“เอาเถอะ ถ้าอยู่ได้อีกสักเดือนสองเดือนก็คงดี” จางเซวียนพึมพำ
เขาหันหลังกลับโดยไม่เด็ดหญ้าจิตวิญญาณจอมราชันย์ จากนั้นก็เดินไปหาเครื่องเก็บงำมิติที่ลอยอยู่และพูดว่า “ไปกันเถอะ”
“ฉันยังไหว เร็วเข้า รีบนำหญ้าจิตวิญญาณจอมราชันย์ออกมาก่อน” หลัวฉีฉีตอบอย่างร้อนใจ
เป้าหมายของพวกเขาคือนำหญ้าจิตวิญญาณจอมราชันย์มาให้ได้ แล้วทำไมจางเซวียนถึงไม่เด็ดมา?
“ไม่จำเป็นแล้วล่ะ” จางเซวียนตอบขณะคว้าลูกทรงกลมที่ลอยอยู่กลางอากาศและฉุดเธอออกจากรอยแยกแห่งมิติ จากนั้นมิติที่อยู่ด้านหลังก็แตกสลาย ลำแสง 7 สีระเบิดออกมา
“เพราะอะไร?” หลัวฉีฉีไม่เข้าใจเหตุผลที่จางเซวียนทำแบบนี้
“ยังมีของล้ำค่าอีกมากมายที่ผมนำมาใช้ยกระดับวรยุทธได้ แต่สรวงสวรรค์มีเพียงหนึ่งเดียว” จางเซวียนตอบ
หากเขาได้หญ้าจิตวิญญาณจอมราชันย์มาก็คงดี แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น
มีสมุนไพรอีกมากที่จางเซวียนใช้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นจอมราชันย์ได้ เขาไม่ควรใช้ทะเลท่วมท้นกับสรวงสวรรค์เป็นเครื่องสังเวย
ในฐานะนักรบคนหนึ่งที่มาถึงสรวงสวรรค์ได้เพียง 1 เดือน เขายังไม่มีความรู้สึกผูกพันล้ำลึกกับที่นี่ อีกทั้งไม่ได้สูงส่งอย่างปรมาจารย์ขงที่มีความเมตตาปรานีมากมายให้กับทั้งโลก
แต่อย่างน้อยที่สุด ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง จางเซวียนไม่อาจทนเห็นโลกทั้งใบแตกสลาย และผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนต้องเสียชีวิต
เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าปรมาจารย์ขงกับหลัวลั่วชิงรู้สึกอย่างไร
ทั้งคู่แบกภาระและความรับผิดชอบหนักอึ้งไว้เต็มบ่า สองมือก็ถูกพันธนาการไว้ ไม่มีอิสระที่จะทำอะไรตามอำเภอใจได้เลย
“แต่เราจะหาสมุนไพรอื่นที่มีประสิทธิภาพเหมือนหญ้าจิตวิญญาณจอมราชันย์ได้ที่ไหน?” หลัวฉีฉีถามอย่างกระวนกระวาย “คุณจำเป็นต้องยกระดับวรยุทธโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้นะ”
หลัวฉีฉีไม่ใช่คนช่างพูด แต่ใส่ใจทุกอย่างที่อยู่รอบตัว แม้จะไม่รู้เรื่องสงครามสวรรค์ แต่เธอก็ดูออกว่าชายหนุ่มกำลังรีบ เขากระตือรือร้นที่จะยกระดับวรยุทธของตัวเองมาตลอดก็จริง แต่คราวนี้ดูจะร้อนอกร้อนใจกว่าที่เคย
สิ่งนี้ทำให้เธอรู้ว่าจางเซวียนน่าจะกำลังเผชิญกับสถานการณ์บีบบังคับบางอย่าง
แต่ในเมื่อชายหนุ่มไม่ปริปาก เธอก็ไม่ถาม เธอตัดสินใจแล้วว่าเพียงแค่ทำอะไรก็ตามที่จะช่วยเขาได้ในยามจำเป็นก็พอ
“ไม่เป็นไรน่ะ เดี๋ยวเราก็หาทางออกได้เอง” จางเซวียนตอบยิ้มๆขณะนำยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดเม็ดหนึ่งที่ได้จากแหวนเก็บสมบัติของหูเสี่ยวออกมา เขาถ่ายทอดพลังปราณจากเวทนาสวรรค์เข้าไปก่อนจะยื่นให้หลัวฉีฉี
เมื่อครู่นี้สาวน้อยใช้พละกำลังเกินพิกัดเพื่อรักษาความเสถียรของรอยแยกแห่งมิติไว้ ทำให้ได้รับความบอบช้ำภายในบางอย่าง
“ผมพอรู้จักสถานที่ที่มีสมุนไพรซึ่งช่วยยกระดับวรยุทธของจอมราชันย์ได้ ผมพาคุณไปที่นั่นได้นะ” อ้าวเฟิงเสนอ
จางเซวียนพยักหน้า
เพราะเคยเผชิญกับการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณมาแล้วถึง 3 ครั้ง แม้ทรัพย์สมบัติที่อ้าวเฟิงหามาได้จะยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่บรรดาศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขงได้รับ แต่เขาก็รู้แหล่งทรัพย์สมบัติอยู่ไม่น้อย
คงจะดีกว่ามากหากให้อีกฝ่ายนำทาง
ไม่ช้าทั้งกลุ่มก็มาถึงอีกพื้นที่หนึ่งซึ่งมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าอยู่
“ดอกไม้เที่ยงคืน มันคือดอกไม้ที่จะเบ่งบานในเวลาเที่ยงคืนของคืนวันพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น ดอกไม้นี้ซึมซับน้ำทิพย์จากพระจันทร์มากว่าพันปีถึงจะแก่จัด แม้สภาวะต่างๆในทะเลท่วมท้นออกจะพิสดารอยู่สักหน่อย…แต่ดอกไม้เที่ยงคืนก็บานที่นี่ทุกๆ 10 ปี ครั้งล่าสุดที่ผมมา ก็เห็นมันอยู่ลึกเข้าไปในหุบเขาตรงนั้น” อ้าวเฟิงพูดขณะชี้นิ้วไป
จางเซวียนมองตาม เห็นหุบเขาเขียวชอุ่มที่ถูกห้อมล้อมด้วยฝูงจิตวิญญาณหลอกหลอนซึ่งมีวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้า
“ผมจะเข้าไปดู!”
เขาเปิดใช้งานเครื่องรางแห่งการปลอมตัวก่อนจะลัดเลาะเข้าไปในหุบเขา เพียงครู่เดียวก็หน้านิ่วคิ้วขมวดกลับมา “มีใครคนหนึ่งเด็ดมันไปแล้ว”
จางเซวียนดูออกว่าดอกไม้เที่ยงคืนเคยขึ้นอยู่ตรงนั้น แต่มีบางคนเด็ดมันตัดหน้าเขาไป
“มีคนพาพรรคพวกมาเด็ดดอกไม้เที่ยงคืนไปแล้วหรือ?” อ้าวเฟิงชะงัก
ดอกไม้เที่ยงคืนก็เหมือนกับน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้น คือมีจิตวิญญาณหลอกหลอนอารักขาอยู่ ทำให้แทบเป็นไปไม่ได้ที่นักรบสักคนจะเข้าไปเด็ดดอกไม้เที่ยงคืนด้วยตัวเอง หรือต่อให้มาเป็นกลุ่ม โอกาสประสบความสำเร็จก็มีไม่มากอยู่ดี
ดังนั้น จึงออกจะทำใจให้เชื่อได้ยากว่ามีคนเด็ดมันไปแล้ว แปลว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติจำนวนหนึ่งร่วมมือกัน หรืออะไรทำนองนั้นหรือเปล่า?
เพราะถึงอย่างไร ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีพละกำลังล้ำลึกเกินหยั่งเหมือนชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขา
“ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น จากการแกะรอยของผม มีใครคนหนึ่งลอบเข้าไปในพื้นที่แล้วเด็ดดอกไม้เที่ยงคืนไปด้วย ดูเหมือนฝูงจิตวิญญาณหลอกหลอนก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันหายไป” จางเซวียนตอบ
เขาย่อมดูออกหากมีร่องรอยการต่อสู้ แต่ก็ไม่มีให้เห็น ชัดเจนว่านักรบปริศนาผู้นั้นคงไม่ต่างจากเขา คือแอบเข้าไปยังบริเวณที่ดอกไม้เที่ยงคืนขึ้นอยู่ แล้วเด็ดมันก่อนจะจากไปโดยไม่สร้างความแตกตื่นใดๆเลย
ซึ่งเหตุผลที่จางเซวียนทำแบบนั้นได้ก็เพราะมีเครื่องรางแห่งการปลอมตัว แล้วอีกฝ่ายทำได้อย่างไร?
“เอ่อ…ถ้าอย่างนั้น ไปอีกที่หนึ่งกันเถอะ ผมรู้จักที่อยู่ของเหล็กโดดเดี่ยว โลหะชนิดนี้ใช้หลอมเป็นของล้ำค่าระดับจอมราชันย์ได้ มันถูกฝังอยู่ในลาวาใต้ดิน ไม่ห่างจากที่นี่เท่าไหร่…”
ในเมื่อดอกไม้เที่ยงคืนถูกเด็ดไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องรีรออยู่ตรงนี้
“ไปกันเถอะ!” จางเซวียนพยักหน้า
เขามีอาวุธคู่มือแล้วก็จริง แต่ก็อาจนำเหล็กโดดเดี่ยวไปขายให้จอมราชันย์คนอื่นๆเพื่อแลกเป็นทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธได้
ทั้ง 3 บินไปอย่างรวดเร็ว ราวสิบอึดใจก็มาถึงแอ่งลาวา
จางเซวียนใช้พลังปราณห่อหุ้มร่างของเขาไว้ก่อนจะดำดิ่งลงไปในแอ่งลาวา ไม่ช้าก็กลับขึ้นมาด้วยสีหน้าท้อแท้ “เหล็กโดดเดี่ยวที่คุณพูดถึงน่ะ หายไปแล้ว”
“เป็นไปไม่ได้!” อ้าวเฟิงส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ
อุณหภูมิในแอ่งลาวาที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานั้นสูงจนแม้ของล้ำค่าระดับราชันย์เทพเจ้าก็หลอมละลายในชั่วพริบตา ต่อให้นักรบที่แข็งแกร่งระดับอ้าวเฟิงก็ยังไม่กล้าลงไป แล้วใครกันที่ดำดิ่งลงสู่แอ่งลาวาและแอบนำเหล็กโดดเดี่ยวออกไปได้?
“คุณยังรู้แหล่งที่อยู่ของทรัพย์สมบัติชนิดอื่นๆอีกไหม?”
รู้ดีว่ามีเวลาจำกัด จางเซวียนเร่งอ้าวเฟิง
“ผมรู้จักสถานที่อีกแห่งหนึ่งซึ่งมีอุกกาบาตจากโลกอื่น ในครั้งนั้น จอมราชันย์พิชิตสวรรค์กับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติในสังกัดของเขาอีก 3 คนพยายามนำมันออกมา แต่ก็ทำไม่สำเร็จ ครั้งสุดท้ายที่ผมไปที่นั่น อุกกาบาตจากโลกอื่นก้อนนี้ก็ยังอยู่” อ้าวเฟิงพูด
เขาเริ่มสูญเสียความมั่นใจหลังจากชวดของล้ำค่าไปแล้วถึง 2 ครั้ง
“พาผมไปที่นั่น” จางเซวียนสั่งการ
ทั้ง 3 รีบออกเดินทาง คราวนี้ที่หมายของพวกเขาคือภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่ง มันแผ่ความเย็นเยือกออกมา หนาวเย็นขนาดที่อาจทำให้พลังปราณของนักรบระดับราชันย์เทพเจ้ากลายเป็นน้ำแข็งได้
“ฉันไม่คิดว่าจะมีใครมาที่นี่หรอก” หลัวฉีฉีพูด
น้ำแข็งในบริเวณนี้มีมากมายเสียจนแม้ตัวเธอก็ยังเข้าไปได้ยาก นับประสาอะไรกับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคนอื่นๆ
“พวกคุณรอตรงนี้ก็แล้วกัน ผมจะเข้าไปดู” จางเซวียนพูด
เขาขับเคลื่อนพลังปราณของเวทนาสวรรค์ จากนั้นก็รีบทำตัวให้คุ้นชินกับความหนาวเย็นก่อนจะเดินหน้าเข้าไป
ราวสิบนาทีให้หลัง จางเซวียนก็กลับมาด้วยสีหน้าเจื่อนๆ “เรามาช้าไปอีกแล้ว…”
ภูเขาน้ำแข็งลูกนี้หนาวยะเยือกขึ้นเรื่อยๆเมื่อสำรวจลึกเข้าไป แม้จางเซวียนก็ยังต้านทานแทบไม่ไหว แต่เขาก็ไม่พบอุกกาบาตจากโลกอื่นที่อ้าวเฟิงพูดถึง เท่าที่ดูจากร่องรอยในบริเวณนั้น ดูเหมือนใครสักคนคว้ามันตัดหน้าพวกเขาไปแล้ว
ทั้ง 3 คนไปมาแล้วถึง 3 แห่ง แต่ของล้ำค่าก็ถูกใครคนหนึ่งปาดหน้าเค้กไป ทั้งที่การไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณเพิ่งเริ่มได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ดูเหมือนทั่วทั้งพื้นที่จะถูกกวาดจนเกลี้ยง
ใครกันที่คว้าของล้ำค่าทุกชิ้นไปได้รวดเร็วขนาดนั้น?
จางเซวียนหันไปตั้งคำถามกับอ้าวเฟิงด้วยความงุนงง “ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติที่เก่งกาจไร้เทียมทานปรากฏตัวในสรวงสวรรค์บ้างหรือเปล่า?”
ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้เที่ยงคืน เหล็กโดดเดี่ยว หรืออุกกาบาตจากโลกอื่น สภาพแวดล้อมที่พวกมันอาศัยอยู่ก็ไม่ใช่ที่ที่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติส่วนใหญ่จะเข้าไปได้ง่าย ไม่อย่างนั้น อ้าวเฟิงคงฉกฉวยของล้ำค่าเหล่านั้นไปเป็นของตัวเองแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีใครคนหนึ่งตัดหน้าพวกเขาไปได้ตลอด
อีกฝ่ายจะต้องไร้เทียมทานขนาดไหน?
อ้าวเฟิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง “การปรากฏตัวของจอมราชันพิชิตสวรรค์ทำให้จอมราชันย์ทุกคนเริ่มหันมาสนใจการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณ พวกเขาทุ่มเททรัพยากรมหาศาลเพื่อบ่มเพาะนักรบที่เก่งกาจขึ้นมากลุ่มหนึ่ง…”
“เท่าที่ผมรู้ น่านฟ้ามังกรเมฆของเราบ่มเพาะนักรบขึ้นมาสามคนด้วยการใช้กระจกเงาแห่งมิติและเวลาเพื่อบิดเบี้ยวกฎเกณฑ์แห่งกาลเวลาให้ผิดเพี้ยนไป พวกเขาผ่านบททดสอบและได้รับตำแหน่งทรงเกียรติจากจอมราชันย์มังกรเมฆตั้งแต่ก่อนที่การไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณจะมาถึง ผมยังไม่เคยพบพวกเขา แต่ดูเหมือนทั้งสามจะมีพละกำลังเหนือชั้นกว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคนอื่นๆ”
“อย่างนั้นหรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว
หรือว่าจอมราชันย์ทั้ง 9 รู้ดีว่านี่คือการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณครั้งสุดท้าย จึงทุ่มสุดตัวเพื่อให้แน่ใจว่าจะมีชีวิตรอด?
จางเซวียนถามต่ออย่างข้องใจ “คุณรู้ชื่อของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ 3 คนนั้นไหม?”
“ชื่อของพวกเขาคือขงซือเหยา, หลิวหยาง…และผมคิดว่าอีกคนหนึ่งชื่อ…จางจิ่วเซี่ยว” อ้าวเฟิงตอบ
“เป็นพวกนั้นหรือ?” จางเซวียนประหลาดใจเล็กน้อย
เขานึกกังวลตลอดมาตั้งแต่บรรดาศิษย์สายตรงของเขาถูกเหล่าจอมราชันย์นำตัวไป แต่ก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่งหลังจากได้รู้ว่าหวังหยิ่งกับเว่ยหรูเหยียนสุขสบายดีที่น่านฟ้าหลิงหลง แต่จากข้อมูลที่ได้ตอนนี้ ก็ดูเหมือนเกือบทุกคนจะไต่เต้าไปเป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติได้สำเร็จแล้ว
จางเซวียนรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
แต่พูดก็พูดเถอะ…ระดับวรยุทธของเจ้าพวกนั้นจะพัฒนาเร็วไปหน่อยไหม?
โชคดีที่ตัวเขามีวรยุทธระดับเดียวกันแล้ว ไม่อย่างนั้น จะน่าอับอายแค่ไหนหากได้พบกันอีกครั้งแล้วพบว่าเทียบชั้นกับศิษย์สายตรงของตัวเองไม่ได้?