ตอนที่ 370 ชีวิตนี้ผ่านความหนาวเหน็บมาแล้วกี่ครา
บทประพันธ์ทั้งห้าของฟู่เสี่ยวกวนเมื่อวันที่สองนั้นได้ถูกส่งมายังวังหลวงภายในค่ำของวันนั้นเอง
เมื่อจักรพรรดิเหวินได้ทรงทอดพระเนตรเห็นทั้งห้าบทความ พระองค์ก็ได้เสด็จไปพักผ่อนพระวรกายที่กวนหยุนถาย โดยมีหนานกงอี้หยู่ติดตามไปด้วย
การประชุมประจำราชวงศ์เมื่อวานนั้น เหตุเพราะมีการปรากฏตัวกะทันหันของไทเฮา ทำให้ได้ข้อสรุปเรื่องการยอมรับฟู่เสี่ยวกวนเป็นสายเลือดของราชวงศ์
จากนี้สืบไปหนทางแห่งวันข้างหน้าคงจะราบรื่นพอสมควร หากจะกล่าวไป ณ วินาทีนั้นจักรพรรดิเหวินรู้สึกซาบซึ้งพระทัยต่อจักรพรรดินีเซียวเป็นอย่างมาก หากจักรพรรดินีเซียวมิได้เสนอมีข้อโต้แย้งในวันนั้น แม้ว่าไทเฮาจะทรงเห็นด้วยกับการรับขวัญฟู่เสี่ยวกวนคืนสู่ราชวงศ์ ทว่าหากให้เข้าไปกุมอำนาจในพระราชตำหนักบูรพานั้น พระนางย่อมมิเห็นด้วยอย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่จักรพรรดิเหวินมิได้ล่วงรู้ก็คือ ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นเพราะบทสนทนาระหว่างไทเฮาและฟู่เสี่ยวกวนที่เรือนประทับหยุนชิง
ไทเฮานั้นทรงได้ทอดพระเนตรเห็นโคลงสัมผัสทั้งสองของฟู่เสี่ยวกวนด้วยพระองค์เอง และทรงรับรู้ถึงความสามารถของฟู่เสี่ยวกวนอย่างถ่องแท้ แม้ว่าการสนทนาครานั้นของทั้งสองจะเกิดขึ้นอย่างสบาย ๆ แต่ก็ทำให้พระองค์ทรงเข้าใจว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นคนเยี่ยงไร
ชายหนุ่มผู้นี้แม้จะมีพรสวรรค์ แต่กลับไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน
จงมองโลกตามสัจธรรมความเป็นจริง มิละโมบในชื่อเสียงและเงินตรา เช่นนี้ก็จะมีความสุข ความสุขที่แท้จริงเกิดขึ้นจากใจของเราเอง
เขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ ?
นี่เป็นศีลธรรมอันสูงส่ง หากวันหนึ่งฟู่เสี่ยวกวนได้มีอำนาจควบคุมพระราชตำหนักบูรพา อีกทั้งการปกครองของราชวงศ์อู๋สืบต่อไปในภายภาคหน้าก็คงเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม อนาคตของราชวงศ์จะต้องงดงามเป็นแน่ !
และนี้เป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ไทเฮาทรงเสด็จออกจากวัดหานหลิงแล้วกลับพระราชวังอย่างกะทันหัน
โอรสนอกสมรสเยี่ยงนั้นหรือ ?
แล้วสำคัญอันใดกันเล่า ?
จักรพรรดิเหวินนั้นทรงโสมนัสยิ่ง ทว่ากลับกันองค์หญิงไท่ผิงนั้นดวงใจได้แหลกสลายเป็นเสี่ยง ๆ เพราะคำเอ่ยของพระอัยยิกา…หลิงเอ๋อร์ เขาเป็นพระเชษฐาของเจ้า พระเชษฐาสายเลือดเดียวกันกับเจ้า !
คนที่มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกัน ท้ายที่สุดกลับกลายเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกัน !
โชคชะตากำลังเล่นตลกกันอยู่ชัด ๆ !
โชคชะตามิเพียงแค่เล่นตลกกับอู๋หลิง แต่ยังเล่นตลกกับผู้ที่เคยได้นามว่าจักรพรรดินีเซียวอีกด้วย
……
เมื่อสุริยาขึ้นตระหง่านทางทิศตะวันออก ทะเลหมอกแห่งเมืองกวนหยุนก็ยังมิได้สลายตัวไป
อู๋หลิงนำสาวใช้ไปซื้ออาหารเช้าที่ซิ่งหลินจี้มาสารพัดอย่าง จากนั้นจึงกลับไปยังพระราชวัง แล้วนำอาหารเช้าเหล่านั้นไปส่งยังวังเย็น
เซียวเฉียงขณะนี้กำลังถูกศาลต้าหลี่สืบสวน เมื่อนางได้ยินว่าตำแหน่งองค์รัชทายาทของอู๋กานได้ถูกถอดถอน นางก็แทบจะล้มทั้งยืน
การสืบสวนนั้นผ่านไปอย่างราบรื่น นางให้ความร่วมมือในการตอบคำถามเป็นอย่างดี มองดูแล้วราวกับนางกำลังตรอมใจ
นางยังคงพำนักอยู่ในวังเย็น แต่มิมีผู้ใดมาเยี่ยมเยือนนางอีกเลย จะมีก็เพียงแค่เพียงอู๋หลิงผู้เดียวเท่านั้น
เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่เคยรับใช้นางก็หนีหายไปจนหมด บัดนี้คาดว่าคงจะหนีไปล้างมลทินที่เกิดขึ้นเพราะเคยรับใช้นางเสียแล้ว !
เมื่ออู๋หลิงเดินทางมาถึงวังเย็น และขณะที่กำลังเปิดประตูวังที่เก่าคร่ำครึเข้าไปนั้นเอง คนที่นางได้มองเห็นนั้นมิใช่ภาพของมารดาผู้ซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือความฝันในหอแดงอย่างสง่างามอยู่บนโต๊ะทรงพระอักษรอีกเช่นเคย
บัดนี้เซียวเฉียงได้ยืนอยู่หน้าบานหน้าต่าง บานหน้าต่างนั้นมีขนาดเล็ก อีกทั้งยังเปิดมิได้อีกต่างหาก
นางทอดสายตามองทะลุบานหน้าต่างนั้นไป ภายนอกนั้นมีเมฆหมอกปกคลุมหนาทึบ เมฆหมอกขาวปุกปุยทุกสรรพสิ่งล้วนมองเห็นได้อย่างคลุมเครือ
“เสด็จแม่ ลูกนำเครื่องเสวยมาให้แล้วเพคะ”
“หลิงเอ๋อร์ ลูกจงบอกแม่มาว่าอีกนานเพียงใดพระเชษฐาของลูกจะถูกส่งไปยังเขตปกครองฉางหนิง ? ”
“…อีกห้าวันเพคะเสด็จแม่”
“ไกลยิ่งนัก…เขตปกครองฉางหนิงจะหนาวเย็นยะเยือกหรือไม่ ? พระเชษฐาของลูกมิเคยประสบกับความลำบากมาก่อน หากเขาไปแล้วจะปรับตัวได้หรือไม่ ? ถ้าหากทรงประชวรก็ไร้หมอหลวงคอยอยู่รักษา เขาจะทำเยี่ยงไร ? ”
อู๋หลิงมองดูแผ่นหลังของผู้เป็นมารดาด้วยความตกตะลึง ความหดหู่ภายในใจก็ได้เพิ่มทวีคูณยิ่งขึ้นไปอีก ในเมื่อท่านรักพระเชษฐามากมายถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงได้โหดร้ายกับฟู่เสี่ยวกวนถึงเพียงนั้นล่ะเพคะ ?
“เสด็จพี่ใกล้ 15 พรรษาเต็มทีแล้ว คนที่ติดตามเสด็จพี่ไปยังมีเหล่าบริวารอาวุโส จากพระราชตำหนักตงกง ขอเสด็จแม่อย่าได้เป็นกังวลไปเลยเพคะ เครื่องเสวยเหล่านี้ใกล้เย็นเต็มทีแล้ว เสด็จแม่ทรงเสวยสักนิดเถิดเพคะ”
เซียวเฉียงได้ถอนสายตาจากหมู่เมฆเหล่านั้นกลับมา ใบหน้าของนางดูซีดเซียว มิได้แจ่มใสเฉกเช่นวันวาน
“โดนฝ่าบาทผลักไสไล่ส่งออกจากพระราชตำหนักตงกงเยี่ยงนี้ แม่มิอาจเอาชนะสตรีที่ตายไปแล้วคนนั้นได้อย่างแท้จริง และมิอาจเอาชนะบุตรชายของนางได้อีกเช่นกัน”
เซียวเฉียงเผยรอยยิ้มแสนเย้ยหยันให้กับโชคชะตาของตน “หลิงเอ๋อร์ ลูกคิดว่าชีวิตแม่ล้มเหลวหรือไม่ ? ”
อู๋หลิงมองไปยังเซียวเฉียงแล้วกล่าวอย่างตั้งใจ “ความผิดของท่านแม่คือท่านฉลาดเกินไปเพคะ”
“ฟู่เสี่ยวกวนนั้นหาได้ปรารถนาที่จะแย่งอภิสิทธิ์และสมบัติไม่ ท่านแม่เองก็เคยอ่านความฝันในหอแดง เคยอ่านวรรณกรรมต่าง ๆ ที่ถูกประพันธ์ขึ้นมาโดยเขา หรือเมื่อมินานมานี้นี่เองท่านก็ได้เห็นบทประพันธ์ไร้ซึ่งความปรารถนา บทประพันธ์ทั้งหลายล้วนมาจากความรู้สึกใต้จิตสำนึกของเขา การอ่านงานประพันธ์ของเขามากมายถึงเพียงนี้ มิทำให้ท่านแม่หยั่งรู้เลยหรือว่าแท้จริงนั้นเขาเป็นคนเยี่ยงไร ? ”
เซียวเฉียงตกใจจนสติแทบหลุด แล้วเขาเป็นคนเยี่ยงไรหรือ ?
หากข้ามิกระทำความผิดนั้นไป ฝ่าบาทจะใช้โอกาสในการจัดงานชุมนุมวรรณกรรมครานี้เพื่อเจอเขาเยี่ยงนั้นหรือ ?
หรือต่อให้เจอเขาแล้วจริง ๆ ฝ่าบาทจะทรงอธิบายถึงสถานะที่แท้จริงให้ฟู่เสี่ยวกวนได้รับทราบหรือไม่ ?
หรือต่อให้บอก แล้วฝ่าบาทจะทรงอัญเชิญฟู่เสี่ยวกวนมารับตำแหน่งในพระราชตำหนักบูรพาหรือไม่ ?
บันทึกสามปีนั้นที่ไทเฮาได้เก็บซ่อนมานานถึง 16 ปีโดยมิทรงเอ่ยถึง หากข้ามิไปสืบสาวเรื่องราวเกี่ยวกับฟู่เสี่ยวกวน พระองค์จะมิเอ่ยถึงบันทึกนั้นอีกทั้งชีวิตใช่หรือไม่ ?
นี่มันเคราะห์ซ้ำกรรมซัด !
ไม่…เป็นเพราะตัวข้าฉลาดเสียจนทำให้ตนเองต้องตกที่นั่งลำบาก !
นางค่อย ๆ หลับตาลงแล้วภาพที่ฟู่เสี่ยวกวนได้เอ่ยกับเขียนในหนังสือนั้นก็ปรากฏขึ้นมาในหัว “คิดวางแผนอย่างชาญฉลาด สุดท้ายก็เป็นพิษภัยให้แก่ตนเอง”
“วันนี้งานแข่งขันกวีเริ่มขึ้นแล้วหรือยัง ? ” อยู่ ๆ นางก็โพล่งถามออกมา
อู่หลิงผงะ “วันนี้เป็นการแข่งขันวันสุดท้ายแล้วเพคะ”
“อ่า…เวลาผ่านไปเร็วยิ่งนัก ฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นประพันธ์สิ่งใดวิจิตรบรรจงออกมาบ้าง ไหนให้แม่ดูหน่อยสิ”
อู๋หลิงเดินเข้าไปยังโต๊ะทรงพระอักษร จากนั้นก็ยกพู่กันขึ้นมาเขียน แล้วค่อย ๆ เอ่ยช้า ๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำ “ตุ้ยเหลียนวันแรกนั้นหม่อมฉันขอมิสาธยายมาก ส่วนเมื่อวานนั้นเขาประพันธ์ออกมาอีก 5 บทกวีเพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้น หม่อมฉันได้เขียนออกมาแล้ว เสด็จแม่ทรงทอดพระเนตรสิเพคะ”
เซียวเฉียงเบิกตาแล้วมองไปบนโต๊ะหนังสือ
อู่หลิงได้บรรจงเขียนบทกวีบทที่หนึ่งลงไป ‘จันทราแห่งซีเจียง ดั่งความฝัน’
“ใด ๆ ในโลกล้วนดั่งฝันจินตนาการ ชีวิตตนจำต้องผ่านความหนาวเหน็บสักเท่าใด
ดึกดื่นลมพัดพา เสียงใบไม้พลิ้วสั่นไหว
มองตน ความกลัดกลุ้มกัดกินใจ เส้นผมแปรเปลี่ยนเป็นสีขาว
กลัดกลุ้มเพราะสุราขายมิดี แสงราตรีสุกใสกลับโดนเมฆบดบัง
คืนวันไหว้พระจันทร์ ข้าจะฉลองกับใครหนอ
ทำได้เพียงเศร้าหมองถือจอกเหล้าเเหงนหน้าไปทางเหนือ
เซียวเฉียงมองถ้อยคำเหล่านี้ด้วยความตกตะลึง และรู้สึกหดหู่มากยิ่งนักภายในจิตใจ
นางรู้สึกราวกับว่าบทประพันธ์ของฟู่เสี่ยวกวนบทนี้นั้นเจาะจงไปที่ตัวนาง มิเช่นนั้นตัวเขาที่เพิ่งอายุได้เพียง 17 ปี จะมีผมหงอกได้เยี่ยงไร ?
จริงเสียที่ว่าใด ๆ ในโลกล้วนดั่งฝันจินตนาการ ชีวิตตนจำต้องผ่านความหนาวเหน็บสักเท่าใด…
“เขาประพันธ์ถ้อยคำเช่นนี้ออกมา เป็นเพราะว่าเขาอยากกลับไปผืนแผ่นดินราชวงศ์หยูเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
อู๋หลิงมิได้เขียนต่อไป นางได้จ้องมองถ้อยคำเหล่านั้นเช่นกัน “ทำได้เพียงเศร้าหมองถือจอกเหล้าเเหงนหน้าไปทางเหนือ คงเป็นดั่งที่เสด็จแม่คาดการณ์ สำหรับราชวงศ์อู๋นั้น เขาคงเป็นดั่งคนนอก เขาเกิดและเติบโตที่แคว้นหยู เขามาอยู่ที่เมืองกวนหยุนเพียงแค่ระยะเวลาอันสั้นแต่กลับประสบเรื่องราวเสียมากมาย ความรู้สึกคงเป็นดั่งท่อนที่ว่าใด ๆ ในโลกล้วนดั่งฝันจินตนาการ ชีวิตตนจำต้องผ่านความหนาวเหน็บสักเท่าใด”
“คืนวันไหว้พระจันทร์ ข้าจะฉลองกับใครหนอ…คงเป็นเพราะคิดถึงมิตรสหายที่เมืองจินหลิง แล้วทำได้เพียงเศร้าหมองถือจอกเหล้าเเหงนหน้าไปทางเหนือ นั่นคงทำให้จิตใจของเขาคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอน ด้วยเหตุนี้ลูกจึงได้บอกว่าเสด็จแม่ทรงมิเข้าใจว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นเยี่ยงไร”
“ท่านแม่ลองดูอีกบทที่เขาประพันธ์สิเพคะ ‘ยุติความวุ่นวาย จงละเลยเสียงฝนกระทบใบไม้ในพงไพร’ ”
อู๋หลิงยกพู่กันขึ้นมาอีกครา แล้วตวัดปลายพู่กันลงบนผืนกระดาษ
“และนี้คือความนิ่งเฉยต่อทุกสรรพสิ่งของเขา กล่าวได้ว่านี่เป็นทัศนคติที่เขามีต่อการใช้ชีวิต ซึ่งทำให้เขาแตกต่างมิเหมือนผู้ใด ! ”
เซียวเฉียงนั้นแสร้งทำเหมือนมิได้ยิน นางมองดูบทประพันธ์บทนี้ แล้วพึมพำวรรคสุดท้ายของบทประพันธ์ไว้ในปาก “หากไร้หยาดฝน ก็ย่อมย่อมไร้แสงสุริยา ! ”
นี่มันต้องใจกว้างถึงเพียงใด !
แต่เมื่อย้อนกลับมามองสิ่งที่ตนเป็น กลับเปรียบได้กับประโยคนี้ ‘ดั่งฝูงวิหคแย่งชิงอาหารประทังชีพ เมื่อกินเสร็จเหลือทิ้งไว้เพียงแค่พื้นเปลือยเปล่าสะอาดตา ! ’
นางแหงนหน้าขึ้นมามองอู๋หลิง “ลูกชอบฟู่เสี่ยวกวนจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
อู๋หลิงผงะแล้วหน้าถอดสีในทันที “เขาเป็นพระเชษฐาสายเลือดเดียวกับลูก”
“หลังจากที่มาพบแม่ ลูกจงไปพบกับจัวเปี๋ยหลีเสียหน่อย ! ”