สีหน้าของหลี่จิ้งไม่ได้ดีขึ้นเลย นางเห็นชัดเจนว่าหน้าเขาเปลี่ยนสีไปตั้งหลายสีเช่นนั้น อีกทั้งยังผอมจริงของแหลมนั่นก็ทิ่มนางไปทั้งตัวจริง ๆ มีสิ่งใดที่นางพูดผิดกัน
“ข้าไม่เข้าใจ”
“ข้าบอกเจ้าแล้วว่าห้ามเอ่ยเรื่องที่เจ้ามานอนกับข้าให้ผู้ใดรู้ หากเจ้าฝ่าฝืนข้าจะทิ้งเจ้าให้นอนแข็งค้างตายจำไม่ได้หรือ คิดว่าคำของข้ากล่าวออกมาเล่น ๆ เช่นนั้นหรือ?”
ใช่ หลี่จิ้งโมโหนางจนแทบจะลมปราณแตกซ่านอยู่แล้ว เขาเป็นถึงเทพอัคคีผู้สูงส่งเหตุใดวัน ๆ ต้องมาวุ่นวายกับเทพผู้หาสาระไม่ได้เช่นเป่ยฟางหรงด้วย
“อาจารย์ข้าแค่บอกว่าท่านผอม ข้าถูกท่านแทงและข้า….ใช่ข้าเผลอพูดจริง ๆ ด้วย อาจารย์ศิษย์ผิดไปแล้ว ศิษย์ผิดไปแล้วแต่ทั้งหมดเพราะห่วงใยในตัวท่านนะเจ้าคะ”
หลี่จิ้งเองพยายามระงับอารมณ์ ตัวเขาเองก็รู้สึกแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อยเขานอนกับเป่ยฟางหรงมาเนิ่นนานหลายปีตั้งแต่นางยังเด็กเขาก็แอบลอบเข้าวังเพื่อส่งอาภรณ์ให้นางกอดทดแทนกายหวังไม่ให้พิษเย็นในกายกำเริบ
เมื่อนางโตขึ้นดูเหมือนว่าอาภรณ์ของเขาจะไม่เพียงพอแล้ว จึงจำเป็นต้องใช้ร่างกายของเขาแทนที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีความรู้สึกอื่นใด จนกระทั่งในวันที่นางป่วยจนมารร้ายในร่างเกือบฟื้นคืนมาและเขาต้องกลับมาช่วยรักษาจนร่างกายแนบชิดเช่นนั้น
เป่ยฟางหรงยังเป็นเป่ยฟางหรงคนเดิม แต่เขานี่สิกลับมีบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนไป ร่างกายมีปฏิกิริยาทุกครั้งที่นางแนบชิดไม่อาจฝืนบังคับได้อีกต่อไป
หรือเพราะนางโตเต็มวัยโดยธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ถึงจะฝึกวิชาเซียน ก็ยังไม่อาจหนีพ้นความต้องการนี้ได้ เพราะเหตุนี้จึงทำให้เจ้าสิ่งนั้นของเขาที่นอนอย่างสงบมาเนิ่นนานถึงได้ลุกขึ้นมาแข็งข้อ ชูคอจนถูกเป่ยฟางหรงเผาไปรอบหนึ่งแล้ว
ต่อไปนี้เขาต้องระวังให้มาก
เป่ยฟางหรงเห็นอาจารย์นิ่งเงียบไปนาน นางจึงโบกมือผ่านหน้าของเขา กระทั่งใบหน้าของอาจารย์ดูสงบลงเป่ยฟางหรงจึงก้มหน้าแสร้งสำนึกผิด หลี่จิ้งเอ่ยขึ้นอย่างตัดสินใจ
“ข้าจะพาเจ้าลงเขา”
“อาจารย์จะพาข้าไปกำจัดปีศาจหรือเจ้าคะ”
ดวงตาของเป่ยฟางหรงเป็นประกาย หลี่จิ้งอดที่จะดีดหน้าผากของนางไม่ได้
“ศิษย์พี่ของเจ้าส่งข่าวมาว่าเจองานยากจำให้ข้าต้องไปจัดการเอง จึงจะพาเจ้าไปหาประสบการณ์และเรียนรู้เรื่องบางอย่างจากผู้ที่เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ”
“อาจารย์ท่านไม่ตำหนิข้าแล้ว ยังจะพาข้าไปด้วยอีกจริงหรือเจ้าคะ”
“แต่เมื่อลงไปข้างล่าง อันตรายเป็นอย่างยิ่งปีศาจที่ออกอาละวาดในตอนนี้ดูเหมือนว่ามีวัตถุประสงค์บางอย่างที่คลุมเครือ พวกมันจ้องเพียงสตรีที่อายุพอกันกับเจ้า ผ่านมาเป็นเดือนแล้วยังกำจัดได้แต่เพียงพวกที่ไร้ค่า ไม่อาจจับตัวปัญหาได้เรื่องก็ย่อมไม่จบ เพื่อเป็นการฝึกฝนและเพิ่มพูนตบะทิพย์ในกายของเจ้า เจ้าจำเป็นต้องสังหารมันด้วยตนเองแต่หัวหน้าปีศาจตนนี้ตบะของมันแก่กล้ายิ่ง เจ้าหาใช่คู่ต่อสู้ของมันข้าจะช่วยเจ้าอยู่ข้าง ๆ ไม่ต้องกลัวไป ที่สำคัญเพื่อเพิ่มตบะทิพย์ของเจ้าให้สูงขึ้นเจ้าต้องกำจัดปีศาจร้ายตนนี้ด้วยตัวของเจ้าเอง”
เพราะผู้ที่ฆ่าปีศาจที่เก่งกาจได้ ย่อมได้รับตบะทิพย์อันบริสุทธิ์เป็นการแลกเปลี่ยน ดังนั้นสำนักเซียนทั้งหลายนอกจากจะส่งศิษย์ออกปราบภูตผีวิญญาณเพื่อปกป้องคุ้มครองคนทั่วไปแล้ว ก็เพื่อตบะทิพย์ที่จะได้รับจากมารตนนั้นนั่นเอง
ตบะทิพย์หากมองในแง่หนึ่งก็เหมือนรางวัลอันล้ำค่าที่เข้าไปเพิ่มพูนตบะในร่างของคนที่สังหาร เพราะเช่นนี้การออกล่าวิญญาณจึงต้องมีการแบ่งเขตแดนกันอย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้เหล่าตระกูลเซียนต้องมาทะเลาะกันเอง
เป่ยฟางหรงหารู้ไม่ว่าในร่างกายของนางครึ่งหนึ่งมีตบะมารที่กำลังนอนหลับใหลอยู่ และหลี่จิ้งก็ไม่อาจให้นางรู้ได้ด้วยหากนางรู้ตัวเมื่อใด ตบะมารในร่างของนางที่นอนหลับอยู่จะรู้ด้วยทันทีว่าตนเองอยู่ในร่างของเป่ยฟางหรง
มารจะดึงดูดมารเข้ามาหานาง หากตบะทิพย์ของนางยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอ เป่ยฟางหรงผู้นี้ที่มีดาวมารสิงสู่จะกลายเป็นมารร้ายไม่อาจกลับสู่แดนสวรรค์ได้อีก และสุดท้ายสงครามระหว่างแดนต้องเกิดขึ้นเป็นแน่
“อาจารย์ข้ายังไม่มีของวิเศษเลยนะเจ้าคะ”
เป่ยฟางหรงผู้อยากได้กระบี่วิเศษมาเนิ่นนาน แต่ไม่ได้รับอนุญาตจึงถือโอกาสนี้อ้อนวอนอาจารย์เสีย
“ข้ามีบางอย่างเตรียมไว้ให้เจ้าแล้ว เจ้าเตรียมตัวเถิดข้าจะกลับไปเตรียมตัวเช่นกัน”
เป่ยฟางหรงมองใบหน้าของหลี่จิ้งอย่างซาบซึ้งใจ นางกุมมือของเขาเอาไว้ดวงตารื้นไปด้วยน้ำตา
“ไปตอนนี้เลยหรือเจ้าคะ”
“ใช่ ที่ข้าไปตามเจ้าที่โรงครัวเพราะเหตุนี้”
“อาจารย์ ข้า….”
นางสะอื้นออกมาคำหนึ่ง
“มีสิ่งใดรีบพูด ขัดข้องอันใดหรือ” ดูเหมือนว่าหลี่จิ้งจะอารมณ์เย็นลงแล้ว คิดว่าศิษย์ของเขาอาจจะหวาดกลัวก็เป็นได้ นี่เขาขู่นางเกินไปหรือ
“ข้าขอกินอาหารที่สั่งให้ อาหนงทำก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ อาจารย์กองทัพต้องเดินด้วยท้องนะเจ้าคะ”
หลี่จิ้งถอนหายใจออกมาอย่างแรง
“เป่ยฟางหรง!!!”