บทที่สาม
ทุกคืนวันมิอาจหวนคืนมาได้อีก
……
มองดูแล้วสตรีที่อยู่ตรงหน้าเขาในวันนี้คือนางแน่หยาเหยาผู้เป็นนายหญิงแห่งจวนแม่ทัพ หากแต่สิ่งที่เปลี่ยนคือสิ่งที่อยู่ในใจของนาง หัวใจของนางเปลี่ยนไปแล้วเช่นนั้นหรือ??
หลู่เมิ่งเหลือบตาลงต่ำชั่วขณะนั้นมีความคิดหลายๆ สิ่งหลายๆ เรื่องราวที่เขาและหยาเหยามีร่วมกัน นางดีต่อเขามากและเขาก็ร้ายต่อนางมากเช่นกัน จะว่าไปที่นางจะโกรธจะเกลียดเขาก็มิผิดแต่อย่างใด
“หนังสือหย่าข้าจะส่งให้เจ้าวันพรุ่งนี้” หลู่เมิ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ไม่หลอกข้า” หยาเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่ดีใจราวกลับได้สิ่งที่ต้องการมาทั้งชีวิต
“เกลียดข้าถึงเพียงนี้?” หลู่เมิ่งเอ่ย
“หามิได้” หยาเหยายิ้ม
“มิได้เกลียด หรือจะโกรธข้า??” หลู่เมิ่งขยับเข้าไปเอ่ยกับหยาเหยาใกล้ๆ
หยาเหยานิ่งไปชั่วครู่
นางค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ๆ หลู่เมิ่งนางยืดกายไปกระซิบข้างๆ ใบหูของเขาว่า
“ไม่เลย ข้าไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อท่านเลย” พูดจบนางก็หันมายิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับหลู่เมิ่งหนึ่งคราก่อนที่จะส้าวเท้าจากไป
ประจวบกับเวลานั้นเป็นเวลาที่ฝนหยุดตกพอดิบพอดี ชิงชิงก็รีบหอบห่อผ้าอาภรณ์หลากสีตามนายหญิงของตนไปด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน
หลู่เมิ่งที่ในเวลานั้นยืนนิ่งตัวแข็งเกร็งคำนั้นเป็นคำพูดธรรมดาๆ หากแต่มันกลับทำให้หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะได้อย่างประหลาด
นางผู้เคยมองตัวเขาเป็นดั่งดวงอาทิตย์ที่คอยส่องแสงให้ความอบอุ่นต่อนาง นางผู้เป็นดั่งดอกทานตะวันคอยเฝ้ามองเขาอยู่ตลอด ที่ผ่านมาเขาสัมผัสได้ถึงความรักของนางที่มีต่อเขา
แต่หาสัมผัสได้ถึงคุณค่าของความรู้สึกของนาง
วันนี้เป็นวันที่นางเอ่ยคำสะบั้นตัดขาดด้วยใบหน้าที่เปี่ยมสุข เขาดูรู้ว่านางเอ่ยทุกถ่อยคำล้วนมาจากใจ
.
.
.
.
.
จวนเสนาบดี
สกุลซื่อ
ภายในเรือนของหยาเหยา
ตกดึกค่ำคืนนางก็ยังบรรจงเย็บปักแพรพรรณผืนงามอย่างประณีต
“คุณหนูดึกมากแล้วเข้านอนเถิดเจ้าคะ” ชิงชิงเอ่ยด้วยความเป็นห่วงนายของตนยิ่ง
“ข้าอยากจะเย็บชุดให้เสร็จวันพรุ่งข้าจะได้ปัก” หยาเหยาเอ่ยด้วยฝบหน้าที่เปี่ยมสุข
“หากคุณชายเผิงรู้ว่าคุณหนูตั้งใจทำของให้คุณชายเช่นนี้ต้องทราบซึ้งใจมากแน่”
“แน่นอน” หยาเหยายิ้ม
“จะว่าไปความจริงคุณชายเผิงแก่ว่าคุณหนูสามปีหากแต่ปานนี้ยังคงมิออกเรือน หน้าแปลกจริง”
“คุณชายของเจ้า เขาหนะถือดีนักกล่าวว่าหากมิได้สวมชุดขุนนางขั้นสามก็จะมิยอมอกเรือนกับสตรีนางใด” หยาเหยาชงักลง นางนึกถึงตอนที่เผิงอวิ๋นเอ่ยคำนี้ต่อนางเมื่อห้าปีก่อน
ตอนนั้นนางเพียงสิบเอ็ดขวบปี ในเวลานั้นเผิงอวิ๋นในวัยสิบสี่ขวบปีนับว่าเป็นบุรุษที่โตเกินวัยทั้งใบหน้าที่หล่อเหล่าเกินชายปกติ ริมฝีปากชมพูอ่อนๆ ดวงตาที่มีแววหวานซึ้งอยู่ตลอดเวลา จมูกคมสัน เป็นที่หมายตาของสตรีไม่ว่าจะจวนใหญ่จวนเล็กก็จ้องเขาตาเป็นมัน
เผิงอวิ๋นเข้ามาอยู่ที่จวนเสนาบดีแต่เมื่ออายุได้หกขวบปี สกุลเผิงเป็นสกุลบัณฑิต หากแต่เมื่อ เผิงอู๋ ผู้เป็นบิดาได้ถึงแก่กรรมด้วยเหตุทางการเมือง สกุลซื่อจึงรับเขาเข้ามาดูแล ด้วยบิดาของเขาและหยาเหยานั้นนับเป็นสหายสนิทแต่ครั้นยังเยาว์
มารดาของหยาเหยาก็รักดูแลเผิงอวิ๋นราวกลับบุตรแท้ๆ ผลให้เผิงอวิ๋นเองก็ทราบซึ้งต่อบุญคุณของสกุลซื่อที่ชุบเลี้ยงมา
ซ้ำยังมีหยาเหยาตัวน้อยๆ ในเวลานั้นที่เป็นดั่งลูกแมวตัวเล็กๆ ที่ไม่ว่าเขาจะไปที่ใดนางก้ต้องตามติดไปด้วยเสมอ
สำหรับนางแล้วเผิงอวิ๋นมิใช่พระอาทิตย์ที่อบอุ่นแต่หากเข้าใกล้มากไปก็มอดไหม้ดั่งหลู่เมิ่ง
แต่เผิงอวิ๋นเป็นดั่งสายลมเย็นๆ ที่นางอยู่ใกล้เขาแล้วรู้สึกสบายกายสบายใจ
หากแต่สายลมแม้จะดีอย่างไร “รู้สึกได้ แต่สัมผัสไม่ได้” คำนี้อย่างไรก็เป็นคำที่ขวางกั้น
เผิงอวิ๋นนั้นเป็นบุรุษสุขุม บุคลิกหน้านับถือ ปีนั้นเมื่อเขาอายุได้สิบหกปีก็ได้สอบบัณฑิตสำเร็จนับเป็น บัณทิตที่อายุน้อยที่สุดเท่าที่มีการบันทึกลงในประวัติศาสตร์
เขาได้รับมอบหมายจากราชสำนักโดยราชโองการจากฮองเต้ด้วยพระองค์เองแต่ตั้งในเป็นขุนนางขั้นหก ออกเดินไปรวบรวมตำราจากทั้งห้าแคว้น คือ ฉิน ฉู่ เว่ย จ้าว โจว เพื่อเป็นการรวบรวมความรู้ทุกแขนงนับมาปรับปรุงพัฒนาชาติ
ในเวลานั้นหยาเหยาร่ำไร้ปริ่มจะขาดใจ นางรักนางปักใจต่อเผิงอวิ๋นในเวลานั้นนางอายุเพียงสิบสองขวบปี นางรักเผิงอวิ๋นแต่นางก็มิอาจเข้าใจได้ว่าสิ่งที่อยู่ในใจของนางคือสิ่งใด
เผิงอวิ๋นเองเพื่อความก้าวหน้าเพื่อการกอบกู้สกุลเผิงเขาจำเป็นต้องไป
ในปีนั้นเผิงอวิ๋นละทิ้งสองมือของหยาเหยา ตัวเขาเองก็มีใจต่อนางอย่างมิต้องสงสัยในความรู้สึก ในวัยสิบหกขวบปีเขาเข้าใจโลกแล้ว ตำรับตำราที่ศึกษาย่อมพาให้ทุกสิ่งอย่างในใจกระจ่างแจ้ง
ปีนั้นหยาเหยาเอ่ยคำไร้ยางอายต่อเผิงอวิ๋น “เพียงท่านแต่งกับข้าอย่าว่าแต่ขุนนางขั้นสามเลย ตำแหน่งอัครเสนาบดีขุนนางขั้นหนึ่ง มิใช่เรื่องยาก หากบิดาข้าวางมือย่อมเป็นท่านที่จะได้สานต่อ” หยาเหยามิรู้ประสาเพียงอยากให้เผิงอวิ๋น ผู้ที่เป็นทั้งสหายและพี่ชายของนางไม่ต้องจากนางไป
นับแต่นางจำความได้ ก็มีเพียงใบหน้าของเผิงอวิ๋นผู้นี้ ที่นางเฝ้ามองไม่ว่ายามนางทุกข์หรือสุขก็มีเผิงอวิ๋นอยู่ข้างกายนางเสมอ ไม่ว่านางจะผิดหรือถูก มีเหตุผลหรือไร้ซึ่งเหตุผล เผิงอวิ๋นก็พร้อมที่จะยืนเคียงข้างนางเสมอ
“ข้าจะต้องกอบกู้สกุลเผิงด้วยสองมือของข้าเอง จึงจะเป็นการล้างตราบาปในใจของข้าได้ หยาเหยา หากข้ายังมิรั้งตำแหน่งขุนนางขั้นสาม ข้าสาบานต่อป้ายวิญญาณท่านพ่อไว้แล้วจะมิรับสตรีนางใดเป็นภรรยา” เผิงอวิ๋นกล่าวทั้งยังจับสองมือน้อยๆ ของนางไว้
หยาเหยาได้ยินดังนั้นน้ำตาที่กลั้นอยู่ก็หลุดร่วงลงมาดั่งฝนห่าใหญ่
“ท่านไม่ชอบข้า ไม่รักข้า เพียงยกสิ่งเล่านี้มาอ้างเท่านั้น” หยาเหยาสะบัดมือของเผิงอวิ๋นออก ก่อนที่นางจะหันหลังวิ่งจากไป
แต่นางก็ได้ชงักหันหลังกลับมากล่าวคำหนึ่งซึ่งเป็นประโยคสุดท้ายก่อนจากของนางและเขา
“เผิงอวิ๋นหากท่านกล้าไปข้าจะเกลียดท่านไปจนวันตาย” ก่อนที่หนาเหนาจะสิ่งปาดน้ำตาจากไป
เผิงอวิ๋นที่ยืนเคว้งอย่างโดดเดี่ยวในเวลานั้น เขาอยากจะวิ่งตามนางไปแต่ไหนเลย คำพูดนั้นขุนนางขั้นสามแต่งภรรยา ความนัยของเขาคือเขาอยากเป็นบุรูษที่คู่ควรกับนาง ซื่อหยาเหยา สำหรับเขานางเป็นดั่งหยกงามเพชรล้ำค่า ที่ควรคู่ให้ถนอมรักษาไว้เป็นที่สุด แต่ด้วยความจำเป็น จำใจต้องจาก
“หยาเหยา มิต้องห่วงวันหน้าเผิงอวิ๋นผู้นี้จะต้องกลับมาแต่งเจ้าเป็นภรรยา ฮูหยินของข้าจะมีเพียงแต่เจ้า ซื่อหยาเหยา เพียงผู้เดียวเท่านั้น”
ปัจจุบัน
รุ่งขึ้นจวนเสนาบดี
หนังสือหย่าพร้อมตราประทับจากหลู่เมิ่งก็ส่งมาถึงนาง
หยาเหยาหยิบขึ้นมาดูชมอย่างดีใจ
ในจังหวะที่นางจะลงตราประทับของตนเองลงบนหนังสือ ภาพวันที่นางพบกับหลู่เมิ่งวันแรกก็ปรากฎขึ้น ในห้วงคะนึง
เมื่อสองปีก่อนหน้านี้
ภาพรอยยิ้มที่แสนจะอบอุ่น…. ยามนั้นนางเห็นเขาเข้าช่วยเหลือยายแก่นางหนึ่งที่ถูกอันธพาลรังแก เขาดูอบอุ่นแสนดีและอ่อนโยน รอยยิ้มที่เขามอบให้ยายผู้นั้นเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่น
ดวงใจที่ราวกับว่าจะแห้งตายอีกครั้งเป็นอีกครั้งที่สั่นไหว….
นางหลงรักรอยยิ้มอันอบอุ่นนั้นของหลู่เมิ่งนางเฝ้าตามหาแต่เฝ้าดูหลู่เมิ่งอยู่หนึ่งปีเต็มๆ จนในที่สุดก็หาทางให้ได้สมรสแต่งเข้าจวนแม่ทัพ
หากแต่ภาพที่วาดฝันไว้ก็ได้พังทลายลงไป ไม่เหลือชิ้นดี…..
เขาไม่เคยมีรอยยิ้มให้แก่นางเลย แม้นสักครั้ง…..
“เฮ้อ….” หยาเหยาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะประทับตาลงบนหลังสือหย่า
“จบสิ้นกันเสียที….. สองปีอันโง่งมของข้า”