ณ พื้นที่โล่งกว้างนอกเมืองเทียนหยวน การต่อสู้ที่ดุเดือดรุนแรงยังคงดำเนินต่อไป
ข่ายอาคมเจ็ดดาราทลายวิญญาณของฉินอวี้โม่กางวงล้อมกักขังจอมยุทธ์ปีศาจไว้อีกครั้งในขณะที่ซ่างสี่ซานและคนอื่น ๆ มุ่งหน้ามาถึงสมรภูมิรบแห่งนี้
นอกเหนือจากบรรดาผู้นำตระกูลและเจ้าเมืองจ้าวเหลียงก็ยังมีจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งอีกมากกว่าสิบคนที่ตัดสินใจมาเข้าร่วมการต่อสู้ครานี้
“แม่นางอวี้โม่”
เสียงของหลานเผิงดังขึ้นก่อนที่เขาและลุงติงจะปรากฏกายกลางอากาศเช่นกัน
ภายในข่ายอาคมอันทรงพลัง คลื่นพลังจากหลากหลายทิศทางยังคงโจมตีตรงเข้าที่บุรุษชุดดำอย่างต่อเนื่องจนเขาเริ่มรับมือได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ
ข่ายอาคมเจ็ดดาราทลายวิญญาณนี้ซับซ้อนกว่าข่ายอาคมสายฟ้าพิฆาตมากนัก การที่พยายามใช้พลังในการฝ่าทำลายมันโดยตรงจะส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อจอมยุทธ์ปีศาจ เขาจึงไม่กล้าตัดสินใจทำสิ่งใดบุ่มบ่าม
“เสี่ยวอวี้โม่ เราจะทำอย่างไรต่อไป ?”
ข่ายอาคมเป็นศาสตร์ที่ลึกลับและแปลกประหลาดเกินคาดเดา ซ่างสี่ซานและคนอื่น ๆ จึงไม่กล้าบุกเข้าไปโจมตีเป้าหมายอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า สายตาทุกคู่ของพวกเขาจับจ้องไปที่ฉินอวี้โม่เพื่อรอการจัดการต่อไปของนาง
หากฉินอวี้โม่บอกให้พวกเขาโจมตีจอมยุทธ์ปีศาจในข่ายอาคม พวกเขาก็จะปลดปล่อยพลังทั้งหมดอย่างเต็มที่และไม่ยั้งมืออย่างแน่นอน
“เฝ้ารอไปก่อน…ข่ายอาคมเจ็ดดาราทลายวิญญาณนี้มิใช่ข่ายอาคมที่จะถูกรบกวนจากภายนอกได้ มิฉะนั้นพลังของมันจะลดน้อยลงมาก ทุกคนรอดูก่อนเถอะว่าข่ายอาคมนี้ของข้าจะทำให้เขาบาดเจ็บได้เพียงใด !”
ฉินอวี้โม่กล่าวขณะขมวดคิ้วเล็กน้อย ความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ปีศาจผู้นี้เกินกว่าจินตนาการของนางมากนัก ข่ายอาคมสายฟ้าพิฆาตก่อนหน้านี้ถูกเขาฝ่าทำลายได้อย่างง่ายดาย เกรงว่าแม้แต่ข่ายอาคมเจ็ดดาราทลายวิญญาณนี้ก็อาจควบคุมเขาได้ไม่นานนัก
“พี่รอง หากพวกเรากำจัดจอมยุทธ์ปีศาจนั่นไม่ได้ เกรงว่าทั้งเมืองเทียนหยวนจะได้รับผลกระทบแน่ เราควรจะพาคนในเมืองอพยพไปก่อนรึไม่ ?”
จ้าวตั๋วกล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเป็นกังวล หากจอมยุทธ์ปีศาจผู้นี้คลุ้มคลั่งขึ้นมาและพวกเขาไม่มีปัญญาที่จะควบคุมหรือปราบปรามอีกฝ่ายได้ เกรงว่าในตอนนั้น จอมยุทธ์ทั่ว ๆ ไปและคนธรรมดาในเมืองอาจจะพลอยได้รับความเดือดร้อนก็เป็นได้
“ไม่ต้องห่วง ต่อให้จอมยุทธ์ปีศาจจะมีพลังที่น่าสะพรึงกลัว ทว่าตอนนี้เขาก็ไม่กล้าทำสิ่งใดที่ล้ำเส้นจนเกินไปหรอก สามสำนักและเก้านิกายยังคงเป็นตัวตนที่พวกจอมยุทธ์ปีศาจเกรงกลัว มิฉะนั้นพวกเขาก็คงไม่พยายามทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ เช่นนี้หรอก”
ก่อนที่จ้าวเหลียงจะกล่าวตอบ ฉินอวี้โม่ก็กล่าวแทรกขึ้นมาเบา ๆ
หากกล้าเปิดศึกประกาศตนเป็นศัตรูกับทั้งดินแดนมหาเทพจริง จอมยุทธ์ปีศาจก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาแอบลักลอบเข้ามาในเมืองเทียนหยวนเช่นนี้ การที่พวกเขาแอบวางแผนและเคลื่อนไหวในมุมมืดก็เป็นเพราะมีขุมกำลังอีกมากมายที่พวกเขาหวาดกลัว พวกเขาจึงไม่กล้าทำสิ่งใดที่โจ่งแจ้งจนเกินไป
“ฉลาดดีนี่ วางใจเถอะ ข้าผู้นี้มิใช่คนที่ชื่นชอบการฆ่าคนบริสุทธิ์ ทว่าการที่พวกเจ้ากล้าท้าทายข้าผู้นี้ พวกเจ้าทั้งหมดก็จะต้องถูกฝังอยู่ที่นี่ และหลังจากนี้ ข้าจะจัดหาให้คนมาดูแลจัดการเมืองเทียนหยวนแห่งนี้เอง”
หลังจากได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ บุรุษชุดดำก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
ฉินอวี้โม่กล่าวถูกต้องทุกประการ หากเมืองเทียนหยวนแห่งนี้ถูกทำลายไปจริง ๆ พวกเขาจอมยุทธ์ปีศาจจะถูกขุมกำลังอันดับต้น ๆ ทั่วทั้งดินแดนมหาเทพตามไล่ล่าอย่างแน่นอน พลังอำนาจของพวกเขาในตอนนี้ยังไม่แกร่งกล้ามากพอ หากตกเป็นเป้าหมายของขุมกำลังอันดับต้น ๆ เหล่านั้น พวกเขาไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลย หลังจากฝึกวิชาและสั่งสมประสบการณ์อย่างเงียบ ๆ มานานหลายปี พวกเขาก็เพิ่งมีโอกาสได้ปรากฏตัวในดินแดนเมื่อไม่นานมานี้เท่านั้นและยังไม่ต้องการสร้างศัตรูมากมายเกินความจำเป็น
เพราะเหตุนั้น แผนการเดิมของพวกเขาคือการคอยหนุนหลังขุมกำลังที่มีศักยภาพให้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ และครอบงำขุมกำลังอื่น ๆ จนกลายเป็นฐานทัพสำหรับจอมยุทธ์ปีศาจของพวกตน เมื่อพลังอำนาจของพวกเขาพัฒนาถึงระดับหนึ่ง พวกเขาก็มั่นใจมากขึ้นว่าจะสามารถประจันหน้ากับขุมกำลังเหล่านั้นที่ได้ชื่อว่าเป็นขุมกำลังที่เที่ยงธรรมและแข็งแกร่งที่สุดในดินแดน
นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีเหตุผลอื่นที่พวกเขาเลือกเมืองเทียนหยวนแห่งนี้ เพียงแต่คาดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่จะทำลายแผนการเหล่านั้นทั้งที่เพิ่งเริ่มต้นได้เพียงไม่นาน
การที่เฝิงรุ่ยเฉิงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยและตระกูลเฝิงเปลี่ยนโฉมใหม่จนแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเริ่มต้นหาขุมกำลังใหม่เพื่อสนับสนุนต่อไป
น่าเสียดายที่ฉินอวี้โม่ไม่ยินยอมคล้อยตามแม้จะมีข้อเสนอล่อตาล่อใจเพียงใดก็ตาม ซ้ำร้ายนางยังได้เตรียมกับดักไว้รับมือล่วงหน้าแล้วและเพียงรอให้เขาปรากฏตัวขึ้นมา
ตูมมม !
เสียงดังสนั่นปะทุขึ้นมาและคทารูปร่างประหลาดปรากฏขึ้นในมือของจอมยุทธ์ปีศาจ เขาเหวี่ยงมือไปข้างหน้าและคทาดังกล่าวก็กระแทกตรงเข้าไปที่ส่วนหนึ่งของข่ายอาคมเจ็ดดาราทลายวิญญาณ
“นั่นมันคทาผนึกวิญญาณ !”
ด้วยการที่หลานเผิงเป็นบุคคลที่มีความรู้รอบด้าน เขาจึงจำจดคทาหน้าตาประหลาดในมือคู่ต่อสู้ได้ทันทีและตะโกนชื่อของมันออกมา
สีหน้าของหลายคนที่เคยได้ยินเกี่ยวกับ ‘คทาผนึกวิญญาณ’ ก็เปลี่ยนไปทันที ในขณะที่สีหน้าของคนอื่น ๆ ที่ไม่เคยได้ยินมันกลับกลายเป็นสับสนงุนงง ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเหตุใดสีหน้าของหลานเผิงจึงถอดสีอย่างชัดเจนเช่นนั้น
คทาผนึกวิญญาณคือหนึ่งในอุปกรณ์มายาโบราณที่มีพลังอันน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด
กล่าวกันว่าหากถูกโจมตีโดยคทาผนึกวิญญาณนี้ พลังทั้งหมดในร่างของเป้าหมายจะถูกปิดผนึกไว้ชั่วคราวและไม่สามารถใช้มันได้อีกต่อไป เมื่อนานมาแล้วในอดีต ผู้ปกครองแห่งโลกปีศาจก็พึ่งพาอาศัยคทาดังกล่าวในการออกท่องไปทั่วดินแดนต่าง ๆ โดยที่ไม่พบกับใครที่แกร่งกล้ามากพอจะเป็นคู่มือให้ด้วยซ้ำ
ในภายหลัง คทาผนึกวิญญาณดังกล่าวก็หายสาบสูญไปพร้อมกับผู้ปกครองแห่งโลกปีศาจ ไม่คิดเลยว่ามันจะปรากฏขึ้นอีกครั้งในมือของจอมยุทธ์ปีศาจผู้นี้
*หึ่งหึ่งงง*
เสียงอู้อี้เบา ๆ ดังขึ้นเมื่อข่ายอาคมเจ็ดดาราทลายวิญญาณของฉินอวี้โม่ค่อย ๆ แหลกสลายและหายไปในอากาศ
แม้สภาพของจอมยุทธ์ปีศาจจะดูน่าสมเพชขึ้นเล็กน้อย ทว่าเขาก็ไม่ได้รับผลกระทบจากการข่ายอาคมนี้มากนัก เวลานี้พลังในร่างของเขาก็พุ่งสูงขึ้นจนถึงระดับที่ฉินอวี้โม่ไม่อาจประเมินได้ เกรงว่าคนผู้นี้น่าจะมีพลังอยู่ในขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดเป็นอย่างต่ำ
“ข้าจะแสดงให้เจ้าได้เห็นว่าพลังที่แท้จริงเป็นอย่างไร !”
เขาตะโกนกร้าวในขณะที่คทาประหลาดของตนลอยขึ้นไปกลางอากาศและพลังมายาโดยรอบก็ถาโถมเข้ามาที่คทาดังกล่าวอย่างบ้าคลั่งก่อนมันจะเปล่งแสงสลัวออกมา
“หยุดเขาไว้เร็ว !”
สีหน้าของลุงติงเปลี่ยนไปทันที เขาตะโกนกร้าวและอาวุธปรากฏในมือก่อนเปิดฉากตรงเข้าโจมตีบุรุษชุดดำอย่างรวดเร็ว
ซ่างสี่ซานและคนอื่น ๆ ก็เรียกสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็วและปล่อยกระบวนท่าโจมตีออกไปเช่นกัน
ตูมม ! ตูมม ! ตูมม !
กระบวนท่าโจมตีทั้งหมดกระทบเข้ากับม่านป้องกันตรงหน้าจอมยุทธ์ปีศาจโดยที่ไม่สามารถเจาะทะลวงผ่านการป้องกันของเขาได้เลย
“ช่างไม่รู้จักการประมาณตน !”
บุรุษชุดดำแสยะยิ้มและโบกมือออกไปข้างหน้าเล็กน้อย จากนั้นลำแสงหลายเส้นก็ปรากฏขึ้นในม่านป้องกันก่อนพุ่งตรงเข้าใส่ลุงติงและคนอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว
เคร๊ง ! เคร๊ง !
ลุงติงและคนอื่น ๆ ไม่รอช้าและเหวี่ยงอาวุธในมือเพื่อขัดขวางพลังโจมตีจากลำแสงเหล่านั้นทันที ภายในเวลาเพียงไม่นาน พวกเขาก็ปัดทำลายพวกมันได้สำเร็จทว่าพลังจากทั่วบริเวณยังคงปั่นป่วนไม่เปลี่ยนแปลง
“นายหญิง คทาผนึกวิญญาณนั่นกำลังดูดซับพลังฟ้าดินจากรอบตัว เมื่อดูดซับพลังเข้าไปจนถึงระดับหนึ่ง มันจะปลดปล่อยการโจมตีออกมา เมื่อถึงตอนนั้น ผู้ที่ถูกมันโจมตีจะสูญเสียพลังทั้งหมดไปและไม่ง่ายเลยที่จะฟื้นฟูกลับมาอีกครั้ง”
มารยากล่าวเตือนฉินอวี้โม่ถึงความทรงจำที่มันมีเกี่ยวกับคทาผนึกวิญญาณเนื่องจากทราบดีว่าคทาผนึกวิญญาณเป็นอาวุธที่มีพลังน่าสะพรึงกลัวมากเพียงใด ในอดีตเมื่อครั้งยังรับใช้ราชินีเหมันต์ นางเคยกล่าวถึงคทาผนึกวิญญาณพร้อมด้วยสีหน้าที่บิดเบี้ยวซึ่งแสดงให้เห็นว่าคทาดังกล่าวน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งแม้สำหรับผู้ที่ทรงพลังอย่างราชินีผู้เยือกเย็น
*ฮึมมม…*
เสียงประหลาดดังขึ้นและคทาผนึกวิญญาณซึ่งลอยอยู่กลางอากาศก็ส่องแสงสว่างจ้ายิ่งกว่าเดิม คลื่นพลังมหาศาลแผ่ออกมาและกระจายตัวตรงไปยังทุกคนในสมรภูมิรบ
“ทุกคนหลบไปเร็วเข้า !”
หลานเผิงตะโกนเสียงดังขณะจ้องหน้าจอมยุทธ์ปีศาจตาเขม็ง “เจ้าแน่ใจรึว่าอยากจะเป็นศัตรูกับตระกูลหลานของเรา ?”
เมื่อได้ยินวาจาของบุรุษหนุ่ม จอมยุทธ์ปีศาจผู้นั้นก็มองตอบด้วยแววตาเย็นชาและกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ข้าไม่คิดอยากเป็นศัตรูกับพวกเจ้า ตราบใดที่ตระกูลหลานไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในวันนี้ ข้าก็สามารถปล่อยเจ้าออกไปได้ ทว่าหากยังยืนยันที่จะเข้ามาแทรกแซง อย่าหาว่าข้าไม่เตือนก่อนก็แล้วกัน !”
จริงอยู่ที่ว่าตระกูลหลานทำให้จอมยุทธ์ปีศาจหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย ทว่าถึงอย่างไรวันนี้ฉินอวี้โม่ก็ต้องตาย หากปล่อยให้ผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นเช่นนี้มีชีวิตและพัฒนาต่อไปได้ แผนการที่พวกเขาวางไว้ก็จะประสบความสำเร็จได้ยากยิ่งขึ้น
“เหอะ หากเจ้าคิดจะฆ่าแม่นางอวี้โม่ นั่นก็หมายถึงการประกาศศึกกับตระกูลหลานของข้าและไม่มีทางที่ข้าจะอยู่เฉยได้แน่ อย่าพล่ามเรื่องไร้สาระจะดีกว่า ข้าไม่กลัวพวกเจ้าหรอก !”
หลานเผิงแค่นเสียงอย่างไม่สะทกสะท้านเช่นกันขณะหยิบอาวุธหลายชิ้นออกมาจากแหวนมิติและโยนตรงเข้าใส่คู่ต่อสู้
ทว่าในเวลาเดียวกันนี้ ร่างของคนสองคนก็ปรากฏตัวในจุดหนึ่งของจวนเจ้าเมืองแห่งเมืองเทียนหยวน