กําเนิดเทพเจ้าเหนือยุทธ์ เล่มที่ 4 บทที่ 10 ข้าไม่ถือ?
เล่มที่ 4 บทที่ 10 ข้าไม่ถือ?
ภายนอกพระราชวังเหนือลานกว้างขนาดใหญ่ เรือลมปราณลอยสูงไม่เกิน 10 เมตร ค่อยๆทอดสะพานยาวลงมาสู่พื้นด้านล่าง ทันที่ที่การจอดมั่นคงด้านบนหัวสะพานมีชายชราในชุดขาวก้าวนํามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนที่ด้านหลังจะตามมาด้วยชายวัยกลางคนรูปร่างท้วมสมบูรณ์ จากนั้นยังคงมีอีกกว่า 30 คนเดินตามลงมาเป็นขบวนที่ถูกปิดท้ายโดยศิษย์ของสํานักวิหารสวรรค์
ด้านล่าง องค์จักรพรรดิในชุดมังกรทองสูงศักดิ์ยังคงออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง องครักษ์กว่าสิบคนยืนเรียงด้านหลังอย่างเป็นระเบียบ
“อ่า เชิญ เชิญ พระราชวังแห่งนี้ยินดีต้อนรับผู้อาวุโสข่งยี่จางและผู้นําตระกูลหยาง”
คํากล่าวของจักรพรรดินั้นสร้างรอยยิ้มให้กับข่งยี่จาง ด้วยการต้อนรับเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าทางราชวงศ์คงมีความคิดเช่นเดียวกับวิหารสวรรค์ที่เลือกยืนอยู่ข้างนายน้อยของเขา ผิดกับหยางจื่อส้งที่งุนงงเป็นอย่างมาก ตัวเขาที่ผ่านมาเป็นเพียงเจ้าเมืองเล็กๆสุดเขตแดนเล็กของจักรวรรดิ อย่าว่าแต่องค์จักรพรรดิเลย เพียงแค่เสนาบดีตัวเขายังไม่มีสิทธิ์จะเข้าพบเสียด้วยซ้ำ
การได้รับการต้อนรับอย่างสุภาพเช่นนี้ทําให้หยางจื่อส้งทําอะไรไม่ถูก ตึง! ก่อนที่ข่งยีจางจะได้ตอบกลับองค์ราชา หยางจื่อส้งพลันคุกเข่าลงข้างหนึ่งทันทีด้วยท่าทางเคารพ
“หยางจื่อส้ง คารวะองค์ราชา ขอทรงอายุยืนยาวนับหมื่นปี”
ด้วยขากรรไกรที่อ้าค้างของข่งยี่จางที่กําลังจะกล่าวโต้ตอบกับองค์ราชาพลันชะงักไปทันที เขาเองก็ไม่คิดว่าหยางจื่อส้งจะทําเช่นนี้ ตั้งแต่พบกันครั้งแรกสหายผู้นี้มีนิสัยอ่อนน้อมเกินไป เขาใคร่รู้นักเมื่อบิดาเป็นเช่นนี้แล้วนายน้อยของเขาไปเอาความโหดเหี้ยมมาจากผู้ใดกัน
เห็นชายเบื้องหน้าคุกเข่าลง ตู้ยี่หลงพลันตกตะลึงทันที แม้เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นอย่างปกติด้วยตําแหน่งของเขาก็จริง แต่ตอนนี้ชายตรงหน้ามีสถานะสูงเกินไปจะทําเช่นนี้ อาจกล่าวได้ว่าแผนการของเขาขึ้นอยู่กับความพอใจของหยางจื่อส้งด้วยเช่นกัน อย่าลืมว่าเขาคือบิดาของหยางอี้!
“อ่า สุภาพเกินไปแล้ว ลุกขึ้นเถิดพี่น้อง จักรพรรดิอะไรกัน เราคนกันเองทั้งนั้น มาๆ เชิญพวกท่านเข้าไปด้านในก่อน”
ด้วยคําพูดและการกระทําของตุ่ยหลง หยางจื่อส้งได้แต่งงงวยขณะที่อีกฝ่ายประคองไหล่พาเดินเข้าสู่พระราชวังราวกับเป็นพี่น้องคลานตามกันออกมา ส่วนผู้อาวุโสกับสมาชิกตระกูลหยางเมื่อเห็นภาพนี้ก็ต่างอ้าปากค้างจนไม่อาจเชื่อสายตา ก่อนจะมีความยินดีเบิกบานขึ้นในจิตใจ พวกเขาล้วนคิดไปในทางเดียวกันว่าทุกอย่างนี้ต้องเป็นเพราะนายน้อยของพวกเขาแน่นอน
ด้านในตําหนักที่ถูกล้อมรอบไปด้วยสวนดอกไม้นานาพรรณ ตู่หลินกําลังนั่งเหม่อมองไปยังขอบฟ้าด้วยสายตาครุ่นคิด ป้าเหลียงก็เดินเข้ามาพร้อมกับเสียงที่เต็มไปด้วยความรักความเอ็นดู
“องค์หญิงเพคะ พระบิดาต้องการเรียกตัวองค์หญิงไปพบที่ท้องพระโรงเพื่อต้อนรับแขกตอนนี้เพคะ”
“แขก? เป็นผู้ใดอีกท่านป้าเหลียง ข้าไม่อยากพบใครท่านบอกพระบิดาว่าข้ากําลังฝึกฝนอยู่ได้หรือไม่”
ด้วยความไม่พอใจตู่หลินหันกลับมาถามด้วยใบหน้าบูดบึ้งเมื่อได้ยินเช่นนี้ทําให้นางคิดถึงเรื่องเมื่อตอนที่ต้องออกไปต้อนรับตระกูลหว่านนางจึงอารมณ์เสียไม่น้อย ทว่าป้าเหลียงกลับยิ้มให้อย่างขบขันพร้อมกับพูดออกมา
“องค์หญิงแน่ใจหรือเพคะที่ไม่ต้องการออกไป?”
“แน่ใจสิป้าเหลียง”
“แม้ว่าจะเป็นผู้นําตระกูลหยาง บิดาของคุณชายหยางอี้?”
เมื่อป้าเหลียงพูดจบหลินที่กําลังจะตอบปฏิเสธออกไปพลันชะงักคําพูด ก่อนจะหันไปมองป้าเหลียงที่หัวเราะคิกคักด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“ป้าเหลียง! ท่านแกล้งข้า!”
นางกระทืบเท้าเล็กน้อยก่อนไม่สนใจหญิงกลางคนอีกและรีบมุ่งหน้าไปยังท้องพระโรง ทว่าก่อนจะไปจากตําหนักป้าเหลียงก็พลันกล่าวออกมาอีกครั้ง
“องค์หญิง ท่านควรรีบทําคะแนนให้มาก เพราะการเข้าทางบิดาจะทําให้อะไรอะไรง่ายขึ้น”
“ท่าน!”
ด้วยความโมโหปนเปกับความเขินอาย นางถลึงตาใส่ป้าเหลียงที่หนึ่งก่อนจะรีบก้าวออกไปจากตําหนัก ภายในท้องพระโรง โต๊ะยาวจากหยกถูกจัดวางทอดยาวอย่างหรูหรา ยังคงเต็มไปด้วยอาหารเลิศรสมากมาย การแสดงออกของราชานั้นเป็นสิ่งที่ทําให้ตระกูลหยางประหลาดใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหยางจื่อส้ง ตัวเขาเป็นเพียงขุนนางเล็กๆจากพื้นที่อันห่างไกลเมื่อได้รับการแสดงออกดังสหายคนสนิทจากราชาจึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่ต้องขบคิด
ปัจจัยหลักมีเพียงอย่างเดียว เรื่องนี้มาจากบุตรชายของเขาหรือไม่? แม้จะได้ยินบางเรื่องมาจากผู้อาวุโสจางแล้วก็ตามแต่ ด้วยเวลาเพียงหนึ่งปีกว่าๆ เขามิอาจคิดไปได้ว่าบุตรชายของเขาจะก้าวหน้าขึ้นมีอํานาจขนาดนี้ได้เช่นไร ขณะเดียวกัน แม้จะเดินทางมาด้วยเรือลมปราณแต่หยางจื่อส้งก็มิได้คาดคิดว่าข่งยี่จางจะเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของวิหารสวรรค์หนึ่งในตัวตนระดับจักรพรรดิ! เขาคิดเพียงว่าอาวุโสจางเป็นเพียงตัวตนระดับสวรรค์เท่านั้นและเพราะเอ็นดูบุตรชายของเขาจึงรับเป็นธุระให้กับเรื่องนี้
อย่างไรก็ตามเมื่อมองเห็นการกระทําของราชา ข่งยี่จางเพียงยิ้มออกเล็กน้อยและเลือกที่จะไม่สอดมือเข้าไปยุ่ง เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของนายน้อยที่อยู่นอกเหนืออํานาจของเขา หากท้ายที่สุดแล้วแผนการของราชาสําเร็จนั้นก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะอย่างน้อยฐานอํานาจภายในจักรวรรดิของทั้งสองจะแน่นแฟ้นขึ้นจนกดดันอีก 3 อํานาจที่เหลือ ส่วนการตั้งถิ่นฐานของตระกูลหยางนั้นเขาไม่มีความสงสัยเลยแม้แต่น้อยว่าหยางอี้จะทําไม่สําเร็จ
การสนทนาดําเนินต่อไปอีกพักใหญ่ ส่วนมากหัวข้อเรื่องของหยาง ที่ถูกยกยอโดยราชา เรื่องนี้ทําให้หยางจื่อส้งพอจะเริ่มเข้าใจหลายๆอย่าง และเมื่อมีการกล่าวถึงองค์หญิงสิบสี่แล้วแสงภายในดวงตาของเขาพลันกระจ่างวาบ ทว่าก็ยังมิได้ยืนยันความคิดแต่อย่างไร
“คารวะพระบิดา”
ระหว่างนั้นหลินได้มาถึงความงดงามของนางทําให้สมาชิกของตระกูลหยางต้องอ้าปากค้าง บรรยากาศภายในห้องเงียบลงอีกครั้งก่อนที่จะเป็นเสียงหัวเราะของราชาดังขึ้น
“ฮ่าๆ หลินเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็มา เร็วเข้ารีบทักทายท่านลุงหยาง”
“คารวะท่านลุงหยาง”
ตู่หลินกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันไพเราะก่อนจะย่อตัวคํานับด้วยความงดงามอันสูงศักดิ์ หยางจื่อส้งเห็นดังนั้นจึงรีบลุกขึ้นในทันที
“อ่า องค์หญิงสุภาพเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงขุนนางเล็กๆเท่านั้น”
ราชาเห็นดังนั้นก็รีบแนะนําให้หยางจื่อส้งรู้จักกับองค์หญิงทันที การพูดคุยดําเนินไปอีกเนิ่นนานราวกับพวกเขาเป็นพี่น้องที่จากกันนับสิบปี ด้วยการแนะนําและบุคลิกของตู่หลินทําให้หยางจื่อส้งชมชอบในตัวนางมิใช่น้อย ยิ่งเมื่อมีการกล่าวถึงความสัมพันธ์ของบุตรชายเขาแล้วยิ่งทําให้หยางจื่อส้งอิ่มเอมในหัวใจ ยามนี้จึงมั่นใจในการกระทําของราชาแล้ว
ด้วยความซื่อตรง หยางจื่อส้งเมื่อรับรู้เจตนาก็มิได้ปิดบังความจริงที่ว่าหยางอี้เคยหมั้นหมายกับหวังจือ จึงถูกกล่าวออกมาทันที คราแรกการสนทนาชะงักค้างไปหลายวินาที หลินกลายเป็นใบหน้าหมองคล้ำ หัวใจนางราวกับถูกกรีดแทง นางปรารถนาจะลุกออกไปอย่างเร็วที่สุด ทว่าหลังจากนั้นหยางจื่อส้งจึงได้อธิบายว่าการหมั้นหมายนั้นก็มต่างจากเรื่องของการเชื่อมสัมพันธ์ของตระกูล เรื่องความคิดของเด็กนั้นเขาเองก็มิรู้ได้แน่ชัด เพราะทั้งสองพบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่อย่างไรก็ตามหยางจื่อส้งประกาศออกมาอย่างเด็ดขาด ว่าตัวเขาจะไม่ก้าวก่ายเรื่องนี้อีกต่อไป ทุกอย่างให้ดําเนินไปตามความต้องการของหยางอี้
ตู่หลินจึงถอนหายใจออกมาได้ในที่สุด ประกายแสงเล็กๆในหัวใจนางได้สว่างขึ้นอีกครั้งด้วยความคิดที่ว่า ยังมีหวัง แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ใช้ไม่ได้กับความหน้าหนาของตู่ยี่หลง หยางจื่อส้งจึงได้แต่อับจนกับคําว่า ยอดบุรุษจะมีภรรยามากมายก็มิใช่เรื่องแปลก ตัวเขามิได้ถือสาแต่อย่างใด
หลายวันผ่านไป ความสัมพันธ์ของตระกูลหยางและราชวงศ์ยิ่งแน่นแฟ้น ทุกวันทั้งสองต่างนั่งเล่นหมากรุกกันในสวน ตู่หลินเองก็มาพร้อมกับบิดาของนางเช่นกันทุกวัน ด้วยความเพียบพร้อมของนางช่วยไม่ได้หยางจื่อส้งจะพอใจและเริ่มมีความคิดที่จะให้ความร่วมมือกันราชา ความสัมพันธ์นี้มิได้ถูกปกปิดแต่อย่างไร ไม่นานเรื่องก็รู้ถึงหูของครอบครัวหว่าน
“เจ้าว่ากระไร? ผู้นําตระกูลหยางอันเหตุใดข้าจึงมิเคยได้ยินชื่อ”
หว่านถูกล่าวออกมาอย่างสงสัย ขณะเดียวกันไฟโทสะจึงเริ่มบังเกิดขึ้น ข่าวนี้ภายในพระราชวังมิได้เป็นความลับแต่อย่างใด แม้จะไม่มั่นใจแต่บุคคลระดับเขาก็มีความมั่นใจอยู่หลายส่วนว่าราชาต้องการเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลหยาง และเป็นไปได้ว่าจะเป็นยกองค์หญิงสิบสี่เข้าสู่พิธีหมั้นหมาย
ระหว่างคําสบถของหว่านถู หว่านเจิ้นพลันรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้ ก่อนที่เขาจะนิ่งเงียบคิดทบทวน แซ่หยาง? ไม่นานประกายตาของเขาก็เต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟันเมื่อนึกย้อนถึงงานประชันโอสถ ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของตู่หลิน
“หยางอี้!”