ภายใต้สถานการณ์เยี่ยงนี้ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเป็นศัตรูหรือมิตร
คนบังคับม้าถาม “ต้องขยับหลบไปข้างทางหรือไม่พ่ะยะค่ะ?”
เซียวเยี่ยนเลิกผ้าม่านหน้าต่าง มองออกไปข้างนอกแวบหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่ต้อง”
นาทีถัดมาคนกลุ่มนั้นเหินกายมาหยุดเบื้องหน้า หลินชิงเวยเห็นรูปร่างหน้าตาของคนผู้ซึ่งเป็นหัวหน้านั้นชัดเจน จิตใจกระวนกระวายที่ตึงเครียดตลอดมาจึงวางลงได้ในที่สุด
นั่นมิใช่องครักษ์ผู้ติดตามของเซียวเยี่ยนหรอกหรือ
ผู้ติดตามก้าวขึ้นหน้าพร้อมถามขึ้น “ผู้น้อยมาช้า ขอท่านอ๋องลงทัณฑ์! ท่านอ๋องเป็นอะไรหรือไม่พ่ะยะค่ะ?”
น้ำเสียงของเซียวเยี่ยนราบเรียบสงบนิ่ง “เปิ่นหวางไม่เป็นอะไร กลับวังเถิด”
ผู้คนบนท้องถนนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นล้วนหยุดฝีเท้าเพื่อรอดูอย่างคึกคัก คนทั้งหมดกลับหัวล้อมรอบรถม้ามุ่งหน้าจากไป
เมื่อเทียบกันแล้วยามกลับไปรวดเร็วกว่ายามมามากนัก เสียงเกือกม้าข้างนอกหน้าต่างเต็มไปด้วยความเร่งรีบ รถม้าที่วิ่งอย่างสมดุลในยามมาในเวลานี้กลับโคลงเคลง
ภายในรถม้ามีเพียงความเงียบงัน หลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนล้วนไม่มีใครพูดจา
กระทั่งมาถึงกำแพงวังหลวง เข้าสู่ประตูวัง หลินชิงเวยจึงมองเขาแวบหนึ่ง “ใกล้ถึงแล้ว ท่านอดทนอีกหน่อย”
เซียวเยี่ยนไม่คิดเช่นนั้น “เปิ่นหวางบอกแล้วว่าไม่เป็นอะไร เจ้าไม่ต้องกังวลเกินเหตุ”
“ท่านจะปากแข็งข้าไม่ขอทะเลาะกับท่าน ข้ารู้เพียงว่าสีหน้าของท่านผิดปกติ”
เซียวเยี่ยนได้สกัดข่าวที่เซ่อเจิ้งอ๋องถูกลอบสังหาร นอกจากคนที่ติดตามมาด้วยแล้ว ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียวจิ่น
เวลานี้คาดว่าเซียวจิ่นน่าจะเข้านอนแล้ว เซียวเยี่ยนและหลินชิงเวยย่อมไม่รบกวนเขา ทันทีที่หลินชิงเวยลงจากรถม้าก็หันไปสั่งการองครักษ์ผู้ติดตาม “ไปตำหนักฉางเหยี่ยนนำล่วมยาของข้ามา”
องครักษ์ผู้ติดตามมีท่าทีลังเลใจ ยืนอยู่ที่นั่นไม่ขยับ
เซียวเยี่ยนไม่เอื้อนเอ่ยวาจา เขาไม่อาจเอ่ยอนุญาต อีกทั้งในวังหลวงมิใช่มีหมอหลวงหรือ
สีหน้าของเซียวเยี่ยนขาวซีดจนน่าเวทนา แต่ท่าทางการเดินเหินของเขากลับเหมือนคนปกติ “เวลาไม่เช้าแล้ว ส่งหลินเจาอี๋กลับไปเถิด แล้วไปเรียกตัวหมอหลวงที่สำนักหมอหลวงมาตำหนักของเปิ่นหวางคนหนึ่ง เรื่องนี้จะทำอย่างเอิกเกริกไม่ได้”
ไม่รอให้องครักษ์ผู้ติดตามปฏิบัติตามคำสั่ง หลินชิงเวยใช้หางตาตวัดมองผู้ติดตามแวบหนึ่ง แววตาคมปลาบที่มองกราดมาราวกับมีแรงกดดันที่มองไม่เห็นชนิดหนึ่ง ทำให้หัวใจของเขาถึงกับสะดุด หลินชิงเวยเอ่ยขึ้นว่า “ท่านคิดว่าหมอหลวงของสำนักหมอหลวงเก่งกาจกว่าข้า? เช่นนั้นก็ได้ ให้สุนัขรับใช้ของท่านไปเชิญหมอหลวง วันรุ่งขึ้นให้หมอหลวงถวายการรักษาขาทั้งคู่ของฮ่องเต้ต่อไป”
เซียวเยี่ยนไม่พูดจา หลินชิงเวยจึงหันไปกล่าวกับผู้ติดตาม “ยังมัวโง่งมอะไรกันอยู่อีก ยังไม่รีบไปตำหนักฉางเหยี่ยน! ต้องการให้ข้าบอกเจ้าหรือไม่ว่าไปทางไหน?”
องครักษ์ผู้ติดตามกระจ่างแจ้งว่าเซียวเยี่ยนยอมประนีประนอมแล้ว จึงรีบหันกายจากไป เขาเหินกายเพียงไม่กี่ครั้งก็มองไม่เห็นเงาร่างของเขาอีก
ภายในตำหนักซวี่หยางกว้างใหญ่ ที่พักของเซียวเยี่ยนอยู่ในตำหนักซวี่หยางเช่นกัน เพียงแต่เป็นตำหนักข้างที่แยกออกมา อยู่ห่างจากตำหนักหลักของเซียวจิ่นออกมาเล็กน้อย
นางกำนัลที่ปรนนิบัติรับใช้ในตำหนักข้างนั้นน้อยเหลือหลาย กิจวัตรในชีวิตประจำวันเซียวเยี่ยนล้วนไม่ให้ผู้ใดมาปรนนิบัติรับใช้ ดังนั้นทุกวันเมื่อล่วงเข้าสู่ยามราตรี นางกำนัลเพียงแต่มาจุดโคมไฟภายในตำหนักข้างแล้วจะออกไปจากที่นี่ทันที
เซียวเยี่ยนเดินไปเดินมาแล้วหันมากล่าวกับหลินชิงเวย “เจ้ากลับไปเถิด หากมีคนพบเห็นเข้าจะเป็นเรื่องไม่ดีต่อเจ้า”
หลินชิงเวยกล่าวอย่างสบายใจเฉิบ “หม่อมฉันเป็นเจาอี๋ หากให้ผู้คนพบเห็นว่าเข้าออกตำหนักบรรทมของเสด็จอา ย่อมตกเป็นขี้ปากของผู้อื่นอย่างง่ายดาย” นางหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวอีกว่า “แล้วอย่างไรเล่า เมื่ออยู่ในสำนักหมอหลวงเสด็จอาถึงกับใส่ยาให้หม่อมฉันด้วยตนเอง ยามนั้นไฉนเสด็จอาไม่ตรัสเช่นนี้บ้างเล่า?”
เซียวเยี่ยนรู้ดีเช่นกันว่าไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไร คืนนี้หลินชิงเวยไม่มีทางยอมกลับไปอย่างเชื่อฟัง ดังนั้นจึงไม่พูดอะไรอีก
มาถึงตำหนักอวี้หลิง เซียวเยี่ยนผลักประตูตำหนักบรรทมของเขาแล้วเดินนำเข้าไปก่อน
แสงจากโคมไฟผ้าโปร่งส่องให้ภายในห้องมีสีเหลืองนวล หลินชิงเวยยืนมองอยู่หน้าประตู ภายในห้องสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบยิ่ง นอกจากสิ่งของจำเป็นที่ควรมีในห้องนอนเช่น โต๊ะไม้ เก้าอี้ และฉากกันลม ก็มีเตียงนอนหลังหนึ่ง สิ่งของอย่างอื่นล้วนไม่มีทั้งสิ้น ห้องนี้มีขนาดใหญ่มาก ด้านข้างยังมีห้องข้างอีกห้องหนึ่ง ภายในห้องข้างมีโต๊ะหนังสือตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง บนโต๊ะหนังสือมีพู่กัน หมึก กระดาษ และถาดหมึกพร้อมพรัก ยังมีชั้นวางหนังสืออีกตัวหนึ่งมีหนังสือวางอยู่บนชั้นหนังสือเล็กน้อย
แน่นอนว่านอกจากสิ่งเหล่านี้แล้วยังมีห้องอาบน้ำ ห้องอาบน้ำมีผ้าม่านบดบังเอาไว้ มองไม่เห็นสภาพด้านใน
นี่เป็นห้องของเซ่อเจิ้งอ๋อง
หลินชิงเวยมาที่นี่เป็นครั้งแรก เขาดูเป็นคนรักความสะอาดอย่างยิ่ง บรรยากาศภายในห้องดูเหมือนเป็นกลิ่นอายจางๆ จากร่างของเขา
องครักษ์ผู้ติดตามไปนำล่วมยาของหลินชิงเวยมาอย่างรวดเร็ว หลินชิงเวยให้เขาไปยกน้ำร้อนมาถาดหนึ่ง องครักษ์ผู้ติดตามจึงตรงไปยังห้องอาบน้ำตักน้ำร้อนที่มีไอควันสีขาวพวยพุ่งออกมา
เซียวเยี่ยนนั่งอยู่ริมเตียง แขนของเขาตกอยู่ด้านนอกหัวเข่า แผ่นหลังโค้งลงมาเล็กน้อย ทั้งเนื้อทั้งตัวมีสภาพเหมือนคนป่วยที่อ่อนแออยู่หลายส่วน ดูไปแล้วเหมือน…สุนัขบาดเจ็บตัวใหญ่ตัวหนึ่ง
หลินชิงเวยเพิ่งพบในยามนี้ว่าเขาไม่เพียงได้รับบาดเจ็บที่มือเท่านั้น กระทั่งแผ่นหลังก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน อาภรณ์สีม่วงเข้มนั้นเต็มไปด้วยคราบเลือดที่เริ่มแข็งตัวบางส่วน
หลินชิงเวยหยิบกรรไกรขึ้นมาตัดอาภรณ์ของเซียวเยี่ยน แม้เลือดจะทำให้บาดแผลและเนื้อผ้าแนบติดเป็นเนื้อเดียวกัน แต่หลินชิงเวยยังคงแยกมันออกจากกัน กระทั่งการบอกกล่าวล่วงหน้าก็ไม่มี นางฉีกเนื้อผ้านั้นออกอย่างรุนแรง บาดแผลจึงถูกทำให้ปริแตกออกโลหิตสดๆ ไหลซึมออกมาอีกครั้ง
องครักษ์ผู้ติดตามที่ยืนดูอยู่ด้านข้างมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เขาเอ่ยขึ้นว่า “เจาอี๋เหนียงเหนียงเบามือสักหน่อยได้หรือไม่?”
หลินชิงเวยกล่าวทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นว่า “เจ้าช่วยอะไรสักอย่างได้หรือไม่?”
“เชิญเจาอี๋เหนียงเหนียงรับสั่ง” ขอเพียงเป็นเรื่องที่ส่งผลดีต่อเจ้านายของเขา ต่อให้ต้องตายหมื่นครั้งเขาก็ยินดี
“หุบปาก ออกไป”
ดีชั่วอย่างไรเซียวเยี่ยนก็เป็นถึงเซ่อเจิ้งอ๋องแห่งราชวงศ์ เมื่อสักครู่ตกอยู่ในอันตรายถึงเพียงนั้น เขาใช้ฝ่ามือต้านรับดาบก็ยังมิเกรงกลัว จะเกรงกลัวความเจ็บปวดเพียงแค่นี้?
เพียงแต่องครักษ์ผู้ติดตามยืนอยู่ข้างหลังหลินชิงเวย สายตาจ้องจับผิดนางอย่างไรอย่างนั้น ดูเหมือนหากนางทำอะไรไม่ถูกต้องก็จะจับตัวนางโยนออกไปข้างนอกทันที หลายครั้งที่หลินชิงเวยหยิบสิ่งของในล่วมยา ข้อศอกของนางจะสัมผัสกับร่างขององครักษ์ผู้ติดตามเสมอ ช่างขวางมือขวางเท้ายิ่งนัก
ดังนั้นองครักษ์ผู้ติดตามจึงได้แต่ไสหัวออกไปอย่างเงียบๆ ในที่สุด หลินชิงเวยยังไม่ลืมที่จะกำชับเขาอีกประโยคหนึ่งว่า “ช่วยปิดประตูด้วย”
องครักษ์ผู้ติดตามปิดประตูด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
น้ำเสียงที่หลินชิงเวยเอ่ยกับเซียวเยี่ยนนั้นอ่อนโยนลงมากอย่างชัดเจน “ท่านนอนคว่ำ”
หลังจากเซียวเยี่ยนนอนคว่ำลงบนเตียง เขาจึงเปลือยร่างกายท่อนบน บาดแผลบริเวณหัวไหล่นั้นเปิดออกเห็นเนื้อ ทิ่มแทงสายตายิ่งนัก ราวกับเห็นกระดูกสีขาวลึกๆ
นางขมวดคิ้วทั้งคู่เห็นเซียวเยี่ยนไม่ส่งเสียงร้องสักแอะจึงอดโมโหโกรธาอย่างปราศจากเหตุผลไม่ได้ “ท่านไม่ใช่คนเหล็กเสียหน่อย ไม่รู้จักเจ็บปวดหรือไร?”
ผ่านไปครู่หนึ่งเซียวเยี่ยนจึงตอบนางเรียบๆ “เคยชินแล้วก็ดีเอง”
เคยชินแล้วก็ดีเอง
เขามักจะได้รับบาดเจ็บเช่นนี้?
หลินชิงเวยไม่ต้องคิดก็รู้ว่าย่อมต้องเป็นเช่นนั้นแน่ สายตาของนางจับจ้องอยู่บนแผ่นหลังงดงาม เส้นสายของกล้ามเนื้อทุกส่วนล้วนดูแล้วเป็นมัดๆ แต่ต่อให้แข็งแกร่งกว่านี้อย่างไรก็มิใช่กำแพงโลหะกระดูกเหล็ก ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาบนแผ่นหลังของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นมากมาย
แผลลึกแผลตื้นไม่รู้ว่าได้รับบาดเจ็บมากี่ครั้ง
หลินชิงเวยเก็บงำอารมณ์แล้วใช้ผ้าขนหนูที่ซับน้ำแล้วช่วยเขาเช็ดตัวทำความสะอาดคราบเลือดบนร่างกาย จากนั้นใช้น้ำยาล้างแผลที่ทำมาโดยเฉพาะในล่วมยาทำความสะอาดบาดแผลให้เขา
ความเจ็บปวดที่น้ำยาล้างแผลกัดผิวและเนื้อนั้นนางกระจ่างแจ้งดี ก็เหมือนกับการใช้แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้ออย่างไรอย่างนั้น ทั้งถูกกระตุ้นให้เจ็บปวดแสบร้อนทว่าเซียวเยี่ยนกลับกัดฟันแน่นไม่ส่งเสียงร้องสักครั้งเดียว