เล่มที่ 4 บทที่ 3 ต่างกันเกินไป
การปรากฏตัวของหยางอี้กลายเป็นจุดดึงดูดสายตาของทุกคนทันที นอกจากกลุ่มผู้นำของการทดสอบแล้วผู้ชมเองก็เช่นกัน ชายหนุ่มผู้นี้เป็นใครกัน เหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่หน้าประตูกลได้
หากกล่าวถึงนามของหยางอี้นั้นย่อมดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งสำนักตั้งแต่ยังไม่เข้าร่วมกับวิหารสวรรค์นานแล้ว ทว่าเมื่อเป็นรูปลักษณ์ของชายหนุ่มนั้นมีเพียงไม่กี่คนที่เคยเห็น หากกล่าวให้ถูกต้องคงจะเป็นเพียงคนที่ได้เข้าไปดูการประชันโอสถเท่านั้น
“นั่นมันหยางอี้? ทำไมถึงมาที่นี่ได้?”
“แน่นอนว่าเป็นเขา แต่หยางอี้เพิ่งเข้าร่วมสำนักได้ไม่กี่เดือนเองนี่ แล้วทำไมถึงมาเข้าร่วมการคัดเลือกได้ ชุดที่ใส่ก็เป็นฝ่ายนอกชัดๆ”
บางคนที่จำหยางอี้ได้เริ่มพูดคุยกัน และในเวลาต่อมาไม่นานเรื่องของหยางอี้และวีรกรรมก็แพร่ไปทั่วทั้งยอดเขาบรรพชน แม้จะเป็นอย่างนั้นแต่ทุกคนก็ยังคงสงสัยในจุดเดียวกันก็คือ หยางอี้มายืนตรงนี้ได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของเจ้าเด็กนี่ไม่อาจเทียบเท่าพวกศิษย์หลักได้เลย อีกทั้งเขาเป็นศิษย์สายนอก ทำไมทางสำนักจึงยินยอมให้เข้าร่วมการคัดเลือก
หยางอี้นั้นมิได้ใส่ใจเสียงพูดคุยด้านหน้าและคำด่าทอจากด้านหลังเลย ชายหนุ่มเดินอย่างช้าๆออกจากประตูกลเข้าสู่พื้นที่ยอดเขาทันที ไม่นานก็เป็นข่งยี่จางปรากฏตัวขึ้นทำให้เสียงพูดคุยเงียบลง จากนั้นทั้งสองพูดคุยกันเล็กน้อยก็มุ่งหน้าเข้าสู่ตำหนักบรรพชน
ขณะที่หยางอี้จากไปมุมหนึ่งของที่นั่งผู้ชมชายผู้หล่อเหลานามเหลียงซานก็จ้องมองหยางอี้ด้วยสายตาเย็นเฉียบก่อนจะแสยะยิ้มออกมาหันไปหาลูกสมุนข้างกาย
“จงไปแจ้งผู้อาวุโสให้ทำตามแผน แล้วบอกกับหลี่ฮงด้วยอย่าให้มันถึงตายเด็ดขาด เพราะข้าจะต้องใช้มันจัดการกับนังแพศยานั่น ฮ่าๆ”
ด้านในตำหนักบรรพชน หยางอี้พูดคุยเรื่องต่างๆกับเจ้าสำนักอีกเล็กน้อยก่อนจะแจ้งความจำนงขอแลกแต้มกับศาตราวุธระดับต่ำจำนวน 4 อย่าง แม้ว่าข่งโหลวหลินต้องการให้ฟรีๆแต่หยางอี้ก็ปฎิเสธไป เพราะบิดาผู้นี้ร่ำรวยอย่างมาก การค้าขายของหยางอี้ทำให้ชายหนุ่มมีแต้มอยู่หลายแสนในตอนนี้ ทั้งยังจัดการให้แลกแต้มที่เหลือทั้งหมดเป็นเงินอีกด้วย
เป็นข่งยี่จางอีกครั้งผู้อาวุโสใหญ่แห่งตุลาการที่ทำหน้าที่เป็นเบ้รับใช้นายน้อยของเขา อาวุธที่หยางอี้ต้องการคือ ดาบ กระบี่ ธนู และหมุด ทั้งหมดเพื่อใช้ในการฝึกฝนสิบบุปผาผันแปร หยางอี้เลือกจะฝึกฝนให้ชำนาญก่อน 5 อย่างแรกรวมกับหอก อีกอย่างอาวุธพวกนี้ก็นำมาใช้ต่อสู้แทนหมื่นสวรรค์อีกด้วย
ด้านนอกตอนนี้เริ่มมีคนทยอยออกจากประตูกลแล้ว ยังคงขาดอีกเพียงเล็กน้อยจะครบ 32 อันดับแรก การต่อสู้ของกลุ่มหลังเป็นไปอย่างดุเดือดเลือดพล่าน เสียงเชียร์ของผู้ชมดังสนั่นก้องไปทั้งยอดเขา ด้วยการมีตำแหน่งสุดท้ายเป็นเดิมพันต่างคนต่างต่อสู้กันไม่คิดชีวิตและสุดท้ายบุรุษในสภาพกระเซอะกระเซิงผู้เหลือรอดก็ออกจากประตูกลเป็นคนสุดท้าย
เมื่อการคัดเลือกรอบแรกจบลง จากสภาพของแต่ละคนนอกจากหยางอี้ ทางสำนักจึงตัดสินใจเลื่อนเวลาออกไปอีก 1 ชั่วยามเพื่อให้แต่ละคนฟื้นตัวเตรียมพร้อมในการประลอง เพราะสภาพของอันดับที่ 21 ถึง 32 นี่ไม่ต่างกับผู้ที่เหลือรอดกลับมาจากสงคราม ด้วยฝีมือที่ใกล้เคียงกันของกลุ่มหลังและแรงกดดันทำให้การตู้สู้เต็มไปด้วยความยากลำบากและรุนแรงเพื่อดิ้นรนออกจากประตูกล
ในช่วงที่ทุกคนกำลังพักฟื้นกันอยู่นั้นภายในตำหนักบรรพชนหยางอี้กลับเต็มไปด้วยความปวดหัว ครั้งนี้กลุ่มของเจินเซียงนั้นมิได้เข้าร่วมด้วยแต่ก็มาดูเช่นกัน เมื่อเห็นหยางอี้ออกประตูเป็นอันดับแรก จึงทำให้พวกเขาแปลกใจและรีบเข้ามาหาชายหนุ่มทันที ถึงแม้ศิษย์ทุกคนจะถูกสั่งห้ามมิให้เข้าสู่ตำหนักบรรพชนทว่าเมื่อเป็นสหายของหยางอี้กลับได้รับการต้อนรับจากผู้อาวุโสอย่างดี
ในห้องโถงหยางอี้นั่งอยู่ด้วยความน่าสงสารพร้อมกับจ้องมองไปยังพวกเจินเซียงด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ ทว่าบุรุษกลุ่มนั้นกลับทำได้เพียงยิ้มเจื่อนส่ายหัวกลับมา เพราะข้างกายหยางอี้นั้นล้อมรอบไปด้วยสาวงาม 3 คน ที่แต่ละคนมีนิสัยแปลกประหลาดอย่างแท้จริง เพ่ยเพ่ยนั้นดุดันแข็งกระด้างรอบกายเต็มไปด้วยออร่าที่รุนแรง เสี่ยวปิงนั้นเต็มไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแต่มาพร้อมกับคำพูดที่เจ็บลึกบาดใจกับออร่าน่าสยอง ทิ้งสองคนนี้ยังดีเพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก แต่สิ่งที่หยางอี้ไม่เข้าใจคือแม่สาวมืดมนหน้านิ่งอี้เสวี่ยชิงทำไมถึงได้มาเข้าร่วมสงครามกับสองสาวนี่ด้วย
ท่ามกลางความอึดอัด หยางอี้จึงกล่าวออกมาว่าต้องการเตรียมพร้อมก่อนการต่อสู้แล้วรีบเคลื่อนกายด้วยความเร็วสูงสุดออกจากตำหนักไปทันทีโดยไม่รอฟังความเห็นของใคร เมื่อเห็นว่าตัวการชิ่งไปแล้วมีหรือพวกเจินเซียงกล้ารั้งอยู่ ไม่กี่อึดใจภายในห้องโถงก็เหลือเพียงหญิงสาวโฉมสะคราญสามคนนั่งจ้องกันไปมา
“เจ้าเป็นใคร? เจ้าชอบท่านพี่?”
เสี่ยวปิงถามออกมาเสียงเย็น อี้เสวี่ยชิงขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะกล่าวออกมาอย่างเนิบนาบเช่นกัน
“ข้าชื่อ อี้เสวี่ยชิง ส่วนข้าจะชอบใครนั้นมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า อีกอย่างพวกเจ้าทั้งสองมิใช่น้องสาวของเขาอย่างนั้นหรือ?”
“ฮึ่ม! แน่นอนเขาคือท่านพี่ของพวกข้า แต่ท่านพี่สัญญาไว้แล้วว่าจะแต่งงานกับข้าเมื่อข้าแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นข้าจะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงคนอื่นเข้ามาเกาะแกะเด็ดขาด”
“เพ่ยเพ่ย ข้าไม่เห็นจำได้ว่าท่านพี่จะแต่งงานกับเจ้า!”
หลังจากเพ่ยเพ่ยกล่าวออกมาเสี่ยวปิงก็รีบขัดทันที อี้เสวี่ยชิงกลายเป็นมึนงงกับความคิดของทั้งคู่ก่อนจะส่ายหัวแล้วกล่าวออกมา
“พวกเจ้าท่าทางจะประสาท ข้าไปดีกว่า ส่วนเรื่องส่วนตัวของหยางอี้ข้าคิดว่าพวกเจ้าไม่มีสิทธิ์มาตัดสินใจแทนเขาหรอกนะ”
เสี่ยวปิงได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเย็นออกมา มองไปยังอี้เสวี่ยชิงที่กำลังเดินออกจากห้องโถงไป ก่อนที่จะหันมาถามเพ่ยเพ่ย
“เพ่ยเพ่ยเจ้าคิดว่ายังไง”
“ไม่รู้สิ ยังไงก็ต้องดูกันไปก่อน ข้าจะไม่ยอมให้พวกคิดไม่ซื่อมาเกาะท่านพี่แน่นอน”
หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกจากห้องโถงเพื่อไปรอชมการต่อสู้เช่นกัน ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้พวกนางได้ตัดสินใจเป็นพันธมิตรกันเรียบร้อยแล้ว อีกอย่างทั้งสองรู้ดีว่าบุรุษผู้แข็งแกร่งเช่นหยางอี้ไม่จำเป็นต้องมาหยุดอยู่ที่พวกนาง อีกอย่างหยางอี้ยังมีหวังจืออีกคน พวกนางไม่คิดก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของหยางอี้มากนักแต่ถ้าสตรีคนไหนต้องการเข้าฮาเร็มของหยางอี้ พวกนางก็ต้องตรวจสอบให้ดีเสียก่อน
เวลาหนึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ผู้ผ่านการทดสอบแรกทั้ง 32 คนได้มารวมตัวกันที่หน้าลานประลองใหญ่เรียบร้อยแล้ว ด้านข้าง 4 ทิศเต็มไปด้วยผู้ชมมากมายที่ส่งเสียงโห่ร้องกันกระหน่ำ โดยด้านทิศเหนือเป็นที่นั่งของผู้อาวุโสและเจ้าสำนัก
หยางอี้ยืนอยู่หัวแถวซึ่งบ่งบอกว่าเป็นอันดับหนึ่งอย่างเฉื่อยชา การคัดเลือกนี้ตัวเขามิได้สนใจสักนิด เรื่องเดียวที่หยางอี้ต้องการคือการเดินทางไปยังจักรวรรดิมังกรสวรรค์ที่อยู่ติดกับจักรวรรดินภาสวรรค์อันเป็นที่ตั้งของหุบเขาอสรพิษสวรรค์ เพื่อรับสืบทอดทักษะย่างก้าวมายาสวรรค์ ขั้นสุดท้าย แต่ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อไว้หน้าเจ้าสำนักและสร้างชื่อให้กับจักรวรรดิเมฆาหวนด้วยเช่นกัน
หยางอี้นั้นไม่ต้องการนำปัญหามาสู่ตัวเองทว่าการเจอกับคู่ต่อสู้ระดับสูงอันแข็งแกร่งของจักรวรรดิอื่นๆก็เป็นโอกาศดีในการฝึกฝนเช่นกัน ดังนั้นการเข้าร่วมการประลองนับว่ามิได้เสียหายอันใดมีแต่ได้กับได้
การจัดคู่ประลองนั้นเป็นไปตามประกาศของผู้อาวุโส เมื่อประกาศกฎการประลองแล้วหยางอี้ก็เดินไปยังข้างเวทีทันทีโดยมิได้สนใจสายตาของคนอื่นๆแม้แต่น้อย ในทั้ง 32 คนนั้นต่างไม่มีผู้ใดยอมรับชายหนุ่ม แน่นอนว่าเป็นเพราะหยางอี้คือศิษย์สายนอก และเมื่อรับรู้ถึงเบื้องหลังของชายหนุ่มจึงทำให้ผู้คนต่างคิดกันว่าเป็นเพราะอาศัยเส้นสายจากผู้อาวุโสใหญ่จึงทำให้ได้เข้าร่วมการประลองเช่นนี้ ทุกคนจึงมองหยางอี้ด้วยความรังเกียจ
เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมการประลองรอบแรกก็เริ่มขึ้นในทันที หยางอี้ประหลาดใจเล็กน้อยที่ได้ประลองเป็นคู่แรก ชายหนุ่มก้าวขึ้นเวทีอย่างเชื่องช้าขณะที่อีกฝ่ายทะยานขึ้นมาด้วยความสง่างามพร้อมกับเสียงตะโกนเชียร์ดังสนั่น แต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มทอดถอนใจคือเสียงก่นด่าของฝูงชนที่มีตัวเขาเป็นเป้าหมาย ถ้อยคำด่าทอต่างๆนาๆ ดังขึ้นโดยศิษย์ชายหลายคนอย่างพร้อมเพรียง
ด้านหน้าของหยางอี้คือชายหนุ่มร่างบึกบึนใบหน้าสี่เหลี่ยมเต็มไปด้วยความห้าวหาญ สายตาของมันหรี่เล็กเพียงมองดูก็ให้ความรู้สึกว่าชั่วร้าย เขาคือหลี่ฮงคนที่เหลียงซานไหว้วานให้จัดการกับหยางอี้ ด้วยความต่างของพลังทำให้เขามองหยางอี้อย่างดูถูก หลี่ฮงเป็นในผู้มีพรสวรรค์รั้งอันดับที่ 24 ของผังฟ้า อยู่ในขั้นปฐพีระดับ 4 อายุ 25 ปีพอดีกับเส้นตาย การที่เหลียงซานให้เขาจัดการกับหยางอี้ที่เพิ่งอยู่ในระดับปฐพีขั้นที่ 3 นั้นราวกับเป็นโชคจากสวรรค์ เพราะของตอบแทนอันมากมายนั้นทำให้เขาดีใจอย่างมาก หากเป็นระดับ 1 กับ 2 หรือ 4 กับ 5 นั้นยังนับว่าไม่มากเท่าใดเพราะอัจฉริยะบางคนนั้นมีความสามารถอันโดดเด่น ทว่ากับระดับ ต้น กลาง ปลาย นั้นแตกต่างกันสิ้นเชิงเพราะขอบเขตของตันถียนภายในร่างกาย
“เจ้าคือหยางอี้สินะ ข้าไม่รู้ว่ามดตัวน้อยเช่นเจ้ากล้าไปยั่วยุศิษย์พี่เหลียงซานได้อย่างไร แต่วันนี้ต้องขอบคุณเจ้าจริงๆที่ทำให้ข้าได้รับของขวัญเหล่านั้น”
หลี่ฮงกล่าวขึ้นพร้อมกับแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างโหดเหี้ยม ทว่าหยางอี้เพียงขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าเหลียงซานคือใคร
“เหลียงซานคือใคร? แล้วทำไมเขาจึงอยากจะเล่นงานข้า?”
“อีกไม่นานเจ้าก็จะรู้เอง แต่ตอนนี้มาดูกันว่าข้าจะทุบตีเจ้าอย่างไร”
ทันทีที่กล่าวจบหลี่ฮงก็พุ่งเข้าหาหยางอี้พร้อมกับระเบิดพลังอันแข็งแกร่งออกมาทันที ดาบขนาดใหญ่ของเขาง้างออกฟันไปยังจุดหมายทันทีนั่นคือแขนขวาของหยางอี้ซึ่งเป็นหนึ่งในเงื่อนไขของเหลียงซาน เมื่อเห็นเช่นนั้นหยางอี้เพียงมองออกไปอย่างนิ่งเฉย ในใจก็อยากรู้ว่าเหลียงซานคือใครแต่เมื่อมันไม่ยอมอธิบายชายหนุ่มย่อมมีวิธีง้างปากหลี่ฮงแน่นอน เพราะโลกนี้ทุกสิ่งถูกตัดสินด้วยความแข็งแกร่ง
ด้วยความเชื่องช้าทันทีที่คมดาบฟาดฟันลงมาพร้อมกับร้อยยิ้มอันชั่วร้ายของหลี่ฮง หยางอี้ยกมือขึ้นพร้อมกับสองนิ้วที่จับไปยังใบดาบอย่างแม่นยำ เมื่อการเคลื่อนไหวหยุดลง ราวกับกาลเวลาหยุดนิ่งหลี่ฮงเบิกต้ากว้างมองไปอย่างไม่เชื่อสายตาผู้ชมเองก็อ้าปากค้างมองการกระทำนี้อย่างงุนงงเช่นกัน
เจ้าสำนักที่มองดูอยู่ทำได้เพียงยิ้มเจื่อนๆก่อนจะส่ายหน้าพลางถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ ระดับมันห่างกันเกินไป”