บทที่หนึ่ง
คนไม่เปลี่ยนที่เปลี่ยนคือใจคน
จวนอัครเสนาบดีสกุลซื่อ
.
.
.
.
“เหยาเหยาลูกพ่อ”
“ท่านพ่อ…” หยาเหยาวิ่งไปเข้าไปสวมกอดผู้เป็นบิดา น้ำตาของนางค่อยๆ ไหลริน
“เหยาเหยา หลู่เมิ่ง มันทำให้เจ้าเจ็บช้ำน้ำใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เสนาบดีซื่อกอดปลอบบุตรสาว.. น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธเเค้น
“เป็นเหยาเหยาที่ยอมให้เขากระทำต่อเหยาเหยาเองเจ้าคะ”
“ถึงอย่างไร เจ้าก็เป็นลูกพ่อ เป็นบุตรสาวของอัครเสนาบดี มันมิต่างจากดูเเคลนสกุลเราหรอกหรือเหยาเหยา”
“วันพรุ่ง… เหยาเหยาจะส่งหนังสือไปที่จวนเเม่ทัพหลู่ ชาตินี้มิขอเกี่ยวข้องกับเขาอีก ที่ผ่านมาเหยาเหยาดวงตามืดบอด ทำให้ท่านพ่อต้องทุกข์ใจเพราะเหยาเหยา”
“ดี!! เหยาเหยาของพ่อเป็นดั่งหยกงามล้ำค่าตกอยู่ในมือผู้ที่ดวงตามืดบอดจะรู้ค่าได้อย่างไร!! ”
.
.
.
.
เช้าวันต่อมา
จวนเเม่ทัพ
สกุลหยาง
โต๊ะอาหาร
“รสชาดนี้มันอะไรกัน.. เรียกฮูหยินเจ้ามา” หลู่เมิ่งกินอะไรก็ไร้ซึ่งรสชาดไปหมด อาหารไม่ถูกปากเลยสีกอย่าง
“ระ.. เรียนท่านเเม่ทัพ ฮูหยินจากไปแล้วเจ้าคะ” บ่าวก้นครัวเอ่ยขึ้น
.
.
.
.
หลู่เมิ่งนิ่งไปชั่วครู่.. ใช่!! นางไปจริงๆ นี้มันอะไรกัน ทำไมเขาต้องนึกถึงนางด้วย
“ท่านเเม่ทัพ.. จูเอ่อร์จะไปทำให้ท่านทานใหม่”
“ไม่เป็นไรข้าอิ่มเเล้ว”
.
.
.
“ท่านเเม่ทัพขอรับ คนจากจวนเสนาบดีมาขอรับ”
“จวนเสนาบดีงั้นรึ?? หึ จะมาร้องขอให้ข้ารับนางกลับเข้าจวนงั้นสิ ไม่มีทางเสียหรอก”
.
.
.
“คาราวะท่านเเม่ทัพ ข้าจางเจียงพ่อบ้านสกุลซื่อขอรับ”
“มีอะไรก็ว่ามา ข้าไม่มีเวลาว่างมากนัก”
“ข้าน้อยได้รับมอบหมายจากคุณหนูหยาเหยาให้มาส่งหนังสือให้ท่านเเม่ทัพประทับตราขอรับ!! ”
“หนังสือ….? ”
“ขอรับ”
“เอามานี้!! ”
.
.
‘หนังสือหย่า’
.
.
“นี้มันอะไรกัน หนังสือหย่า หมายความว่าไง?? ”
“คุณหนูเพียงมอบหมายให้ข้าน้อยส่งหนังสือให้ท่านประทับตราเพียงเท่านั้น”
“สิทธิ์อะไรกัน..!! นึกอยากจะเเต่งก็เเต่งพอจะหย่าก็หย่ากันง่ายดายเเบบนี้เชียวหรือ.. ไปบอกนางหากอยากให้ข้าประทับตรา ก็มาเอง!! ”
“เอ่อ.. คือ”
“ให้นางมาเอง!! ”
“ขอรับ…”
เย็นของวันนั้น
จวนอัครเสนาบดี
สกุลซื่อ
“อะไรกัน!! ” เสนาบดีซื่อตบโต๊ะดังลั่น
มิรักเเต่ก็มิยอมปล่อยตัวบุตรสาวเขาให้เป็นอิสระเป็นสุขเช่นนี้ เรียกลูกผู้ชายที่ไหนกัน!!
“ท่านพ่อเย็นลงหน่อยเถิดเจ้าคะ เหยาเหยาทราบดีว่าชายผู้นี้นั้นถือศักดิ์ศรีเป็นที่ตั้ง.. ที่มิยอมเพราะคงคิดว่าเหยาเหยาหลู่เกีรยติเขาเป็นเเน่”
“เหยาเหยาเจ้าจะไปพบคนเช่นนี้อีกเช่นนั้นหรือ”
“พบเเน่เจ้าคะท่านพ่อ หากเขาอยากพบ ข้าก็จะให้เขาได้พบ”
เช้าวันต่อมา
ถนนหน้าจวนเเม่ทัพสกุลหยาง
ผู้คนเดินขวักไขว้ไปมากลับต้องสะดุดตากับเกี้ยวหลังใหญ่ สีสันงดงามมองดูก็รู้ว่าเป็นของสกุลใหญ่สกุลหนึ่งเเน่
เกี้ยวหลังงามถูกวางลงอย่างเบามือภายในเกี้ยวนั้นคือ ‘หยาเหยา’ บุตรีเพียงหนึ่งเเห่งจวนอัครเสนาบดี
“ท่านเเม่ทัพฮูหยินมาเเล้วขอรับ”
“มาเเล้ว.. ทำไมนางถึงไม่เข้ามา”
“ฮูหยินบอกไม่เข้าขอรับ.. ให้ท่านออกไปพบนาง นางมีเวลาไม่มากขอรับท่านแม่ทัพ”
“อะไรนะ?? … ” หลู่เมิ่งยิ้มยก ไม่พบกันเพียงสามวัน นารีเป็นอื่น!!
“ได้ข้าจะออกไปพบนาง”
ประตูจวนเเม่ทัพสกุลหยาง
หยาเหยายังคงนั่งรออยู่ในเกี้ยวด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย… นางนั่งหลับตาอย่างผ่อนคลาย
“คุณหนูท่านเเม่ทัพออกมาเเล้วเจ้าคะ” ชิงชิงเอ่ย
“อืม…” หยาเหยาค่อยๆ ก้าวลงมาจากเกี้ยว
วันนี้นางเเต่งกายราวกับสตรีที่ยังมิได้ออกเรือน ปล่อยผมยาวครึ่งศรีษะสวมอาภรณ์สีม่วงเข้มเเต่งเเต้มใบหน้าราวสตรีวัยสิบหกทั่วไป หากเเต่นางทาปากเเดงเข้มที่นางมิเคยทามาก่อน
อดีตนางเเต่งกายสบายๆ เพราะรู้ว่าหลู่เมิ่งชอบเช่นนั้น นางจึงมิเเต่งกายมากนัก เครื่องประก็น้อยชิ้นหยาเหยาเดินลงมาจากเกี้ยวโดยมีชิงชิงเป็นผู้เปิดม่านกำบังมือขวานางถือพัดเล่มหนึ่งที่ยังมิได้คลี่ออกมา
“คาราวะท่านเเม่ทัพ” หยาเหยายังมิก้าวเข้าประตูจวน
เเม่ทัพเองก็มิได้ก้าวเท้าออกมาเช่นกัน
“หยาเหยาข้าออกมาพบเจ้าเเล้ว.. ”
“ขอบคุณท่านเเม่ทัพมาก”
“เจ้าไม่คิดจะเดินเข้าไปคุยในจวนหน่อยหรือ”
สายตาของผู้คนที่มายืนมุงดูสองสามีภรรยาโต้คารมกันอยู่นอกจวนอย่างสนอกสนใจ
“ข้ามีเวลาไม่มาก.. วันนี้ข้ามาขอให้ท่านลงนามประทับตราลงในหนังสือหย่า!! เท่านั้น ก็จะกลับเรือนเเล้ว”
“เจ้ากล้า!! ” หลู่เมิ่งมิคิดว่านางจะห่างเหินไปเยี่ยงนี้ มิคิดว่านางจะกล้าเอ่ยว่าหย่ากลางฝูงชน
“เจ้าไปคุยในจวน!! ” หลู่เมิ่งเอ่ย
“ไม่เข้า.. เจ้าคะ”
“ไม่เข้าก็ไม่คุย!! ” หลู่เมิ่งหันหลังให้
“เอ๊ะ.. เข้าก็ได้เจ้าคะ” หยาเหยายิ้ม
“ก็เท่านั้น….” หลู่เมิ่งยิ้มอย่างผู้ชนะ
“ชิงชิง…” หยาเหยากล่าวพร้อมกับกระดิกนิ้วเป็นสัญญาณ
จากนั้นชิงชิงก็ได้ไปสั่งให้บ่าวไพร่ที่ติดตามมา อีกสองคนที่ถือม้วนผ้าสีเเดงขนาดใหญ่อยู่ ให้เดินขึ้นมา
จากนั้นทั้งสองคนนั้นก็ทำการปูผ้าตั้งเเต่หน้าเกี้ยวยาวไปจนถึงหน้าประตูเรือน!!
จากนั้นหยาเหยาโดยการจูงมือของชิงชิงก็ได้เดินไปบนผ้าสีเเดงนั้นเข้าไปยังจวนเเม่ทัพสกุลหยาง สายตาของนางช่างหยิ่งทะนงนัก กระทำเช่นนี้ไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น ชาวบ้านล้านตลาดที่มายืนมุงดูล้วนชอบใจ..
“คุณหนูซื่อผู้นี้เปรี้ยวเผ็ดจนเข็ดฟัน!! ”
หลู่เมิ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงกลางเรือน.. โดยที่นั่งข้างๆ ควรเป็นนางนั่งตรงนั้น เป็นที่ของฮูหยิน หากเเต่หยาเหยาเลือกที่จะนั่งเก้าอี้ด้านข้างที่เป็นของเเขกเสียมากกว่า โดยก่อนที่จะนั่งก็ยังมิวายให้ชิงชิงนำผ้าไปคลุมเก้าอี้อันนั้นเสียก่อน
หลู่เมิ่งได้เเต่กัดฟันกร่อดๆ กับกริยาสามหาวของนาง.. ช่างต่างกับหยาเหยาเมื่อสามวันก่อนราวฟ้ากับเหวลึก!!
“หยาเหยา.. เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่ายังไง จวนข้าสกปรกถึงเพียงนั้นเชียว..?? ”
“ท่านเเม่ทัพ” หยาเหยายิ้มหวาน
“ยิ้มเจ้ายิ้มอะไรกัน?? ”
“เปล่าเจ้าคะ”
“เปล่างั้นหรือ?? ”
“ชิงชิงยื่นหนังสือให้ท่านเเม่ทัพ”หยาเหยาเอ่ยอย่างไม่สนอะไร
“เจ้าคะ” ชิงชิงเดินไปยื่นหนังสือให้กับหลู่เมิ่ง
“รับไปสิเจ้าคะ ข้ายังมีธุระอีกมากไม่มีเวลามารอท่านนานนัก”หยาเหยาทำท่ายกพัดในมือตนขึ้นมาดูอย่างรำคาญใจ
“หึ.. หยาเหยาเจ้าคิดจะเล่นเกมส์กับข้างั้นรึ?? ”
“ท่านเเม่ทัพท่านคิดเเทนข้ามาไปเเล้ว”
“ผู้เป็นภรรยากล่าวกับสามีเชกเช่นเจ้าข้าไม่เคยพบ”หลู่เมิ่งเริ่มมีท่าทีฉุนเฉียว
“สามี?? ” หยาเหยาเลิกคิ้วถาม
“ใช่!! ”
“ข้าไม่นับ!! ”
“ไม่นับอะไรกัน?? ”
” ก็นะ… คนเราก็ย่อมมีวันที่ก้าวพลาดไปเหยีบโคลนตม!! ”
“หยาเหยา!! มันจะมากไปแล้วนะ”
“รีบๆ ประทับตราลงนามในหนังสือหย่าเถอะเจ้าคะ ท่านจะเเสร้งรั้งข้าไปใย ใจท่านคิดเช่นไรเหตุใดจึงมิเเสดงออกตามนั้น” หยาเหยทำทีท่าเหนื่อยหน่าย
“คิดอะไรข้าคิดอะไร?? หยาเหยานี่หรือคือตัวตนที่เเท้จริงของเจ้าที่ซ่อนอยู่ภายในเปลือกนอกอันอ่อนหวานของเจ้า!! ”
‘พรึ่บ!! ‘ เสียงพัดในมือหยาเหยาคลี่ออกดังจนหลู่เมิ่งสะดุ้งกายเล็กน้อย
“เกิดเป็นชายชาติทหารคิดสิ่งใดกระทำสิ่งใด ใยจึงมิกล้ายอมรับ ตัวข้าซื่อหยาเหยาดีต่อคนที่ข้ารักทุกคน.. หากได้ชังก็เป็นอย่างที่ท่านเเม่ทัพเห็นละเจ้าคะ”
“ไม่ผิด.. คิดไม่ผิดเจ้าไม่ร้ายกาจที่ผ่านมาเพียงเเสร้งเป็นดีต่อข้าเพียงเท่านั้น”
“ที่ข้าทนอยู่กับท่านมาหนึ่งปี ใช้ชีวิตราวกับบ่าวไพร่นางหนึ่ง ไม่เคยได้รับเกีรยติหรือเเม้นเเต่ความห่วงใจจากตัวท่านเลยเเม้นเเต่น้อยนิด หากมิรัก หากมิห่วงหา ผู้ใดจะทน!! ” หยาเหยาเริ่มมีน้ำคลอๆ อยู่ในนัยต์ตา
“ข้า… ”
“อ้ออออ เเล้วที่คิดว่าข้าเเต่งเข้าจวนท่านเพราะต้องการเสริมอำนาจให้สกุลตัวเองละก็….. เลิกคิด เลิกเข้าข้างตัวเองเถิดเจ้าคะ ”
“หยาเหยา!! ข้าไม่หย่า!! “หลู่เมิ่งทำการฉีกหนังสือหย่าต่อหน้านาง
“ทำไมกัน!! ”
“คิดว่าจวนข้าเป็นอะไร นึกจะเเต่งเข้าก็เเต่งงั้นรึ?? นึกจะหย่าก็หย่า มันง่ายไปข้าจะทรมารเจ้าต่อให้อยู่จวนข้าจนกว่าข้าจะหายเกลียดเจ้า!! ” หลู่เมิ่งเเทบอยากจะตัดลิ้นตัวเอง.. เห้อเขาพูดอะไรออกไปกัน~~~~ คนปากหนักเช่นเขาคำหวานสักคำก็เอ่ยมิออก
.
.
.
“ข้าซื่อหยาเหยามิอยากเกี่ยวข้องกับจวนท่านอีกเเม้นเศษฝุ่นเศษดินก็ยังมิอยากให้ติดอาภรณ์!! ” หยาเหยากล่าวด้วยใบหน้านิ่งเรียบ
.
.
.
ก่อนที่นางจะลุกพรวดออกจากเก้าอี้ไปโดยทันที
.
.
.
“หยาเหยา.. ข้าไม่หย่า ได้ยินมั้ยข้าไม่หย่า”
.
.
.
“ไม่หย่าก็ไม่ต้องหย่า ข้าจะร้องต่อองค์ฮองเต้ให้หย่ากับท่านเอง!! ” หยาเหยาหันมายิ้มให้เย้ยหลู่เมิ่ง
.
.
.
“ไม่หย่าาาาาาาาา ” หลู่เมิ่งตะโกนไล่หลัง
หน้าจวนเเม่ทัพสกุลหยาง
เสียงชาวบ้านที่มายืนมุงดูต่างพากันซุบซิบไปต่างๆ นาๆ
จวนอัครเสนาบดีสกุลซื่อ
เรือนอู่เหม่ย (เรือนนอนหยาเหยา)
“คุณหนูเจ้าคะ”
“ไปทำตามที่ข้าบอกเถอะ ดีเเล้ว”
“ดีเเน่หรือเจ้าคะ”
“เเน่เสียยิ่งกว่าเเน่! ”
………………..
เช้าวันต่อมา
ชาวบ้านล้านตลาดต่างพากันร่ำลือไปว่า เเม่ทัพหลู่เมิ่งเเต่งฮูหยินเข้าจวนนานนับปีเเต่งยังมิเคยร่วมหอมือยังไม่จับ โอบกอดก็ยิ่งมิเคย..
บ้างก็ว่าเเท้จริงเเล้ว เเม่ทัพหนุ่มรูปงามผู้นี้เป็นบุรุษจำพวก… (นิยมตัดเเขนเสื้อตัวเอง)