พวกเขาเพิ่งพูดถึง, หวงเทา กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะหินตัวหนึ่งด้วยแววตาเลื่อนลอย
“ไง? เล่นงานบรรดานักรบของเมืองแสงดาว…สนุกไหม? พวกนั้นคุกเข่าร้องขอความเมตตาจากวีรบุรุษอย่างคุณหรือเปล่า?” ไม้ไผ่เดินเข้าไปเย้าแหย่หวงเทา
หน้าเหลี่ยมตบไหล่หวงเทาและตั้งคำถาม “คุณน่ะเป็นสุภาพบุรุษตลอด ปล่อยให้พวกนั้นสำแดงกี่กระบวนท่าล่ะ?”
เมื่อเห็นทั้งคู่ หวงเทาก้มหน้าอย่างอับอายขณะใช้นิ้ววาดรูปวงกลมบนโต๊ะ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าเขาเองก็ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น “ผมแพ้!”
ราวกับจะช่วยยืนยันความพ่ายแพ้ ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลที่แตกเป็นเสี่ยงๆวางอยู่บนโต๊ะตัวนั้น
“คุณถูกสังหารในหอนิรันดร์หรือ?”
หน้าเหลี่ยมกับไม้ไผ่ตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ
พวกเขาคือศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน ในแง่ของเทคนิค ย่อมไม่มีทางพ่ายแพ้ให้กับนักรบคนไหน ทักษะการต่อสู้ของพวกเขาสูงส่งพอจะทำให้นักรบบ้านนอกทุกคนยำเกรง แต่หวงเทากลับลงเอยด้วยความตาย
เรื่องนี้เหลือเชื่อเสียจนแทบรับไม่ได้
“คุณใช้ดาบของคุณหรือเปล่า?” หน้าเหลี่ยมถาม
“ผมใช้! แต่ก็แพ้เพราะถูกดาบที่หมอนั่นโยนออกมาแทงเข้าที่หัว…ผมยังไม่มีโอกาสสำแดงศิลปะเพลงดาบของผมเลยด้วยซ้ำ!” หวงเทาแทบอยากจะมุดดินเพราะความอับอายขายหน้า
“คุณยังไม่ได้สำแดงสักกระบวนท่าก่อนจะถูกแทงที่หัว?”
ทั้งคู่รู้สึกเหมือนหูฝาด
เห็นอีกฝ่ายยังข้องใจ หวงเทาพูดต่อ “ศิษย์พี่อวิ๋นเฟยหยางก็อยู่กับผมตอนที่เกิดเหตุ แต่เขายังไม่ออกมาเลย ผมเชื่อว่าเขาคงท้าดวลกับหมอนั่น ไว้เขากลับมาเมื่อไหร่ คุณถามเขาก็ได้”
“เฟยหยางก็อยู่ด้วย? เขาคือหนึ่งในพวกเราสี่คนที่กำลังจะได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายใน ด้วยทักษะเพลงดาบอันไร้เทียมทานของเขา เขาคงเล่นงานนักรบทุกคนที่นี่ได้สบาย” ไม้ไผ่ปลอบ
จากนั้น ทั้งสามก็ลุกขึ้นและมุ่งหน้าไปยังลานบ้านบริเวณใกล้เคียงเพื่อดูว่าอวิ๋นเฟยหยางเป็นอย่างไร ทันทีที่เดินเข้าไป ก็เห็นร่างหนึ่งที่พวกเขาเคยยกย่องกำลังจับจ้องตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลที่แตกเป็นเสี่ยงๆตรงหน้า เหมือนอย่างที่หวงเทาเคยทำ สีหน้าของเขาบ่งบอกความตะลึงระคนสับสน ดูเหมือนเพิ่งได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง
ทั้งสามอ้าปากค้างแล้วรีบเข้าไป “คงไม่ใช่ว่า…คุณก็ถูกสังหารเหมือนกันหรอกนะ?”
อวิ๋นเฟยหยางคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา หากแม้แต่อวิ๋นเฟยหยางยังถูกสังหารได้ นักรบผู้นั้นจะต้องทรงพลังขนาดไหน?
“ผมสำแดงกระบวนท่าน้ำไหลไร้ขอบเขต แต่ก็ต้านทานการโยนดาบของเขาไม่ได้ กระบวนท่าเดียวนั่น…มันงดงามยิ่งกว่าทุกสิ่งที่ผมเคยเห็น…” ความคิดของอวิ๋นเฟยหยางล่องลอยไปขณะหวนนึกถึงการโยนดาบที่เพิ่งเกิดขึ้น
“คุณสำแดงกระบวนท่าน้ำไหลไร้ขอบเขต?” ทั้งสามอุทานด้วยความตกใจ
กระบวนท่านั้นเรียกได้ว่าเป็นศิลปะเพลงดาบสำหรับการป้องกันตัวขั้นสูงสุดที่ฝึกฝนกันในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายนอกของสำนักดาบเมฆเหิน ศิลปะเพลงดาบนี้จะห่อหุ้มร่างของผู้สำแดงไว้ด้วยกระแสน้ำเข้มข้นหลายชั้น เกิดเป็นสายน้ำไหลเชี่ยว ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเล่นงานหรือโจมตีอย่างไร กระแสน้ำที่ปกป้องอยู่จะสะท้อนการโจมตีนั้นกลับไปทันที
เรียกได้ว่าเป็นกระบวนท่าที่ไม่มีนักรบคนไหนในระดับวรยุทธเดียวกันจะทำลายได้
ทั้งๆที่สำแดงกระบวนท่านั้น อวิ๋นเฟยหยางก็ยังพ่ายแพ้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว คู่ต่อสู้เก่งกาจไร้เทียมทานขนาดนั้นเลยหรือ?
และที่อาการหนักกว่า…ขนาดถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม ก็ยังคิดว่าศิลปะเพลงดาบนั้นช่างงดงาม สีหน้าปลื้มปริ่มของเขาดูราวกับกำลังพร่ำเพ้อละเมอถึงคนรัก!
“ผมอยากเห็นศิลปะเพลงดาบนั่นกับตา เฟยหยาง คุณยังมีตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลอีกอันให้ผมใช้ไหม?”
หลังจากตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ไม้ไผ่กับหน้าเหลี่ยมก็พบว่าพวกเขากำลังตัวสั่นด้วยความอยากรู้ ทั้งคู่ อยากพบผู้ที่สามารถสำแดงศิลปะเพลงดาบที่เหนือชั้นกว่าแม้แต่หวงเทากับอวิ๋นเฟยหยาง
“ผมส่งคนไปซื้อตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลทันทีที่ผมฟื้น คงจะได้เร็วๆนี้แหละ” อวิ๋นเฟยหยางตอบ
หอนิรันดร์ทุกแห่งมีตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลของตัวเอง ด้วยการใช้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลเท่านั้นที่นักรบคนหนึ่งจะสามารถเชื่อมต่อกับ ‘โครงข่ายอาณาเขต’ ได้
ไม่ช้า คนรับใช้คนหนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาพร้อมกับตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล 8 อัน แต่ละอันมีมูลค่าหลายหมื่นเหรียญนิรันดร์ แม้จะเป็นเงินมหาศาลสำหรับตั้นเฉี่ยวเทียนและคนอื่นๆ แต่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับบรรดาศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน
วิ้ง!
ทั้งสี่รีบเชื่อมการติดต่อกับหอนิรันดร์ของเมืองแสงดาว ก่อนจะตรงเข้าสู่สังเวียนประลอง
“รอบที่ 7, เจ้าโลกคือผู้ชนะ!”
“ผมอยากเข้าสู่รอบ 8”
ทันทีที่ทั้งสี่ไปถึง ก็เห็นว่าเจ้าโลกชนะการดวลนัดที่ 7 แล้ว
คู่ต่อสู้คนที่ 7 ของเขาเป็นนักสู้ผู้โด่งดังในสังเวียนประลอง, ราชาสลาตัน
ราชาสลาตันขึ้นชื่อเรื่องการเคลื่อนไหวอันแผ่วเบาและว่องไวอย่างน่าทึ่งของเขา ทุกอย่างดูลื่นไหลราวกับสายลม ตั้งแต่เริ่มการดวล ร่างของเขาก็หายวับไป ไม่มีผู้ชมคนไหนระบุตำแหน่งของเขาได้ แต่ด้วยการเตะเสยกลางอากาศอย่างเต็มเหนี่ยว เจ้าโลกก็โจมตีหว่างขาของอีกฝ่ายได้อย่างจัง…
แน่นอนว่านั่นคือจุดจบของราชาสลาตัน
“มีใครอยากเข้าร่วมการดวลนัดที่ 8 ไหม?”
ไม่มีใครตอบรับสักคน
จริงอยู่ว่าการแลกหมัดกับผู้เชี่ยวชาญสักคนถือเป็นการบ่มเพาะทักษะของนักรบผู้นั้น แต่มันจะเป็นอย่างนั้นได้ก็ต่อเมื่อช่องว่างของประสิทธิภาพการต่อสู้ระหว่างทั้งคู่ไม่ได้ห่างกันเกินไป จะมีประโยชน์อะไรหากพวกเขาต้องจบเห่ภายในวินาทีเดียวหลังจากก้าวขึ้นสู่สังเวียน? ไม่มีใครมีเงินมากพอจะมาโยนทิ้งกับเรื่องสูญเปล่าแบบนี้
“ผมเอง!”
ไม้ไผ่รีบลงทะเบียนกับเจ้าหน้าที่สาว เพียงครู่เดียวเขาก็ปรากฏตัวบนสังเวียนประลอง
เมื่อเห็นว่ายังมีคู่ต่อสู้ จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก