R/C – 1-4
เวทมนตร์ที่ดลบันดาลทุกสิ่งอย่าง
หลังจากทำธุระตอนเช้าทุกอย่างจนเสร็จหมดแล้ว แม่ของเรดก็แต่งตัวเตรียมออกจากบ้านไปที่เมืองเพื่อที่จะหาซื้อของมาเก็บไว้ที่บ้าน
ส่วนทางด้านเรดนั้น ถูกบอกให้ไปรออยู่หน้าบ้านเรียบร้อยแล้ว และเจ้าตัวเองก็ยืนอยู่หน้าบ้านในชุดของสาวน้อยสดใสเริงร่า แถวๆ นี้ ไม่ว่าเธอจะมองไปทางไหนก็มีแต่ป่าที่เขียวขจี ที่แห่งนี้ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากป่า
อันที่จริงเมื่อเธอมาสังเกตพื้นที่รอบๆ ให้ดีใหม่ เธอก็พบว่าต้นไม้แต่ละต้นไม่น่าจะใช่ต้นไม้ที่เธอเคยเห็นมาก่อน เพราะต้นไม้พวกนี้มีลำต้นที่โค้งงอแปลกตา
ถ้าอยู่ในฤดูใบ้ไม้ร่วงต้นไม้พวกนี้อาจจะทำให้พื้นที่แถวนี้กลายเป็นบ้านแม่มดในนิทานที่เรดเคยอ่านให้เด็กๆ ฟังเลยก็ได้ แต่สิ่งที่เรดไม่รู้คือต้นไม้ต้นนี้ไม่มีฤดูใบไม้ร่วง
มันคนละสายพันธุ์กับต้นไม้ที่มีลักษณะแบบเดียวกันแต่ไม่มีใบไม้ที่เรดเคยอ่านเจอมาในนิทาน ใช่แล้ว ต้นไม้นั่นก็มีอยู่บนโลดนี้จริงๆ เช่นกัน
และแน่นอนว่าเรดที่หลงมาอยู่ในโลกใบใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สิ่งที่เธอต้องทำเป็นอย่างแรกคือการรวบรวมข้อมูล แม้เรดจะไม่ใช่คนที่ฉลาดหรือมากความรู้ แต่ยังไงซะพวกประสบการณ์อายุยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาของเธอก็ไม่ใช่ของปลอม
แม้จะสับสนหรือหวั่นวิตก เธอก็ต้องหาทางออกด้วยตัวเองให้ได้
“แต่ว่าโลกนี้มันยังไงกันแน่..?”
ตอนแรกเรดคิดว่านี่คือการหลุดเข้ามาในโลกของนิทาน ถึงอาจจะฟังดูเพ้อเจ้อไปหน่อยก็ตาม แต่ตอนนี้เธอต้องปักใจเชื่อในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ต้องมองให้นอกกรอบเอาไว้เพราะตอนนี้เธอกลายเป็นเด็กผู้หญิงไม่พอ ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเธอเองนั้น
ไม่ว่าจะเป็นท่าทาง หรือคอนเซปท์สิ่งที่เธอต้องทำต่อจากนี้ มันมีความคล้ายคลึงกับนิทานหนูน้อยหมวกแดงมากเลย
และไอ้เจ้าผ้าสีแดงที่เป็นหมวกอยู่บนหัวเธอ เธอสวมมันไว้ตลอด.. ถือเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดีที่สุดเลยละมั้ง แต่ถ้าพูดถึงหมวก รู้สึกว่าตอนตื่นมาเธอก็สวมหมวกสีแดงนี้ไว้แต่แรกอยู่แล้วด้วยสิ แต่ทว่าแม้เรดจะสงสัยว่าทำไมถึงต้องสวมเอาไว้แม้แต่ตอนนอนก็ตาม
ในตอนนี้เธอก็ไม่มีความคิดที่จะถอดออก.. จะพูดให้ถูกคือตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้เรดไม่เคยมองว่าการใส่หมวกตอนนอนเป็นเรื่องผิดปกติด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามเมื่อเธอมานึกๆ ดูตอนนี้มันก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมถึงต้องสวมหมวกสีแดงตลอดเวลา
“นั่นคงเพราะว่าฉันเป็นหนูน้อยหมวกแดงหรือเปล่านะ ?”
เรดพึมพำกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องอยู่คนเดียวเพราะมันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเครียด อีกอย่างถ้าถอดหมวกแดงออกก็จะไม่ใช่หนูน้อยหมวกแดงไงล่ะ เพราะตอนนี้เธอคือหนูน้อยหมวกแดงเลยต้องมีหมวกสีแดง
คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าตัวเองเพ้อเจ้อนิดหน่อย
เธออมยิ้มอยู่คนเดียว ด้วยวิธีคลายเครียดในแบบของตนเองแต่ก็ไม่ลืมที่จะคิดเรื่องของโลกนี้ต่อไป
หากเป็นตามที่เรดเข้าใจแล้ว ตอนนี้เธอกลายเป็นหนูน้อยหมวกแดงเข้าไปเต็มตัวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชุดหรือรูปร่างทุกอย่างเลย
ว่าแล้วเรดก็ก้มลงมองซ้ายมองขวาที่กระโปรงตัวเอง สิ่งแรกที่เธอสัมผัสคือความเย็นใต้กระโปรง ในฐานะที่ในชาติก่อนเป็นผู้ชายนั้น เธอย่อมไม่เคยใส่กระโปรงแน่นอนอยู่แล้ว.. พอมาอยู่ในโลกนี้ตัวเองดันต้องใส่ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลกขึ้นไปอีก เรดพยายามจะยืนขาชิดกันมากเท่าที่จะทำได้
พอมีลมเย็นๆ พัดมาเธอก็รีบใช้มือดึงกระโปรงลงเพื่อไม่ให้ลมพัด..
“เอ๊ะ แล้วนี่ฉันคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย!”
เมื่อเริ่มผ่านไปสักพักเรดพึ่งมาสังเกตว่าตัวเองเริ่มมีท่าทางที่อินไปกับการเป็นผู้หญิงเกินไปซะอย่างนั้นแหละ
ก็ออกนอกเรื่องมาไกลแล้ว.. แต่เอาเป็นว่าคอนเซปท์ต่างๆ ที่เรดต้องเจอหรือเจอมานับจากนี้ละก็นะ เธอน่าจะเป็นหนูน้อยหมวกแดงไม่ผิดแน่
เรดเป็นครูสอนโรงเรียนอนุบาล แน่นอนว่าการเล่านิทานเป็นอะไรที่สำคัญมากสำหรับเด็กหนึ่งในนิทานยอดฮิตที่เด็กๆ ชอบมากที่สุดคือนิทานหนูน้อยหมวกแดง
แต่ปัญหาคือเนื้อหาของนิทานหนูน้อยหมวกแดงมันมีหลายแบบหลายเวอร์ชันน่ะสิ ไม่ว่าจะแบบนิทานเด็กหรือแบบนิทานพี่น้องกริมม์
หรือแม้แต่นิทานที่ถูกดัดแปลงไปตามคำพูดปากต่อปาก.. เพราะหากโลกนี้เป็นโลกในนิทานจริงๆ ละก็สิ่งที่เธอต้องระวังนั้นง่ายมากคือ.. นี่เป็นนิทานในเวอร์ชันไหนกันแน่!
แน่นอนเวอร์ชันที่อาจจะเป็นมากที่สุดก็อาจจะเป็นเวอร์ชันที่เล่าปากต่อปากก็ได้
แต่ก็อาจจะเป็นเวอร์ชันต้นฉบับด้วยเพราะถ้าเรดเข้าใจไม่ผิด เวอร์ชันต้นฉบับที่เกิดการเล่าผ่านปากต่อปาก รู้สึกว่าจะมาจากหนังสือที่มีชื่อว่า
Le Petit Chaperon Rouge
ซึ่งเวอร์ชันนี้… หนูน้อยหมวกแดงจะโดนหมาป่าข่มขืนก่อนถูกจับกินด้วยนะ
“แบบนั้นไม่ตลกเลยนะ”
แค่พูดเธอก็รู้สึกขนหัวลุกแล้ว.. แต่ว่าต่อให้เป็นเวอร์ชันแบบเล่าปากต่อปากก็ตามเธอยังต้องโดนหมาป่ากินก่อนโดนนายพรานมาช่วยเอาไว้โดยการผ่าเอาเธอออกมาจากท้องเจ้าหมาป่า
ซึ่งขอบอกตามตรงเลยนะว่าคงช่วยได้แหละ ถ้าหมาป่ามันกลืนเธอเข้าไปทั้งตัวละก็นะ แต่นี่ไม่ใช่นิทานสักหน่อย นี่คือความจริงไม่มีทางที่หมาป่าจะกลืนคนไปเป็นๆ ได้หรอกใช่ไหมล่ะ นั่นก็หมายความว่าถ้าตกอยู่ในมือหมาป่าเรดจะถูกจับกินอย่างโหดร้ายและทารุณแทน…
และต่อให้ผ่าช่วยออกมาได้ เรดก็ไม่อยากสัมผัสประสบการณ์ที่อยู่ในท้องหมาป่าหรอกนะ
เพราะการที่ต้องเข้าไปอยู่ในท้องของหมาป่านี่ก็นะ..
“ไม่ๆ .. มันอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้”
ใช่แล้ว ยังไงซะนี่ก็คือโลกใบใหม่ เรื่องที่เธอต้องเข้าไปในป่าหาคุณยายและมีหมวกสีแดงอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้นี่
อาจจะเพราะเรดใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการเล่านิทาน พอมาอยู่ในสถานการณ์ที่เหมือนกับว่าอยู่ในนิทาน
เธอจึงเผลอคิดไปเองแบบนั้น แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามแต่โลกนี้ยังมีสิ่งที่เหนือความเข้าใจของเรดและเป็นสิ่งที่ไม่มีในนิทานหนูน้อยหมวกแดง
อย่างพวก เวทมนตร์ดำขาวหรือแม้แต่แม่มด
แน่นอนว่ารวมถึงสัตว์ที่มีลักษณะแปลกๆ อีกด้วย.. เมื่อคิดถึงเรื่องธรรมชาติเหล่านี้เรดจึงต้องตั้งความหวังให้ตัวเอง
อันที่จริงมันวิธีพื้นฐานในการเอาตัวรอดของมนุษย์อยู่แล้ว ไอ้การตั้งเป้าหมายอะไรสักอย่างมันจะไม่ทำให้คนคนนั้นสับสนหรือหลงทางในทางเลือก
เพราะงั้นการที่เรดตั้งเป้าหมายว่า ‘อาจจะมีสิ่งที่ทำให้เธอพากลับไปโลกเดิม’ ได้อยู่ก็ได้.. เพราะงั้นเรดจึงตัดสินใจว่าบางทีเธอควรจะศึกษาเกี่ยวกับเวทมนตร์ในโลกนี้เอาไว้ด้วย
อันที่จริงเวทมนตร์มันเป็นสิ่งไกลตัวเรดมาก แต่ด้วยความที่เธอคลุกคลีกับนิทานเด็กมาตลอดนั้นจึงเป็นเหตุผลที่เธอจะรู้จักพวกสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์ที่จะดลบันดาลทุกอย่างให้กับผู้ใช้ด้วย
เอาอะไรมาก ขนาดมาอยู่ในร่างของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในอีกโลกก็เกิดขึ้นได้แล้ว กับอีแค่เรื่องที่ว่ามันจะมีเวทมนตร์ที่ใช้กลับได้จริงไหมหรือไม่มีของแบบนั้นอยู่ ไอ้เรื่องพวกนั้นไม่ได้อยู่ในหัวของเรดเลย
เพราะสิ่งที่อยู่ในหัวเธอตอนนี้คือจะหาเวทมนตร์ที่ดลบันดาลให้ทุกอย่างเป็นจริงได้จากไหนมากกว่า
“ป้ะ ไปซื้อของกันเถอะ แม่ขอโทษที่ให้รอนะ”
ในตอนนั้นเองแม่ของเรดที่สวมชุดลำลองง่ายๆ สบายๆ เดินออกมาจากบ้านในขณะที่เรดกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่คนเดียว เรดเองก็พยักหน้าตอบเบาๆ
แม่ของเธอก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น
“งั้นก็ไปกันเถอะ”
ว่าแล้วทั้งคู่สองแม่ลูกก็เดินไปตามทางดินที่ไม่มีหญ้าเกิดขึ้นเลยซึ่งไอ้ทางพวกนี้เกิดจากการเดินไปเดินมาบ่อยนั่นแหละ โดยพวกเธอสองแม่ลูกใช้เวลาในการเดินไม่นานเท่าไหร่โค้งซ้ายที ขวาที
ก็ออกจากเขตป่ามาได้แล้ว ด้านหน้าก็เห็นทุ่งนาข้าวที่กว้างขวางสุดขอบลูกตาไปจนหมดและห่างไกลออกไปอีกหน่อยก็มีเมืองเล็กๆ อยู่
โดยล้อมไว้ด้วยทุ่งนาข้าวนั่นเอง ดวงตาของเรดเบิกกว้างเล็กน้อยท้องฟ้ามีนกที่ตัวใหญ่เหมือนกับหมีบินอยู่
บนพื้นก็มีสิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับแมวแต่กลับลอยเคว้งไปมาตามอากาศด้วยความเกียจคร้านแถวๆ บ้านไม้หลังเล็กที่ตั้งอยู่ตามทุ่งนาข้าวแต่ละเขต
“แม่ก็นึกว่าลูกจะไม่อยากมาแล้วซะอีกนะ เพราะเมื่อหลายวันก่อนบอกว่าจะพาเข้าไปในเมืองยังตื่นเต้นขนาดนั้นแท้ๆ แต่พอมาถึงวันจริงกลับนิ่งเงียบซะขนาดนี้ แต่ดูเหมือนว่าแม่จะคิดไปเองสินะ”
เมื่อแม่ของเรดเห็นท่าทางของเรด เธอก็ยิ้มออกมา อันที่จริงทุกครั้งที่พาลูกสาวเข้าเมือง ทุกครั้งที่เรดเห็นทุ่งนาข้าวเธอก็จะหลงไหลแบบนี้แหละ
ตอนแรกเธอนึกว่าลูกเธอกำลังเข้าวัยต่อต้านซะอีกนะเนี่ย
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เดินผ่านทุ่งนาข้าว เจอชาวนาแม่ของเรดแม้จะไม่ได้สนใจที่จะทักชาวบ้านราวกับไม่รู้จักกันมาก่อน
แต่เมื่อชาวบ้านเห็นแม่ของเรดก็ทักทายอย่างสนิทสนม แน่นอนว่าแม่ของเรดก็ตอบกลับด้วยความเกรงใจเหมือนกับไม่ค่อยชินกับการพูดคุยสนิทสนมเท่าไหร่
และขณะเดินๆ อยู่นั้นจู่ๆ เรดก็พูดขึ้นว่า
“เอ่อ.. คุณ..แม่..?”
“หือ มีอะไรเหรอจ๊ะ?”
“คือว่า.. แม่รู้จักเวทมนตร์ดีจังเลยนะ ก็เมื่อเช้าแม่พูดถึงเรื่องเวทมนตร์เหมือนรู้ดีขนาดนั้นน่ะ”
“นั่นก็แค่ความรู้พื้นฐานเท่านั้นแหละจ้ะ”
แม้แม่ของเรดจะแปลกใจเกี่ยวกับคำพูดของลูกสาวเธอ แต่เธอก็ยังคุยด้วยอย่างปกติ.. เรดเองก็เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถามขึ้นว่า
“โลกนี้มีเวทมนตร์ที่ดลบันดาลให้ความปรารถนาเป็นจริงไหมคะ?”
“หือ.. ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ?”
คิ้วของผู้เป็นแม่เลิกขึ้นด้วยความสงสัยเล็กน้อย แต่เรดก็เหมือนจะไม่รู้จะตอบยังไง เพราะเธออยากได้เวทมนตร์ที่พาเธอกลับโลกเดิมนี่น่า
“อ้ะ.. เป็นเพราะหนูอ่านเจอมาในหนังสือค่ะ”
เธอเองก็ไม่รู้จะตอบยังไงเลยตอบออกไปแบบนั้น แม่ของเธอก็ครึ่นคิดอยู่พักหนึ่งพร้อมกับตอบคำถามที่เรดต้องการอยากรู้ว่า
“มีสิจ๊ะ”
“หือ มันคืออะไรเหรอคะ?”
“นั่นสินะ ถ้าจะให้เรียกพวกแม่มดจะเรียกมันว่า……”